ยอดนักรบจอมราชัน – ตอนที่ 448 ความกังวลของแม่ม่ายดำ

อ่านนิยายจีนเรื่อง ยอดนักรบจอมราชัน ตอนที่ 448 ความกังวลของแม่ม่ายดำ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 448 ความกังวลของแม่ม่ายดำ

ซึ่งสิ่งที่แม่ม่ายดำจือเหวินกังวลนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งเพราะอันที่จริงแล้วคนที่อยู่ในตำแหน่งเช่นเธอนั้นจะต้องรู้อย่างชัดเจนว่าประเทศจีนนั้นกำลังจะดำเนินการปราบปรามองค์กรใต้ดินครั้งใหญ่ในทุกๆ สองถึงสามปีเพื่อกวาดล้างบุคคลที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดเหล่านั้น ซึ่งสิ่งนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เลวร้ายมากมายอะไรและไม่ว่าองค์กรใต้ดินในท้องถิ่นจะอาละวาดสักแค่ไหนนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเหล่านั้น

หวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นอยู่ในความดูแลของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติและเขาต้องชัดเจนมากเกี่ยวกับการกระทำของเขาในเรื่องนี้เพราะการมาเยือนอย่างกะทันหันของเขานั้นทำให้แม่ม่ายดำจือเหวินรู้สึกถึงวิกฤตอย่างมากเพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาองค์กรในโลกใต้ดินของดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีนก็ถูกกวาดล้างออกไปจำนวนมากแล้วใครจะรู้ได้ว่าประเทศนั้นจะทำการกวาดล้างวงการโลกใต้ดินของดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกเมื่อไหร่?

เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้บริหารระดับสูงของประเทศจีนนั้นต่างก็พิจารณาความเห็นของประชาชนทั้งประเทศและวิสัยทัศน์ของพวกเขาก็กว้างไกลขึ้นและยิ่งไปกว่านั้นองค์กรใต้ดินที่ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นไม่มีองค์กรไหนที่ดีเลยและแม้แต่แม่ม่ายดำจือเหวินเองก็ยอมรับเพราะในฐานะนักเลงแล้วใครไม่เคยทำสิ่งที่เลวร้ายบ้าง? ดังนั้นคนทุกคนล้วนจะรู้อยู่แก่ใจตัวเองกันทั้งนั้น

“เขาไม่ได้บอกอะไรตอนที่ฉันคุยโทรศัพท์กับเขาเลย..เพราะงั้นฉันก็ไม่รู้หรอก” หยุนเหลาพูด “อย่างไรก็ตามในความคิดของฉันน่ะตอนนี้สถานการณ์ที่นี่ค่อนข้างที่จะตึงเครียดเนื่องจากการตายของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่..เพราะงั้นฉันจึงคิดว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนต้องการมาเพื่อเตือนเธอและบอกให้เธออยู่ในความสงบเพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องการตอนนี้คือความมั่นคงและแน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งกันจนเกิดการฆ่าฟันกันกลางถนนแบบนั้น”

แม่ม่ายดำจือเหวินก็พยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรใดๆ อีกซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะทันทีที่ข่าวการเสียชีวิตของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ถูกแพร่ออกไปในเช้าวันนี้กำให้สถานการณ์ในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมดอยู่ในความสับสนวุ่นวายและเหล่าอันธพาลบนท้องถนนต่างก็โผล่ออกมาเพื่อใช้โอกาสนี้ในการสร้างเงินและกำไร ด้วยเหตุนี้กรมตำรวจส่วนกลางและสถานีตำรวจในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่างก็ส่งคนออกไปลาดตระเวนและเฝ้าระวังกันมากขึ้น

“เสี่ยวเหวินไม่ต้องกังวลไป..เพราะไม่ว่ายังไงก็ตามฉันคิดว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนยังคงไว้หน้าและเคารพฉันอยู่” หยุดเหลาพูด

“ฉันน่ะไม่กลัวตายหรอก..ฉันแค่กลัวว่าถ้าฉันตายไปขี้เถ้าของพี่ชายของฉันจะไม่มีวันกลับไปยังบ้านเกิดของเขาน่ะสิ” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด จากจุดเริ่มต้นของเส้นทางแห่งถนนสายนี้นั้นแม่ม่ายดำจือเหวินก็รู้อยู่แก่ใจว่าเธอได้ก้าวเท้าหนึ่งเข้าไปในโลกแห่งความตายแล้ว ดังนั้นความตายจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับเธออีกต่อไปแต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือเธอจะไม่สามารถนำขี้เถ้าของหยางเทียนกลับคืนมาได้และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือการที่เธอจะผิดสัญญากับหยางเทียนนั่นเอง

“นี่! ..ถ้าเธอทำไม่ได้จริงๆ เธอก็ทำได้แค่โทษหยางเทียนเพราะเขาทำตัวเองเท่านั้น” หยุนเหลาถอนหายใจและพูดว่า “สำคัญที่สุดคือการมีชีวิตอยู่..เพราะแค่ไม่กี่สิบปีชื่อเสียงและสถานะของเราจะเป็นอย่างไรในท้ายที่สุดก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้..เพราะงั้นมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าขนมในถ้วย..ดังนั้นถ้าไม่ใช่เพราะฉันล่ะก็หยางเทียนก็คงจะไม่ต้องจบชีวิตไปแบบนั้น”

เมื่อคนเราอายุมากขึ้นมันก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมองผ่านและปล่อยวางหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างโดยปราศจากจิตวิญญาณและความทะเยอทะยานไป ซึ่งแต่ก่อนนั้นหยุนเหลาไม่ใช่คนที่ร่าเริงและใจดีเลยแต่ทว่าตอนนี้เขาไม่มีความทะเยอทะยานที่จะต่อสู้อีกต่อไปแล้ว

“ผู้อาวุโสหยุนอย่ารู้สึกผิดไปเลยค่ะ..ที่จริงแล้วเส้นทางของทุกคนล้วนถูกเลือกด้วยตัวของเขาเอง..ดังนั้นจึงไม่มีใครผิดและคนคนนั้นก็ไม่สามารถโทษคนอื่นได้..ฉันคิดว่าพี่เทียนก็จะไม่ตำหนิคุณเช่นกัน..เพราะถ้าหากให้โอกาสเขาอีกครั้งฉันก็เชื่อว่าเขาจะยังคงเลือกแบบนั้นเหมือนเดิม..บางครั้งคนเราก็ไม่สามารถตัดสินใจอะไรในระยะเวลาสั้นๆ ได้” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด

ดั่งที่หยางเทียนเคยพูดเอาไว้ว่าเขาอาศัยอยู่ในบ้านที่หรูที่สุดและขับรถที่แพงที่สุดและกินอาหารทะเลอันโอชะที่สุดและไปหาผู้หญิงที่สวยที่สุด ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้ชายในช่วงชีวิตของพวกเขา

“ผุ้อาวุโสหยุนครับ..มีคนจากสำนักความมั่นคงแห่งชาติมาหาคุณ” ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งเดินเข้ามาและพูดอย่างเร่งรีบและทำความเคารพ

เมื่อเสียงนั้นจบลงหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็เดินเข้ามาและยิ้มเล็กยิ้มน้อยโดยมีผู้ชายและผู้หญิงติดตามมาด้วยซึ่งทั้งสองคนนั้นก็คือจื้อจุนและเซียวหวัน

เมื่อหยุนเหลาเห็นเช่นนั้นเขาก็รีบลุกขึ้นยืนเพราะถึงแม้ว่าความอาวุโสของเขาจะสูงกว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ตามแต่ทว่าตอนนี้ตัวตนของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นแตกต่างออกไปและเขาก็ไม่สามารถวางตัวแบบเดิมได้อีกต่อไป ซึ่งนี่ก็เป็นเหมือนกับเจ้าสาวในสมัยโบราณเพราะถึงแม้ว่าเธอจะแต่งงานกับใครก็ตามถึงยังไงแม่ของสามีของเธอก็ยังต้องคุกเข่าและโค้งคำนับเมื่อเห็นเธอและนี่ก็คือประเด็นของความเคารพและการวางตัวของมนุษย์

แม่ม่ายดำจือเหวินก็รีบทำตามโดยลุกขึ้นยืนโดยไม่ระมัดระวังและไม่แสดงความเคารพใดๆ ซึ่งเธอก็ยังคงมีสีหน้าที่เฉยเมย เพราะท้ายที่สุดแล้วเธอเองก็เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาๆ เช่นกันดังนั้นถ้าหากเธอกลัวหวงฟู่ชิงเตี๋ยนล่ะก็เธอจะไม่เสียศักดิ์ศรีของเธอไปหรือ?

หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็หัวเราะเบาๆ และสวมกอดหยุนเหลาแล้วถามว่า “เป็นยังไงบ้างลุงหยุน..สุขภาพแข็งแรงดีไหม” สำหรับหยุนเหลาแล้วแน่นอนว่าเขาคือเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของพ่อของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนที่คอยดูแลเขามานานหลายปีเมื่อเขายังเป็นเด็ก ดังนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็จะไม่แสดงออกและวางตัวในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติแต่อย่างใด

ในสมัยนั้นถ้าหากไม่ใช่เพราะหยุนเหลาแล้วล่ก็เกรงว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนคงจะไม่มีตำแหน่งและสถานะอย่างทุกวันนี้เพราะในช่วงของการปฏิวัติประเทศนั้นเนื่องจากพ่อของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้เสียชีวิตลงท่ามกลางสงครามนั้นเหยุนเหลาจึงกลับมาทบทวนเรื่องเก่าๆ และช่วยทำให้ครอบครัวของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเจริญรุ่งเรืองขึ้น ซึ่งในเวลานั้นหยุนเหลาได้สาปแช่งเบื้องบนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐอย่างเดือดดาลว่าพวกเขาเหล่านั้นกินและนอนอย่างสบายอยู่ที่บ้านในขณะที่ตนออกไปทำสงครามเช่นนั้นใช่หรือไม่? พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้หรือว่าตนเองเพื่อนทหารต้องเสียสละและหลั่งเลือดไปมากแค่ไหนและบาดเจ็บมากมายแค่ไหนเพื่อประเทศชาติ? ซึ่งแม้แต่ชีวิตของเหล่าทหารนั้นก็ได้มอบให้กับประเทศชาติเช่นนั้นแล้วเบื้องบนยังจะปล่อยให้เหล่าทหารต้องตายอีกหรือ?

ท้ายที่สุดหยุนเหลาก็สาปแช่งด้วยความโกรธเกรี้ยวว่าถ้าใครกล้าที่จะเพิกเฉยเขาล่ะก็เขาจะทำให้คนเหล่านั้นไม่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ในวันต่อไปได้อีกและด้วยวิธีนี้จึงทำให้ครอบครัวของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้รับการช่วยเหลือจากเขาและต่อมาหยุนเหลาก็ได้ใช้ความสัมพันธ์และเครือข่ายต่างๆ เพื่อส่งพวกเขาไปยังรัฐบาลจนตอนนี้ตระกูลหวงฟู่จึงมีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่เช่นนี้

ความเมตตาเหล่านี้ไม่ใช่ความโปรดปรานเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าหากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนลืมเรื่องนี้ไปล่ะก็เขาคงจะต้องสวมบทบาทการเป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติที่ไม่รู้จักบุญคุณอย่างยิ่ง

หยุนเหลาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เหอะๆ ..ฉันยังไม่ตาย” ในขณะที่เขาพูดเขาก็โบกมือให้และรีบจับมือหวงฟู่ชิงเตี๋ยนอีกครั้งและพูดว่า “มาสิ..เดี๋ยวฉันจะแนะนำให้”

“เหอะๆ ..นี่น่าจะเป็นคุณจือเหวินผู้โด่งดังในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือใช่ไหม..ช่างงดงามจริงๆ” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเอื้อมมือออกไปและพูดอย่างสุภาพ

“ค่ะผู้อำนวยการหวงฟู่..ขอโทษที่คุณหยุนและสามีของฉันไปทำให้คุณขุ่นเคือง” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด ซึ่งกับคนนอกนั้นจือเหวินมักจะเรียกหยางเทียนว่าสามีของเธอและหยางเทียนเองก็เรียกเธอว่าผู้หญิงของเขาต่อหน้าคนนอกเช่นกัน

หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็หัวเราะและพูดว่า “คุณจือเป็นคนถ่อมตัวเกินไป..ความสำเร็จของคนเราน่ะมันไม่ใช่เพราะความบังเอิญหรอกมันคือความพยายามล้วนๆ ..การที่คุณจือสามารถมีทุกวันนี้ได้นั้นมันก็เป็นเพราะความพยายามของคุณจือเอง..คุณคือสตรีที่แข็งแกร่งจริงๆ”

“ขอบคุณค่ะ!” แม่ม่ายดำจือเหวินพยักหน้าเบาๆ และพูด

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก..มานั่งเถอะ!” หยุนเหลาจับแขนของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนมานั่งลงข้างๆ เขา ซึ่งแน่นอนว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นจะไม่คัดค้านแต่อย่างใด ส่วนแม่ม่ายดำจือเหวินเธอก็เดินไปนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามอย่างเป็นธรรมชาติ

“ลุงหยุน..พอดีผมรีบมาผมจึงไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมาเลย..ผมมีแต่สินค้าพิเศษที่นำมาจากปักกิ่ง..ผมอยากจะให้คุณได้ลองลิ้มรสมัน” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดขณะกวักมือเรียกจื้อจุน ซึ่งจื้อจุนก็เดินเข้ามาและวางของขวัญเอาไว้แล้วเขาก็ถอยกลับไปด้านหลังหวงฟู่ชิงเตี๋ยนอย่างเป็นธรรมชาติ

“นั่นมันไม่จำเป็นระหว่างลุงและหลานชายของเรา..จำเอาไว้ว่าครั้งต่อไปไม่ต้องเตรียมอะไรมาหรอก” หยุนเหลาพูด

“นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยครับ..เพราะถ้าผมมามือเปล่ามันก็เป็นการไม่แสดงแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่สิครับ” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

หลังจากหยุดไปชั่วขณะหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็หันไปจ้องมองที่แม่ม่ายดำจือเหวินและพูดว่า “ว่าแต่คุณจือ..ฉันได้ยินมาว่าเจ้าเย่เชียนไปหาคุณที่บ้านในบ่ายวันนี้ใช่ไหมฮ่าฮ่า..ไอ้หนูนั่นกับฉันสนิทกัน..เรามักจะพูดคุยและทำสิ่งต่างๆ ด้วยกันบ่อยๆ ..บางครั้งเขาก็เอาแต่ใจและทำตามอำเภอใจไปหน่อยแต่เขาก็เป็นคนดี..ถ้าเขาไปทำอะไรให้คุณจือไม่พอใจล่ะก็ฉันหวังว่าคุณจือจะช่วยไว้หน้าฉันและปล่อยผ่านเรื่องนั้นไป”

เย่เชียนช่วยพูดสิ่งดีๆ เกี่ยวกับเธออย่างงั้นหรือ? แม่ม่ายดำจือเหวินไม่คิดเช่นนั้นและเธอก็ไม่ได้มีท่าทีตึงเครียดกับเย่เชียนและเธอก็ไม่ต้องการใครสักคนที่จะเป็นผู้สร้างสันติหรอกใช่ไหม? เห็นได้ชัดว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนคนนี้แค่ต้องการใช้สิ่งต่างๆ ของเย่เชียนเพื่อเริ่มพูดคุยใช่ไหม? แม่ม่ายดำจือเหวินก็พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ใช่..คุณเย่มาที่บ้านฉันเมื่อช่วงบ่าย..เราแค่พูดคุยกันไม่กี่คำแล้วเขาก็ไป..เขาเป็นผู้ชายที่สง่าผ่าเผยมาก..เขากับฉันไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรระหว่างกันเลย”

“ฮ่าๆ ..ถูกต้องเลย..เพราะเด็กคนนั้นมักจะแสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเมื่อเขาเห็นผู้หญิงสวยๆ น่ะสิ” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ดูเหมือนว่าเซอร์เก้วิชพุชกินที่เป็นนักธุรกิจจากประเทศรัสเซียก็ไปที่นั่นในช่วงบ่ายเหมือนกันใช่ไหม? ..ไม่รู้ว่าเขามาหาคุณจือทำไม?”

แม่ม่ายดำจือเหวินก็แอบหัวเราะอย่างลับๆ และคิดว่านี่คือจุดประสงค์หลักของเขาใช่ไหม? ซึ่งหลังจากหยุดไปชั่วขณะแม่ม่ายดำจือเหวินก็พูดว่า “โอ้..มันก็ไม่มีอะไร..เซอร์เก้วิชพุชกินก็แค่มาหาฉันและพูดคุยกันเรื่องที่ดินของฉันเพื่อสร้างห้างสรรพสินค้า”

หยุนเหลาก็ถึงกับตกตะลึงและถามว่า “ชิงเตี๋ยนมีอะไรหรือเปล่า?”

“โอ้ไม่ครับ..ผมแค่ถามแบบไม่เป็นทางการเฉยๆ” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด อย่างไรก็ตามการแสดงออกบนใบหน้าของเขานั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น แต่เนื่องจากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนไม่ได้พูดอะไรหยุนเหลาจึงไม่ได้ถามอะไรใดๆ อีก หลังจากหยุดไปชั่วขณะหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ถามอีกครั้งว่า “แล้วเย่เชียนกับเซอร์เก้วิชพุชกินได้พบกันหรือเปล่า..คุณจือช่วยเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในเวลานั้นให้ฉันฟังหน่อยได้หรือเปล่า?”

แม่ม่ายดำจือเหวินนั้นไม่ใช่คนโง่ซึ่งเธอรู้ดีว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นจงใจถามอย่างเจาะจงว่ามันจะต้องมีอะไรผิดปกติและไม่ว่าจะเป็นใครที่มีปัญหาระหว่างเย่เชียนกับเซอร์เก้วิชพุชกินนั้นแม่ม่ายดำจือเหวินก็ยังไม่ชัดเจนมากนักว่าเป็นใคร

แน่นอนว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเองก็รู้ดีว่าการถามคำถามที่ตรงไปตรงมานั้นมันไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ แต่ทว่าเขาก็อยากรู้สถานการณ์การพบปะกันของเย่เชียนและเซอร์เก้วิชพุชกินเพื่อที่เขาจะได้ตัดสินว่าเย่เชียนนั้นกำลังคิดจะทำอะไร

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด