ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 114: สามสิบหกสาขาของสำนักอสูร

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything ตอนที่ 114 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว เฉินเฉินพูดไม่ออก เขารู้สึกเหมือนกับเขาติดกับดัก

 

โจวเหรินหลงไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เขาหันไปพูดกับมุมมืดของห้อง “โจวเฟิง พาเขาไปที ข้าเหนื่อยนิดหน่อย”

 

เพียงเวลาไม่นานที่เขาพูดจบ ชายหนุ่มในชุดดำปรากฏขึ้นจากเงามืดและยืนอยู่ด้านหน้าเฉินเฉิน

 

“ทางนี้” เขาพูดออกมาอย่างเย็นชา

 

เขาเดินนำทางไปอย่างเงียบงัน ในขณะที่เฉินเฉินเดินตามเขาไป เขานั้นรู้ประหลาดใจ

 

ถ้าเขาสัมผัสได้ถูกต้องแล้ว ชายในชุดดำนี้จะต้องอยู่ในขั้นก่อกำเนิดวิญญาณหรือสูงกว่านั้น!

 

เพียงแค่เขาเป็นลูกศิษย์ของสาขาแรกเพียงคนเดียว นั่นไม่ได้หมายความว่าสาขาแรกจะอ่อนแอ แต่มันมีแค่ลูกศิษย์เป็นทางการน้อยแค่นั้นเอง

 

“ศิษย์พี่โจว ทำไมถึงมีลูกศิษย์ในสาขาขัดเกลาร่างกายน้อยจังครับ?” เฉินเฉินถาม หลังจากที่ลังเลไปสักพัก

 

“ที่จริงแล้วเคยมีกันอยู่สามคน แต่พวกเขาตายกันไปกว่าสิบปีแล้ว” โจวเฟิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉย เขายังคงนิ่งเงียบต่อไป หลังจากที่ตอบคำถามเสร็จ

 

เฉินเฉินไม่ได้ถามอะไรต่อไป มันมีความลับหลายอย่างมากเกินในไปสำนักอสูรและเขาไม่เข้าใจพวกมันทั้งหมดได้อย่างทันที ซึ่งมันเป็นปัญหาใหญ่มาก

 

สิ่งที่เขาต้องการทำมากที่สุดตอนนี้ ไม่ใช่การค้นหาคำตอบของคำถามนี้ แต่มันคือการเอาเหรียญตราสื่อสารออกมาเพื่อรายงานว่าเขายังปลอดภัยดี

 

ยังไงก็ตามเขายังไม่กล้าที่จะทำมัน ก่อนหน้านี้ อาจารย์ของเขา เซี่ยวอู่โยวซึ่งอยู่ระดับสูงสุดของขั้นแก่นทองคำ เขาสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสวนของยอดเขาหลักที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรได้เลย มีเพียงแค่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่รู้ว่าโจวเหรินหลงจะสัมผัสได้ไกลขนาดไหน

 

เขาจะหาโอกาสที่จะออกไปจากสาขาแรกของสำนักอสูรเพื่อที่จะหยิบแหวนเก็บของออกมาได้อย่างสบายใจ

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน เขาก็ยังต้องตรวจสอบด้วยว่าไข่เต่าดำกำลังทำอะไรอยู่

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เฉินเฉินก็ได้เดินมาถึงภูเขากับโจวเฟิงโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ด้านบนยอดเขาที่ถูกตัดนั้นมีพื้นสนามขนาดใหญ่อยู่

 

มันมีคนนับร้อยคนที่รวมตัวกันอยู่พื้นสนาม

 

คนที่สวมชุดดำและเขาดูมีใบหน้าที่จริงจัง พวกเขายืนกันอย่างเงียบงัน ในขณะที่มีคนหลายคนต่อสู้กันอยู่บนสังเวียนใจกลางพื้นสนาม

 

เฉินเฉินคุ้นเคยกับหนึ่งในพวกเขา ซึ่งก็คือหยวนฉิงเทียนที่หายตัวไปและปรากฏตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

“ผู้อาวุโสโจวเฟิงสามารถที่จะโดนรุมสองคนโดยฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันได้ด้วยหรอครับ?” เฉินเฉินถาม เขาชี้ไปบนสังเวียนด้วยท่าทางที่สับสน

 

ในเวลานี้เอง มีคนหลายคนที่สวมชุดเดียวกันกับพวกเขา พวกเขาทั้งหมดต่างรุมกระทืบใส่หยวนฉิงเทียน

 

โจวเฟิงตอบกลับอย่างเย็นชา “นี่คือเล่ห์กลมายาของสาขาที่สาม นายน้อยเฟิงฮวน ซึ่งเขามีพรสวรรค์ในการใช้มนต์มายา

 

เฉินเฉินพยักหน้าเล็กน้อยและหลังจากนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นได้ว่าพวกเขาทั้งหมดต่างมีดวงตาสีฟ้าที่ดูดุดันกันทุกคน

 

เมื่อเห็นการต่อสู้มันดุเดือดมาขึ้นเรื่อยๆ หยวนฉิงเทียนคำรามออกมา “เฉินเฉิน! ไอ้เวร!”

 

หลังจากนั้นเองเขาก็ระเบิดพลังปราณออกมาและฟาดฝ่ามือเข้าใส่หนึ่งในนั้น

 

ชั่วขณะต่อมา คนหลายคนก็หายไปพร้อมกันและเฟิงฮวนก็โดนส่งกระเด็นออกไปนอกสังเวียน

 

เมื่อเห็นดังนี้ ใบหน้าของเฉินเฉินเฉยเมยมาก เมื่อเขาเตือนตัวเองว่าอย่าไปยุ่งกับเจ้าโง่นี่

 

“ฮ่าๆ ใครที่จะกล้าต่อสู้กับข้าอีก?!”

 

หยวนฉิงเทียนหัวเราะออกมาอย่างยาวนาน หลังจากชนะการต่อสู้ที่ยากลำบาก เขาเย่อหยิ่งและดูเด็กน้อยมาก เหมือนกับเด็กน้อยที่พึ่งจะได้รับลูกอมมายังไงยังงั้น

 

“จางเฉิน ลูกศิษย์ของสาขาแรกต้องการที่จะเข้าร่วมบททดสอบนี้กับหยวนฉิงเทียน”

 

ในเวลานี้เอง โจวเฟิงพูดออกมาดังก้อง น้ำเสียงของเขาดังกระจายไปทั่วบนพื้นสนาม

 

เพียงเวลาไม่นาน เฉินเฉินก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาของใครหลายคนจับจ้องมาที่เขา

 

ยังไงก็ตาม คนจากสำนักอสูรไม่ได้ชื่นชอบที่จะพูดกันสักเท่าไหร่ หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง พวกเขาก็มีท่าทางที่ดูประหลาดใจ ก่อนที่จะกลับมานิ่งเฉยอีกครั้งหนึ่ง

 

เฉินเฉินก็หันไปสังเกตพวกเขาและยิ่งเขามองไปที่พวกเขามากเท่าไหร่ เขายิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นเท่านั้น

 

สาขาที่สามของสำนักอสูรเป็นที่รู้จักกันดีในสาขาของมนต์มายา ตาสีน้ำเงินของเฟิงฮวนนั้นน่าตื่นตกใจมาก

 

ยิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือชุดของผู้หญิงของสาขาที่สี่นั้นฉาบฉวยมาก เธอแต่งตัวโป๊อย่างมาก ร่างกายของเธอถูกปกคลุมด้วยผ้าผืนเดียวเท่านั้น

 

“สาขาที่สี่นั้นเป็นที่รู้จักกันในนามสาขาของอสูร ซึ่งมันจะเต็มไปด้วยผู้ชายที่ฝึกฝนวิชาหยินหยาง ไม่เพียงแต่พวกเขาจะมีเสน่ห์อย่างเหลือล้นแล้ว ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาก็ยังอยู่บนๆของทั้งสามสิบหกสาขาอีกด้วย” โจงเฟิงบอกเขาอย่างเย็นชา

 

เมื่อมองไปยังผู้หญิงคนนั้นแล้วเฉินเฉินอดที่จะตัวสั่นไม่ได้ เขาเหมือนที่จะเคยเห็นมรดกของสาขาสี่ในดินแดนลึกลับมาก่อนหน้านี้

 

สาขาที่ห้าคือสาขาอาวุธและพวกเขาต่างเก่งกาจในด้านการทำอาวุธ นายน้อยของสาขานี้คือชายหนุ่มร่างบึกบึนที่แบกดาบยาวแปดเล่มไว้บนหลังของเขา ซึ่งมันทำให้มันดูเหมือนกับปีกนกอย่างมาก

 

สาขาหกคือสาขาพิษ นายน้อยของสาขาสวมชุดคลุมดำ ยังไงก็ตาม จุดที่เขายืนอยู่นั้นมืดสนิท

 

สาขาที่เจ็ดคือสาขาหุ่น นายน้อยของสาขามีขาสี่ขาและเขาดูไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไป

 

สาขาที่แปดคือสาขาแม่มดและลูกศิษย์คนนี้คือผู้อาวุโสที่บอกกันว่ามีอายุแค่ 23ปีเท่านั้น

 

 

สาขาที่สิบสองคือสาขาแห่งศพ นายน้อยของสาขานั้นปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาทั่วรอบตัวเขา

 

 

สาขาที่สามสิบหกคือสาขาของยารักษาและนายน้อยของสาขานั้นดูเหมือนจะมีอายุแค่สิบเอ็ดหรือสิบสองปี เขาแบกกล่องยามาพร้อมกับดูท่าทางเหนื่อยล้ามาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและเหมือนกับว่าเขายังไม่ได้เข้าสู่การฝึกตนเลยด้วยซ้ำ

 

เมื่อมองไปยังกลุ่มคนเหล่านี้แล้ว เฉินเฉินเหงื่อไหลออกมาบนหน้าผากของเขา

 

เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดทั้งสามสิบหกสำนักของรัฐจินแล้ว นายน้อยของสาขาทั้งสามสิบหกของสำนักอสูรต่างดูแปลกประหลาดมาก

 

“อ๊า ข้าหล่อเกินไปจนไม่เข้ากับพวกนี้เลย”

 

เฉินเฉินกังวล ปกติแล้วเขานั้นชินกับการเล่นมุกตลกแบบนี้แล้ว แต่ครั้งนี้มันคือเรื่องจริง

 

โชคยังดีที่เขาใส่หน้ากากน่ารังเกียจมาก่อนหน้านี้ ไม่อย่างงั้นแล้วเขาคงจะอับอายมากที่จะบอกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของสำนักอสูร

 

โจวเฟิงดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เฉินเฉินคิดและพูดอย่างใจเย็น “หน้าตาของพวกเขาอาจจะดูไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ในด้านความแข็งแกร่งแล้ว นอกจากเด็กนั่นที่อยู่ในสาขายารักษาแล้ว คนอื่นต่างเทียบเท่ากับผู้สืบทอดของรัฐจินที่อยู่ในขั้นสูงสุดของขั้นสร้างรากฐาน

 

“คนจากสาขาศพและหุ่นนั้นสามารถที่จะควบคุมผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานที่อยู่ในระดับสูงสุดได้หกคนพร้อมกัน แม้แต่คนที่อยู่ขั้นแก่นทองคำธรรมดาทั่วไปยังยากที่จะต้านทานกับเขาเลย

 

เฉินเฉินพยักหน้าหลังจากที่ทำความเข้าใจแล้ว

 

ยังไงก็ตามโจวเฟิงยังคงพูดต่อ

 

“นอกจากนี้แล้วมันยังมีเจ้าสำนักถึงยี่สิบสามรุ่นและนายน้อยของสาขามนต์มายา สาขาศพ พิษและอสูรต่างเคยเป็นเจ้าสำนักกันมาก่อนด้วย”

 

“ทรงพลังขนาดนี้เลย?”

 

เฉินเฉินประหลาดใจ สำนักอสูรนั้นมีความสามารถที่ชนะกันเองและจัดการได้ยากด้วย ยกตัวอย่างเช่น พิษนั้นเป็นดั่งกับภัยพิบัติต่อหุ่น

 

ยังไงก็ตาม พวกเขายังคงน่าหวาดกลัวอย่างมากอยู่ดี ตั้งแต่ที่พวกเขาสามารถที่จะกลายเป็นเจ้าสำนักได้เลย!

 

ในขณะที่พวกเขาพุดกัน ‘ผู้หญิง’ จากสาขาอสูรเดินเข้าไปในสังเวียนและต่อสู้กับหยวนฉิงเทียน

 

คุณหนูจากสาขาอสูรนั้นต่อสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม เธออาจจะเก่งกว่าหลินจินและฉีปู่ฝานเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเสื้อผ้าของเขายังหายไปตามกาลเวลาที่ต่อสู้กันด้วย

 

เมื่อเห็นดังนี้แล้วนายน้อยหลายต่อหลายคนขมวดคิ้ว

 

เฉินเฉินหันหน้าหนีและไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป นี่คือครั้งแรกที่เขาเห็นการต่อสู้แบบนี้

 

ยังไงก็ตามหยวนฉิงเทียนดูจะเสียความทรงจำไปอย่างสมบูรณ์ เขาดูไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามันหมายความว่าอะไร เพียงเวลาไม่นานเขาก็พูดประโยคเดิมและส่งคุณหนูกระเด็นออกไป

 

“เจ้าไม่มีความใจดีต่อผู้หญิงสักนิดเลยสินะ! ฮึ่ม!”

 

เธอพูดเสร็จ คุณหนูจากสาขาอสูรก็สวมชุดและพันรอบตัวเธออีกครั้งอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในฝูงชน

 

เมื่อเห็นชายที่ร่างบึกบึนกำลังจะเดินเข้าไปในสังเวียน เฉินเฉินยืนขึ้นและพูดออกมาอย่างเย็นชา “พอแล้ว เลิกเสียเวลาได้แล้ว ข้าจะเป็นคนทำเอง”

 

เมื่ออยู่ในสำนักอสูรและสวมหน้ากากที่น่ารังเกียจเช่นนี้แล้ว เฉินเฉินก็มีออร่าของคนที่เป็นลูกศิษย์อสูร

 

เมื่อเขาสังเกตมาสักพักหนึ่ง เขาก็เข้าใจเกี่ยวกับสำนักอสูรได้ระดับหนึ่ง

 

ถ้าเขาต้องการที่จะอยู่ที่นี่ได้อย่างดีแล้ว เขาจะต้องทำตัวเย่อหยิ่ง โอหังและมีความกล้าหาญที่จะต่อสู้!

 

ตราบเท่าที่เขามีหน้ากากนี่อยู่แล้ว เขาจะกลายเป็นคนแบบนั้น!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด