ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 73-2 สถานะอนุคนโปรดและชะตากรรม
ตอนรู้ว่าสินสอดของอวิ๋นหว่านเฟยถูกปล้นจนเกลี้ยง อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังทำสุราจากดอกไม้สามชนิด
ซึ่งประกอบด้วย ดอกท้อ ดอกคำฝอย ดอกเหอฮวน ผสมกับเหล้าขาวหนึ่งพันกรัม น้ำตาลกรวดห้าสิบกรัม ใส่รวมกันในถุงกรอง แล้วคั้นออกมา ผสมน้ำผึ้ง ใส่ลงในภาชนะ ปิดฝา แช่น้ำแข็งไว้สามวัน ก็เปิดฝาดื่มได้
สุราดอกไม้ (ค็อกเทล) หวานชื่นใจ มีแอลกอฮอล์หรือดีกรีต่ำกว่าสุราที่ผู้ชายดื่ม รสชาติเหมาะสำหรับผู้หญิง อีกทั้งยังช่วยให้โลหิตไหลเวียน ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังปิดผนึกขวดสุรา ชูซย่าก็กลับมารายงานเรื่องในช่วงเช้าที่เรือนหลักให้ฟังว่า ไป๋ฮูหยินย้ายที่พักแล้ว ส่วนสมบัติที่สะสมมานานหลายปี ที่อุตส่าห์ยกให้เป็นสินสอดลูกสาว กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า ประหนึ่งใช้ตะกร้าสานตักน้ำ
ผลกรรมอีกหนึ่งระลอก
อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดมือ เมื่อชาติที่แล้ว สองแม่ลูกฉวยโอกาสงาบกิจการสกุลสวี่ ซึ่งเป็นสินสอดของตนไป ชาตินี้ความมั่งคั่งที่สั่งสมมาสิบกว่าปี มลายหายสิ้น…ถ้าไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่โกรธจนตาย ก็คงจะกลั้นใจตาย
อวิ๋นหว่านชิ่นฟังพลางสวมถุงมือผ้าบางๆ หยิบกระดาษสีแดงติดปากขวด กดลง แล้วจึงก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ เป้าหมายใหญ่สำเร็จ ฟังแล้วจึงพยักหน้า บ่งบอกว่ารับทราบ
ขณะเดียวกัน เมี่ยวเอ๋อร์ก็กลับมารายงานเช่นกันว่า นางเพิ่งออกไปทำธุระที่บ้านป้าสี่ในตรอกดอกบัวมา นำคำพูดของคุณหนูใหญ่ไปแจ้งต่อหงเยียนว่า ให้เริ่มหาร้านที่มีทำเลเหมาะๆ ในเมืองหลวงได้
ซึ่งหงเยียนเองก็กำลังรอคำสั่งให้เริ่มภารกิจอยู่ พอเห็นเมี่ยวเอ๋อร์มา ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ รีบพยักหน้าขานรับโดยไม่พูดอะไรมาก
เมื่อจะเปิดร้านค้าขาย ย่อมต้องเลือกสถานที่ที่คึกคักพอสมควร แล้วถนนเส้นใดในเมืองหลวงเล่า ที่จัดว่าคึกคัก ย่อมเป็นย่านที่ตั้งจวนเว่ยอ๋อง ถนนในย่านนี้เต็มไปด้วยร้านรวงและผู้คนเดินขวักไขว่ ส่วนถนนเส้นใดที่เงียบสุด ย่อมเป็นย่านที่ตั้งจวนฉินอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย ขนาดนกกาบินผ่านก็ยังไม่แวะพัก ประมาณว่าในหนึ่งชั่วยามจะมีรถม้าผ่านมาสักคัน…
เอ๋ ทำไมพอนึกถึงที่ที่คึกคัก กลับนึกถึงที่ที่เขาพักอาศัยไปได้ อวิ๋นหว่านชิ่นเขกหัวตัวเอง แล้วรีบเปลี่ยนความคิด
ทว่า ย่านพระราชฐานแม้ดี แต่ก็เป็นเพียงความฝันสำหรับนางในตอนนี้ ข้อแรก ค่าเช่าร้านย่อมแพงกว่าย่านปกติ จึงเลิกพูดถึงเรื่องซื้อขาดไปได้ ข้อสอง ต่อให้ท่านมีเงิน ก็ไม่แน่ว่าจะเช่าได้ ด้วยมีคนมากมายกำลังแย่งกับท่านอยู่ และแม้มีร้านให้เช่ามากมาย แต่แย่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องดูว่าร้านเหล่านี้มีใครอยู่เบื้องหลังด้วย และพอได้ยินความเป็นมาของเถ้าแก่ร้านแต่ละคน ก็สรุปได้ว่ามีผู้มีอิทธิพลสองคนที่หนุนหลังอยู่
สองข้อนี้…ทำให้ตอนนี้อวิ๋นหว่านชิ่นถูกใจทำเลนี้ไม่ลง ซึ่งความจริงแล้ว ต่อให้มีปัญญาแย่งชิงมาได้
นางก็ไม่แน่ใจว่า พอเปิดร้านแล้วจะขายดิบขายดี จึงสนใจอีกทำเลหนึ่งมากกว่า
ถนนจิ้นเป่าทางทิศใต้ ซึ่งพอได้ยินชื่อ ก็รู้ทันทีว่าเป็นย่านการค้าที่มีพ่อค้าแม่ขายมารวมตัวกันมากมาย แม้เทียบไม่ได้กับร้านหรูหราในย่านพระราชฐาน แต่ก็มีความหลากหลายอยู่ เป็นหนึ่งในย่านค้าปลีกที่คนในเมืองหลวงชอบไปเดินกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงบอกให้หงเยียนไปดูแถวถนนจิ้นเป่าก่อนว่า มีทำเลที่เหมาะสมหรือไม่
ซึ่งหงเยียนก็ไปดูทุกวัน พอเห็นตรงไหนที่เหมาะสมก็จดบันทึกไว้ อย่างที่คุณหนูใหญ่ว่า ความจำดีมิสู้ลายมือแย่ และจากความต้องการของคุณหนูใหญ่ ทำให้นอกจากจดรายละเอียดของทำเล อย่างความกว้างความยาวของพื้นที่แล้ว นางยังต้องจดด้วยว่า แถวนั้นมีขายสินค้าอะไรบ้าง ในครึ่งชั่วยามมีลูกค้าเข้าร้านจำนวนเท่าไหร่ จำนวนคนเข้าในช่วงขายดีสุด กับช่วงเงียบสุด ต่างกันแค่ไหน รวมทั้งมีผู้จัดการและพนักงานขายในร้านกี่คน และหากเจอทำเลดีที่น่าสนใจ นางก็จะไปพูดคุยกับเจ้าของด้วยตัวเอง
หงเยียนจึงยุ่งทุกวัน แต่ก็ยุ่งอย่างมีความสุข แม้กลับถึงบ้านในสภาพเหงื่อไหลไคลย้อย ก็ยังมีความสุขกว่าอยู่บนเรือสำราญว่านชุนเป็นไหนๆ
ที่อวิ๋นหว่านชิ่นบอกให้นางเก็บข้อมูลทุกอย่าง มิใช่เพื่อหาทำเลที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่เพราะต้องการเปรียบเทียบกับร้านอื่นๆ บนถนนจิ้นเป่าด้วย จะได้เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่
หลังมื้อเที่ยง บ่าวของถงฮูหยินก็เข้ามาแจ้งว่า ผู้อาวุโสบอกให้คุณหนูใหญ่ลองสรุปหน่อยว่า การออกเรือนของคุณหนูรองในครั้งนี้ ควรเอาอะไรไปบ้างจึงจะเหมาะสม
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ สมบัติมากขนาดนี้ เมื่อท่านย่ายึดแล้ว ย่อมไม่มีทางให้คืนง่ายๆ ดูจากความขุ่นเคืองที่ท่านย่ามีต่อไป๋เสวี่ยฮุ่ย คิดว่าแม้แต่เครื่องประดับทองแดงสักชิ้นก็ยังคร้านที่จะให้อวิ๋นหว่านเฟย เพียงแต่ เมื่อหลานสาวออกเรือนทั้งที เพื่อหน้าตาของลูกชาย ก็ต้องให้อะไรบ้าง จะให้อวิ๋นหว่านเฟยเข้าบ้านเขามือเปล่า ก็ดูกระไรอยู่
ถงฮูหยินเพิ่งมาเมืองหลวงครั้งแรก ไม่รู้ธรรมเนียมการออกเรือนของคนเมือง กวาดตามองรอบกาย ก็ไม่เห็นมีใครเหมาะที่จะหารือด้วย อนุฟางแม้เป็นหญิงที่ออกเรือนแล้ว แต่เป็นการเลื่อนสถานะจากสาวใช้ขึ้นมาเป็นอนุ หนังสือก็รู้ไม่ครบทุกตัว คิดไปคิดมา คงต้องถามจากหลานสาวคนโตนี่ล่ะ นางเป็นคุณหนูที่อายุมากสุดของบ้าน ก่อนหน้านี้ก็เคยดูแลจัดการหลังบ้านอยู่ระยะหนึ่ง แม้ยังไม่เคยออกเรือน แต่เมื่ออยู่ในแวดวงกุลสตรีในเมือง จะมากจะน้อยก็ต้องเคยรู้มาบ้าง
อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดสักพัก ก็บอกให้บ่าวแจ้งกลับไปว่า “เรียนท่านย่า หลานขอแนะนำว่า การให้สินสมรส มิสู้ให้โต๊ะเครื่องแป้งไม้เนื้อแดงคันฉ่องหยก ผ้าห่มปักคำอวยพรทำนองลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง มุ้งกระโจมฝ้ายสีน้ำเงิน ความหมายกำลังดี เหมาะกับคุณหนูรอง”
บ่าวสงสัย “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ แต่ละอย่างหมายความว่าอะไรบ้าง”
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “โต๊ะเครื่องแป้ง หมายถึง เมื่อเข้าบ้านเขาแล้ว คุณหนูรองต้องดูแลรักษารูปร่างหน้าตาให้ดีอยู่เสมอ อนุกับฮูหยินไม่เหมือนกัน ฮูหยินแม้แก่ชราลง ก็ยังมีตำแหน่งและสถานะสูงส่ง ไม่มีใครกล้าดูหมิ่น ลูกๆ ที่เกิดจากนาง ก็ต้องเรียกนางว่าท่านแม่อย่างเคารพนอบน้อม นางจึงอยู่อย่างแข็งแรงและมีความสุข ทว่าอนุนั้น ถ้าอยากเป็นคนโปรดนานๆ ก็ต้องรักษารูปร่างหน้าตาให้ดี ขืนปล่อยตัว ไม่ดูแลตัวเอง ก็จะยิ่งไม่มีใครให้ความสำคัญ ดังนั้นจึงต้องมีโต๊ะเครื่องแป้งไว้เตือนสติ ให้หมั่นส่องคันฉ่อง อย่าปล่อยให้ตัวเองแห้งเ**่ยวไปตามกาลเวลา ผ้าห่มปักคำมงคลว่า ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เมื่อรับอนุเข้าบ้าน สามีย่อมหวังให้นางออกดอกออกผล สามปีสองคน ยิ่งมากเท่าไหร่ สามีก็ยิ่งชอบเท่านั้น ส่วนมุ้งกระโจมฝ้ายสีน้ำเงิน ก็คือการรวมความหมายทั้งสองอย่างข้างต้นไว้ด้วยกัน สีน้ำเงินหมายถึงยามค่ำคืน มุ้งกระโจมเป็นส่วนหนึ่งของเตียง อันนี้ ข้าก็พูดมากไม่ได้แล้ว ท่านย่าเข้าใจดี…”
พอบ่าวฟังถึงของชิ้นสุดท้าย ก็หน้าแดง ถึงคุณหนูใหญ่พูดไม่หมด นางกลับก็เข้าใจ อนุเป็นได้ก็เพียงที่รองรับแรงปรารถนาของผู้ชายชั่วคราว มุ้งกระโจมสีน้ำเงิน เตือนให้คุณหนูรองรักษาเวลาชั่วคราวนี้ไว้ให้นานๆ ให้สามีเข้ากระโจมนางทุกคืน
ทว่า อย่าพูดไป ของขวัญที่คุณหนูใหญ่เสนอนั้น ตรงไปตรงมาจริงๆ เรียบง่ายแต่ทรงพลัง และน่าจะถูกใจผู้อาวุโสด้วย เพราะผู้อาวุโสในตอนนี้ อยากจะให้สินสอดอะไรกับคุณหนูรองที่ไหนกัน ของขวัญเช่นนี้ ไม่เพียงมีความหมายเหมาะกับการรับอนุเข้าบ้าน ที่สำคัญคือ ไม่ฟุ่มเฟือย ผู้อาวุโสย่อมเห็นด้วย
บ่าวจึงจำให้ขึ้นใจ ถอนสายบัว แล้วรีบขอตัวกลับเรือนตะวันตก ถ่ายทอดคำพูดของคุณหนูใหญ่ให้ถงฮูหยินฟัง
และเป็นไปตามที่นางคาดไม่มีผิด พอฟังจบ ถงฮูหยินก็ยิ้มหน้าบาน
“ข้าว่าแล้ว ยังคงเป็นชิ่นเอ๋อร์ที่รู้ใจข้ามากที่สุด และรู้จักกาลเทศะมากที่สุด!”
หวงน้าสี่กำลังปรนนิบัติถงฮูหยิน รินน้ำชาและทุบขาอยู่ด้านข้าง ไหนเลยจะไม่รู้ว่าหญิงชราคิดอย่างไร จึงยิ้มรับ
“จริงด้วย ลูกสาวทั้งบ้าน ชิ่นเอ๋อร์น่ะฉลาดสุด ลูกเมียหลวง อย่างไรก็เก่งกว่าลูกเมียน้อยที่ชั่วร้ายนั่น แต่อย่าพูดไป ข้าว่าลูกสาวของน้องรอง ก็มีแต่นางนี่ล่ะที่จะประสบความสำเร็จ ได้แต่งกับเจ้าใหญ่นายโต นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่สกุลอวิ๋น!”
หวงน้าสี่พูดไปเช่นนั้นเอง แต่พอถงฮูหยินได้ยิน หัวใจก็เต้นตึกตักขึ้นมา แต่ก็พยายามสงบจิตสงบใจ จะว่าไป ชิ่นเอ๋อร์ก็เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งปี ถึงจะเข้าเกณฑ์แต่งงาน ผู้หญิงในเมืองแต่งช้ากว่าผู้หญิงในชนบทนิดหน่อย แต่อายุในตอนนี้ของชิ่นเอ๋อร์ แม้ยังแต่งงานไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรมีคู่หมั้นแล้ว ซึ่งเดิมทีนางกับจวนโหวเคยหมั้นปากเปล่ากันอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว น่าเสียดายจริงๆ…
หญิงชราถอนหายใจเบาๆ ถ้าช่วงที่ตนอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ได้จัดการเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลใหญ่ๆ ให้หลานสาวคนโตสำเร็จ ก็จะเบาใจลง กลับบ้านไป ยังคุยโวได้อีก
ถงฮูหยินทำอะไรรวดเร็วตรงไปตรงมา ถ้าบอกว่าจะทำก็ต้องทำ จึงทำตามความคิดของอวิ๋นหว่านชิ่น เตรียมของขวัญสามอย่างไว้เรียบร้อย คืนก่อนวันออกเรือนของอวิ๋นหว่านเฟย ก็เรียกให้คนบรรจุใส่ลัง แล้วยกออกไป
เมื่ออวิ๋นหว่านเฟยได้ยินว่า ถงฮูหยินยังให้สินสมรสตนติดตัวมาส่วนหนึ่ง ก็ไม่ต้องพูดแล้ว ต้องต่างกับที่
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเตรียมไว้ให้ราวฟ้ากับเหวแน่ และพอส่งคนไปสืบดู ก็ได้ความว่า มีเพียงลังเดียว
ลังเดียวเท่านั้น…ของดีอะไรนักหนา
อวิ๋นหว่านเฟยมิได้หวังสูงขนาดที่ว่า ข้างในคือทองหยอง แต่ลึกๆ แล้ว ก็หวังอยู่ส่วนหนึ่ง
อีกทั้ง สินสมรสแม้มีเพียงลังเดียว ถงฮูหยินก็เหมือนไม่ไว้ใจ ก่อนตนออกเรือน ยังเรียกคนให้ยกมาไว้ที่เรือนตนอีก
อวิ๋นหว่านเฟยจึงอดรนทนไม่ไหว พอตกดึก ก็เรียกเฝ่ยชุ่ยกับปี้หยิงที่กำลังจะตามตนไป ยกลังเข้ามาเปิดออกดู
คอมเม้นต์