ยอดนักรบจอมราชัน – ตอนที่ 174 เผชิญหน้ากับศัตรูหัวใจอีกครั้ง
เมื่อเห็นเหว่ยเฉินหลงกับพวกที่กำลังเดินเข้ามาในโรงพยาบาล ใบหน้าของเหว่ยตงฉิงก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที ใบหน้าอ้วน ๆ ของเธอในตอนนี้มันดูเหมือนกับลูกซาลาเปาที่มีรอยยิ้มจนแทบมองไม่เห็นดวงตาคู่เล็ก ๆ ของเธอ เพราะมันมีเพียงแค่ขอบตาของเธอเท่านั้นที่เหลือให้เห็นอยู่
เหว่ยเฉินหลงนั้นไม่ได้มีความรู้สึกประทับใจอะไรในตัวของอาของตัวเองเลย บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเขาคิดว่าตัวเองนั้นเป็นโอรสแห่งสรวงสวรรค์และสูงส่ง เขาจึงหยิ่งผยองและไม่ยอมเปิดใจรับคนอื่น ๆ เขานั้นภูมิใจในตัวเองอย่างมากในฐานะที่เป็นถึงทายาทของผู้ทรงอิทธิพลแห่งเมืองเซี่ยงไฮ้ อย่างไรก็ตามผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงเป็นอาแท้ ๆ ของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหว่ยเฉินหลงจึงเรียกเธออย่างสุภาพว่า “คุณอา!” แต่ทว่าน้ำเสียงของเขานั้นไม่ค่อยมีความเคารพเท่าไหร่นักเพราะมันเป็นน้ำเสียงที่ดูฉุนเฉียวและร้อนรน ในขณะเดียวกันนั้น เซินหยวนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็พยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจของใคร เขาไม่อยากจะไปอะไรมากกับคนในครอบครัวนี้ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานกับเหว่ยตงฉิงก็ตาม
ความรักของครอบครัวนี้มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่งเกินกว่าที่พวกเขาจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้!
เซินหยวนไม่ได้อยากที่จะพูดจาประจบประแจงอะไรกับใครมากนัก เพราะเขาแต่งงานกับหญิงวัยกลางคนคนนี้มานานหลายปีแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเขานั้นก็ต้องรู้จักกับหลานชายคนนี้ของเธอเป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน เขาไม่อยากและขี้เกียจเกินไปที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ด้วย
เหว่ยตงฉิงเดินเข้าไปหาและทักทายเขาด้วยสีหน้าที่เสแสร้งแกล้งทำและพูดว่า “เฉินหลง! มาถึงจนได้นะ เธอต้องแก้แค้นให้อาของเธอนะ เธอไม่รู้หรอกว่าไอ้เด็กคนนั้นมันน่ากลัวแค่ไหน ดูหน้าอาของเธอสิมันยังบวมอยู่เลย”
เหว่ยเฉินหลงชำเลืองมองไปที่แก้มอ้วน ๆ ของเหว่ยตงฉิงและเห็นว่ามันบวมใหญ่ขึ้นจนเห็นแค่ตาเล็ก ๆ และจมูกใหญ่ ๆ ของเธอ แวบแรกเขาเองก็นึกว่าตัวเองกำลังมองไปที่หัวหมูที่วางขายอยู่บนแผงขายเนื้อตามท้องตลาดเสียอีก
ทันใดนั้นเหว่ยเฉินหลงก็รู้สึกแปลก ๆ มันเหมือนกับว่าในท้องของเขานั้นกำลังปั่นป่วนอย่างที่สุด จนเขาแทบจะอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ โชคดีที่มันไม่ใช่ครั้งแรกของเขาที่ได้เห็นอาอ้วน ๆ คนนี้ ถึงแม้ว่าเหว่ยเฉินหลงจะไม่ได้พูดว่าเธอกลายเป็น ‘คิงคองที่ไม่เลวเลย’ แต่สีหน้าและการแสดงออกของเขาก็ชัดเจนอย่างมาก ตอนนี้เขาแทบจะอดกลั้นความอยากที่จะอาเจียนไม่ไหว เขาจึงผลักเหว่ยตงฉิงออกไปเล็กน้อยเพื่อให้เธอออกไปให้ห่างจากตัวเขา ไม่เช่นนั้นแล้วเหว่ยเฉินหลงก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าวันนี้เขาจะยังสามารถกินอาหารเย็นลงได้อีกหรือเปล่า หรืออาจจะต้องสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายกลางดึกก็เป็นได้
เซินหยวนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทันใดนั้นก็มีภาพสะท้อนแวบเข้ามาในหัวของเขา สำหรับเซินหยวนนั้นเขาต้องนอนฝันร้ายทุกคืน เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยฝันเห็นเหว่ยตงฉิงแต่งตัวเป็นราชินี เธอสวมเสื้อหนัง กางเกงหนังและรองเท้าส้นสูงพร้อมกับถือแส้อยู่ในมือและกำลังฟาดเขาอยู่ ส่วนตัวเขาเองนั้นเป็นเหมือนกับหนูน้อยที่น่าสงสารและสิ้นหวังที่กำลังถูกแมวตัวใหญ่ ๆ ขย้ำ ส่วนอีกครั้งที่เขาจำมันได้ดีคือ เขาฝันว่าตัวเองนั้นถูกมัดติดกับเตียงอย่างหมดหนทางสู้จากนั้นก็มีสัตว์อสุรกายตัวยักษ์ที่น่าเกลียดน่ากลัวเหมือนหมูสามชั้นกลายพันธุ์กำลังนั่งทับบนใบหน้าของเขา
“มันอยู่ไหน ?” เหว่ยเฉินหลงถาม
“มันไปกินข้าวเย็น แต่มันบอกว่าจะกลับมาเร็ว ๆ นี้” เหว่ยตงฉิงตอบอย่างเร่งรีบ
เหว่ยเฉินหลงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และคิดในใจว่าพวกเขาจะกลับกันมาเมื่อไหร่และต้องรออีกนานแค่ไหน แล้วถ้าหลังจากที่ตัวเองและลูกน้องกลับไปแล้ว เขาจะยังกลับมารังควาญเธออยู่อีกหรือไม่ ? มันช่างเป็นเรื่องที่งี่เง่าสิ้นดีเมื่อคิดว่าเขาถูกพ่อเรียกให้มาทำสิ่งที่น่าเบื่อแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้ยินว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่และเขาจะทำอะไรต่อได้ล่ะ ? เหว่ยเฉินหลงอยากจะตบอาที่งี่เง่าคนนี้ให้ตายคามือเสียจริง ๆ
ทุกวันนี้ต่อให้เหว่ยเฉินหลงไม่ต้องเข้ามายุ่งวุ่นวานกับเรื่องของอาของเขา เขาก็มีเรื่องให้รู้สึกหดหู่ใจอย่างมากอยู่แล้ว ตั้งแต่การปรากฏตัวของชายที่มีชื่อว่าเย่เชียน ฉินหยูก็ไม่เคยแยแสตัวเขาอีกเลย เหว่ยเฉินหลงนั้นรู้จักตัวตนของฉินหยูดี เธอเป็นถึงลูกสาวของประธานใหญ่แห่งหงเหมินกรุ๊ป ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เขาไล่ตามจีบฉินหยูมาอย่างเนิ่นนาน ถึงแม้ว่าเหว่ยตงเซียนกรุ๊ปจะมีอำนาจอย่างล้นหลามในตอนนี้ แต่ทว่าหงเหมินกรุ๊ปเองก็เป็นถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในนามองค์กรอันดับ 1 ของประเทศจีน ตราบใดที่เขาสามารถเป็นเจ้าของฉินหยูและมัดใจเธอได้ มันก็จะทำให้เขากลายเป็นลูกเขยของหงเหมินกรุ๊ปได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ท่ามกลางบรรดาสาว ๆ จากหลาย ๆ ตระกูล ฉินหยูนั้นเป็นคนดีและเพียบพร้อมที่สุด ทั้งความมั่งคั่ง สถานะและความงดงาม แต่อย่างไรก็ตามทุกวันนี้สิ่งดี ๆ เหล่านั้นมันถูกทำลายลงโดยชายที่มีชื่อว่าเย่เชียน เหว่ยเฉินหลงเกลียดผู้ชายคนนี้เข้าไส้เข้ากระดูกดำ เกลียดมากจนอยากที่จะกลืนกินเนื้อและดื่มเลือดของเขาเลยทีเดียว
ล่าสุดที่เขารู้ว่าอู่หยางเทียนหมิงต้องการที่จะกำจัดเย่เชียนไปซะให้พ้นทาง มันก็ทำให้เหว่ยเฉินหลงมีความสุขมากและไม่มีความลังเลใด ๆ ในการช่วยจัดหาคนสามสี่คนให้อู่หยางเทียนหมิง แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่เขาคาดหมาย เพราะไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามีชีวิตรอดกลับมาได้เลยสักคนเดียว และอู่หยางเทียนหมิงเองก็เสียชีวิตลงอย่างน่าอนาถ
เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาก็ว่าจ้างให้ทหารรับจ้างของกลุ่มเหยี่ยวดำทมิฬไปลอบสังหารเย่เชียน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวอีกครั้ง มันทำให้เหว่ยเฉินหลงถึงกับสงสัยว่าเย่เชียนนั้นมีแข็งแกร่งและมีพลังมากเกินไปหรือเปล่า เพราะว่ากลุ่มทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬนั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดา ๆ เลย
“ในเมื่อพวกมันไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วคุณอาจะให้ผมทำอะไรล่ะ ?” เหว่ยเฉินหลงพูดอย่างหดหู่
“อ้าว ? ก็มันบอกว่ามันจะกลับมาหลังจากกินข้าวเสร็จหนิ” เหว่ยตงฉิงพูด
“คุณอา! คุณอาจะบ้าไปแล้วเหรอ ? พวกมันจะกลับมาให้โง่ทำไม ถ้าพวกมันรู้ว่าคุณอารอตอบโต้อยู่ที่นี่น่ะ ? ผมคิดว่าเรากลับกันก่อนดีกว่า กลับไปแล้วผมจะช่วยตรวจสอบเรื่องของคนนั้นให้คุณอาเอง แล้วผมจะช่วยแก้แค้นให้คุณอาทีหลัง… ตกลงมั้ย ?” เหว่ยเฉินหลงพูดขณะที่พยายามระงับความเดือดดาลเอาไว้
“แต่… แต่ว่า… ” เหว่ยตงฉิงพูดตะกุกตะกัก เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เต็มใจที่จะยอมปล่อยเย่เชียนให้หลุดมือไปง่าย ๆ
ทันใดนั้นเหว่ยตงฉิงก็เหลือบไปเห็นเย่เชียนที่กำลังเดินเข้ามาจากด้านนอกและจับมือของหลินโรโร่วอยู่ เมื่อเห็นแบบนั้นเธอก็พูดอย่างตื่นเต้นและร้อนรนว่า “นั่นไง! มันกลับมาแล้ว ไอ้เด็กคนนั้นน่ะ”
เหว่ยเฉินหลงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะหันหน้าไปมอง เมื่อเขาเห็นเย่เชียนกำลังเดินเข้ามาในโรงพยาบาลพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวบนใบหน้า เหว่ยเฉินหลงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เพราะเขาได้เจอกับศัตรูหัวใจของเขาที่ไม่ได้พบกันมานานอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นเหว่ยเฉินหลงก็เหลือบไปมองทหารรับจ้างทั้งสี่ที่เขาว่าจ้างมาจากกลุ่มทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเขา ซึ่งมันทำให้เหว่ยเฉินหลงรู้สึกสบายใจและมีชัยอย่างมาก
เย่เชียนและหลินโรโร่วพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุขขณะเดินเข้ามาจากด้านนอกของโรงพยาบาล หลังจากที่เห็นเหว่ยเฉินหลงแล้วเย่เชียนก็ไม่ได้มีสีหน้าหรือการแสดงออกที่ดูแปลกใจอะไรเลย เพราะเขารู้แล้วว่าเหว่ยตงฉิงนั้นเป็นน้องสาวของเหว่ยตงเซียน มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เหว่ยเฉินหลงจะโผล่มาช่วยอาของเขา จากนั้นเย่เชียนก็หันหน้าไปมองหลินโรโร่วและพูดว่า “โรโร่ว… คุณไปทำงานก่อนเถอะ!”
หลินโรโร่วกวาดสายตามองไปที่เหว่ยเฉินหลงและชายชาวต่างชาติผมบลอนด์ร่างกำยำสี่คนที่ยืนอยู่ข้างหลังของเหว่ยเฉินหลง จากนั้นเธอก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดเบา ๆ ว่า “ระวังตัวด้วยนะ”
“ครับผม! ไม่ต้องกังวลไปหรอก คุณไปทำงานเถอะ แค่นี้เองผมสบาย ๆ อยู่แล้ว” เย่เชียนพูดพร้อมรอยยิ้ม
เย่เชียนเดินไปหาเหว่ยเฉินหลงอย่างสบาย ๆ และยิ้มให้เล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “อ้าว! นายน้อยเหว่ยไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เหว่ยตงฉิงมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจอย่างมาก จากนั้นก็หันไปมองที่เหว่ยเฉินหลงและพูดว่า “เฉินหลง เธอรู้จักกันเหรอ ?”
เหว่ยเฉินหลงไม่ได้แยแสเธอเลยแม้แต่น้อย ได้แต่มองไปที่เย่เชียนและพูดว่า “นานแล้วสินะ… ดูเหมือนว่านายจะมีความสุขมากเลยสินะ แอบมีผู้หญิงอีกคนอยู่ข้าง ๆ ทั้งที่มีฉินหยูอยู่แล้วทั้งคน”
เย่เชียนแสยะยิ้มและพูดว่า “โถ… นายน้อยเหว่ย ผมว่าคุณพูดเกินจริงไปหน่อยนะ ผมน่ะเป็นคนตรงไปตรงมาและจริงใจ คุณจะมาพูดอย่างงั้นได้ไง ? ดูเหมือนว่าคุณจะอิจฉาผมล่ะสินะ”
เหว่ยตงฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ทั้งสองคนอย่างโง่เขลา มันดูราวกับว่าพวกเขากำลังคุยกันเหมือนเป็นเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันในรอบหลายปี ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมากและอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกว่า “เฉินหลง! เธอไปคุยกับมันทำไม ? รีบช่วยอาของเธอล้างแค้นมันสิ อย่าปล่อยมันให้หนีไปได้นะ มันคงยากที่จะลบล้างความร้าวฉานและความเกลียดชังในใจของฉัน ถ้าวันนี้มันจะไม่ถูกหักมือและเท้าของมัน!”
คอมเม้นต์