ยอดนักรบจอมราชัน – ตอนที่ 379 ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ของจ้าวหยา

อ่านนิยายจีนเรื่อง ยอดนักรบจอมราชัน ตอนที่ 379 ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ของจ้าวหยา อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 379 ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ของจ้าวหยา

สถานการณ์ในไต้หวันนั้นแตกต่างจากสถานการณ์ในจีนแผ่นดินใหญ่สิ้นเชิงที่องค์กรต่างๆ สามารถยืนอยู่ได้อย่างเปิดเผยและยังใช้ความสัมพันธ์ของรัฐบาลผสมผสานกับการปกป้องสถานะทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ ดังนั้นเย่เชียนก็สามารถดำเนินการต่างๆ อย่างเปิดเผยที่นี่ได้จากนั้นก็สนับสนุนหวังหมิงซูในฐานะผู้รับช่วงต่อให้ไปแทรกซึมในรัฐบาลไต้หวันจนถึงระดับสูงและทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์เพื่อบรรลุเป้าหมายในภารกิจพิชิตไต้หวันนั่นเอง

ถึงแม้ว่าไต้หวันจะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ แต่ก็เป็นสถานที่ที่สำคัญมากในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ลักลอบขนอาวุธและยาเสพติดเหล่านี้ที่แห่งนี้ก็เป็นจุดขนส่งที่ดี ซึ่งถ้าหากเย่เชียนสามารถควบคุมอุตสาหกรรมมาเฟียและโลกใต้ดินของไต้หวันได้ล่ะก็มันก็จะเท่ากับเป็นการจำกัดจุดขนส่งของธุรกิจเช่นนี้ไป ดังนั้นที่แห่งนี้จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างมาก

ตัวอย่างเช่นในประเทศญี่ปุ่นที่สินค้าจำนวนมากของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้าปกติหรือการขนส่งอาวุธและยาเสพติด ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เหมือนกันเพราะทรัพยากรส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องจะผ่านไต้หวันเพื่อไปยังประเทศที่เป็นหมู่เกาะอื่นและนี่ก็คือจุดประสงค์ของเย่เชียนในการจัดตั้งศูนย์ขนส่งโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียในไต้หวันแห่งนี้เพราะไม่เพียงแค่จะควบคุมเศรษฐกิจของไต้หวันเพียงเท่านั้นเพราะที่สำคัญกว่านั้นก็คือการควบคุมศูนย์กลางการขนส่งและด่านหน้าของการขนส่งสินค้าในเอเชียนั่นเอง

เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็เย่เชียนก็เห็นจ้าวหยานั่งหลับอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ของเขาและเธอก็นอนหลับอย่างอ่อนหวานพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนๆ ที่มุมปากและไม่อาจรู้ได้เลยว่าเธอกำลังฝันอะไรอยู่

เย่เชียนก็เหลือบมองเธอและหยิบเสื้อคลุมมาคลุมไหล่ของจ้าวหยาแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ

หลังจากที่เย่เชียนอาบน้ำล้างตัวเสร็จแล้วเชียนก็เดินออกมาก็พบว่าจ้าวหยานั้นตื่นขึ้นมาแล้วและเธอก็พูดว่า “นายกลับมาแล้วหรอ?”

เย่เชียนก็พยักหน้าและพูดว่า “ฉันขอโทษ..ฉันทำให้เธอต้องรอนานเลย..ฉันไม่คิดว่ามันจะนานขนาดนี้..เธอไปนอนบนเตียงเถอะ..เดี๋ยวฉันจะนอนบนพื้นเอง”

“ไม่เป็นไร..มานอนด้วยกันสิ!” เมื่อจ้าวหยาพูดจบใบหน้าของเธอก็แดงเล็กน้อย

เย่เชียนก็แน่นิ่งไปชั่วขณะแล้วเขาก็ยิ้มและกอดจ้าวหยาพร้อมพูดว่า “งั้นมานอนเถอะ!” เนื่องจากเย่เชียนได้แสดงต่อสาธารณะและยอมรับว่าเขาชอบจ้าวหยาแล้วในตอนกลางวัน ซึ่งนั่นก็เหมือนกับการยอมรับว่าจ้าวหยานั้นเป็นแฟนของเขา ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ต่อต้านและเอาแต่ใจอีกต่อไป

เย่เชียนก็เอนกายลงบนเตียงและกอดจ้าวหยาจนเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัยจนเธอพึมพำว่า “ในที่สุดอ้อมกอดนี้ก็เปิดรับฉันแล้วสินะ”

“ไม่ว่าจะตอนนี้หรือต่อๆ ไปฉันก็จะเปิดรับเธอไปชั่วชีวิตของฉัน” เย่เชียนลูบผมของจ้าวหยาและพูด

รอยยิ้มที่มีความสุขก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของจ้าวหยาและดูเหมือนว่าการที่เธอเลือกที่จะออกห่างจากเย่เชียนเพื่อไปศึกษาเล่าเรียนต่อที่ต่างประเทศนั้นได้ผลเป็นอย่างดีไม่เช่นนั้นเย่เชียนก็คงจะไม่ยอมรับเธอเช่นนี้เป็นแน่ “แล้วทำไมอาเจ๊หยูถึงได้ไปสอนหนังสือในพื้นที่ภูเขาห่างไกลล่ะ..นายไม่เคยไปหาเธอเลยหรอ?” จ้าวหยาถาม

เย่เชียนก็แน่นิ่งไปชั่วขณะเพราะเป็นความจริงที่ฉินหยูนั้นอยู่ที่นั่นมานานแล้วแต่เย่เชียนก็ไม่เคยได้ไปเยี่ยมเธอเลยและยังไม่เคยติดต่อเธอทางโทรศัพท์เลยสักครั้ง ซึ่งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ใจเพราะในสายตาของเขาในแง่หนึ่งฉินหยูก็เป็นผู้หญิงคนแรกของเขาที่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตัวเอง

“ฉันแย่มากมั้ย?” เย่เชียนพูดด้วยความละอายใจอย่างมาก

“ไม่หรอก..นายเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกของคนอื่นมากเกินไป..นายก็แค่อยากให้เวลาอาเจ๊หยูเพื่อให้เธอตระหนักถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเธอที่มีต่อนาย” จ้าวหยาพูด

เย่เชียนก็ยิ้มอย่างขมขื่นเพราะบางทีจ้าวหยาก็พูดถูกว่าเย่เชียนนั้นแคร์ความรู้สึกและคิดถึงคนอื่นมากเกินไปจึงไม่สนใจความรู้สึกที่แท้จริงของเขาเอง ความรักไม่ใช่สิ่งที่ต้องต่อสู้เพื่อมันหรอกหรือ?

“แล้วเค่อเอ๋ออยู่ที่ไหนล่ะ..เธอทำอะไรอยู่ที่ไต้หวัน..เธอมาเที่ยวหรอ?” จ้าวหยาถาม

“นี่เธอรู้อยู่แล้วสินะว่าหูวเค่อเป็นใคร!” เย่เชียนจ้องเขม็งจ้าวหยาและพูดว่า อย่างไรก็ตามภายในดวงตาของเขานั้นไม่มีคำตำหนิใดๆ แต่มีเพียงความอ่อนโยนเท่านั้น

“ก็เค่อเอ๋อไม่ยอมให้ใครพูดถึงเรื่องนี้และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยที่ใครจะพูดถึงเรื่องนี้ได้น่ะ” จ้าวหยาแลบลิ้นออกมาและพูด

เย่เชียนนั้นไม่ได้เจอจ้าวหยามาครึ่งปีแล้วและเย่เชียนก็รู้สึกว่าจ้าวหยานั้นโตขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งเธอไม่ใช่นกกระจอกที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วและโหวกแหวกโวยวายอีกต่อไปแล้ว ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพราะเฉินฟู่เฉิงบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและแน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้คิดจะตำหนิจ้าวหยาแต่อย่างใดหลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “เธอยอมฉันแล้ว”

จ้าวหยาถึงกับผงะไปชั่วขณะและพูดว่า “นี่เค่อเอ๋อตกลงเป็นแฟนนายแล้วหรอ?”

เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและถามด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมเธอถึงพูดแบบนี้?”

“หืม..นายไม่รู้เรื่องนี้เลยหรอ..เค่อเอ๋อน่ะเคยบอกฉันและกับอาเจ๊หยูว่าสโมสรเจิดจรัสน่ะคือสินสอดของเธอและเป็นสะพานที่จะปูทางไปสู่สามีที่แท้จริงของเธอในอนาคตและเธอก็มอบมันให้กับนาย..ซึ่งเพียงพอที่จะอธิบายความในใจของเธอแล้ว..และนั่นก็คือการระบุว่านายได้เป็นคู่หมั้นของเธอไปแล้ว” จ้าวหยาพูด

“ห๊ะ!” เย่เชียนตอบด้วยความคาดไม่ถึงจริงๆ เพราะพูดตามตรงเลยถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเชื่อว่าหูวเค่อเป็นคนที่น่าสนใจสำหรับเขาก็ตามแต่ด้วยสถานะของเธอเย่เชียนก็มักจะคิดเสมอว่าสโมสรเจิดจรัสนั้นเป็นเพียงขนมที่รัฐบาลกลางมอบให้เธอ แล้วจะให้คิดว่าอย่างไรได้มันจะมีความหมายลึกซึ้งจริงๆ อย่างงั้นหรือ? หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็ถามว่า “ไหนเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิว่าหกเดือนที่ผ่านมานี้เธออยู่ที่ไหนและทำอะไรแล้วทำไมเธอถึงได้เป็นประธานของเดอะมัวร์กรุ๊ปภาคเอเชียล่ะ?”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งจ้าวหยาก็พูดอย่างช้าๆ ว่า “กว่าครึ่งปีที่ผ่านมาหลังจากออกจากประเทศจีนฉันก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่ฝรั่งเศสเพื่อเรียนเศรษฐศาสตร์และการจัดการ..เพราะฉันต้องการเป็นคนที่สามารถช่วยนายในหน้าที่การงานของนายได้จริงๆ ..ต่อมาก็มีบางอย่างเกิดขึ้นและฉันก็ได้เข้าร่วมเดอะมัวร์กรุ๊ปและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของเดอะมัวร์กรุ๊ปภาคเอเชีย..และยิ่งไปกว่านั้นที่สำคัญก็คือการที่ฉันสามารถอยู่ที่นั่นได้ก็เป็นเพราะอุดมการณ์ของนาย..แต่มันเป็นเพราะฉันอดคิดถึงนายไม่ได้ฉันจึงคิดว่าฉันควรกลับมาที่ประเทศจีนเพื่อมาหานายโดยเร็วที่สุด..แต่ฉันก็ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้มาเจอนายที่ไต้หวันแบบนี้”

เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะราวกับว่าเขารู้สึกว่ามีบางอย่างในคำพูดของจ้าวหยาและมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่ได้พูด ตัวอย่างเช่นมันเกิดอะไรขึ้นถึงได้เข้าสู่เดอะมัวร์กรุ๊ปได้ แต่ทว่าจ้าวหยาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะรู้สึกสงสัยก็ตามแต่เขาก็ไม่ได้ถามเพราะเขารู้ว่ามันอาจมีบางอย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้และเนื่องจากมันไม่สามารถบรรยายได้ก็หมายความว่ามันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่จ้าวหยาลังเลที่จะพูดดังนั้นเย่เชียนก็ไม่คิดที่จะถามอีกต่อไป

“ฉันขอโทษนะ..ถ้าไม่ใช่เพราะฉันแล้วเธอคงไม่ต้องไปลำบากที่ต่างประเทศให้ทรมานขนาดนี้หรอก” เย่เชียนหายใจเข้าลึกๆ และพูดเบาๆ

จ้าวหยาถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อนึกถึงประสบการณ์หกเดือนที่ผ่านมาและน้ำตาของเธอก็เริ่มไหลออกมา อันที่จริงความทุกข์ทรมานที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานในช่วงหกเดือนที่ผ่านมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดได้เลยเพราะมันไม่ใช่แค่ความเหงาจากการเดินเตร่ในต่างแดนแต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ…..แต่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้จ้าวหยาก็รู้สึกกลัวเล็กน้อยและเธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธอเป็นอะไรไป

เย่เชียนก็ลูบผมของจ้าวหยาเบาๆ เพราะการไม่พูดอะไรเลยในเวลานี้คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้จ้าวหยาผ่อนคลายลงและปล่อยให้เธอร้องไห้ออกมาจนอย่างมีความสุขและปล่อยให้เธอได้ระบายมันออกมา เพราะความรู้สึกบางอย่างนั้นไม่สามารถระงับได้เพราะมันอาจจะลึกซึ้งเกินไปและนั่นก็จะเป็นการทรมานและเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างไม่รู้จบ ซึ่งการระบายออกเท่านั้นที่จะสามารถปลดปล่อยตัวเองได้อย่างสมบูรณ์นั่นเอง

“ไม่เป็นไรนะ..ฉันอยู่ที่นี่แล้ว” เย่เชียนพูดอย่างจริงจัง

ประโยคที่ว่า ‘ฉันอยู่ที่นี่แล้ว’ ทำให้หัวใจของจ้าวหยาสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัวเพราะเธอรอคอยประโยคนี้มานานมากจนเกินไป เพราะถ้าหากเย่เชียนพูดเรื่องนี้เมื่อหกเดือนก่อนจ้าวหยาก็จะไม่จากไปและเหตุการณ์ที่ตามมาจะไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามบางทีนั่นอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเพราะอย่างน้อยๆ ตอนนี้จ้าวหยาก็มีกำลังใจที่จะเดินไปพร้อมกับเย่เชียนและไม่เพียงแค่จะช่วยเขาในหน้าที่การงานเพียงเท่านั้นแต่ยังคอยปกป้องเย่เชียนอีกด้วย

แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้เลยและเขาแค่รู้สึกว่าจ้าวหยาดูแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างมากและมีอากาศที่เย็นยะเยือกอยู่รอบๆ ร่างกายของเธอแต่เย่เชียนก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

หลังจากนั้นไม่นานจ้าวหยาก็ค่อยๆ หยุดร้องไห้สะอึกสะอื้นและเงยหน้าขึ้นมองเย่เชียนและพูดว่า “เย่เชียน..นายมีธุรอะไรในไต้หวันหรอ..ฉันพอจะช่วยได้มั้ย?”

“งานที่คนระดับสูงของจีนมอบให้นั้นมันค่อนข้างลำบากน่ะ..ฉันคิดว่ามันต้องใช้เวลานานเลย” เย่เชียนพูด “ฉันไม่ต้องการให้เธอมามีส่วนร่วม..เพราะในกรณีที่สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปในตอนนั้นเธออาจจะมีปัญหาได้”

“ไม่เป็นไรฉันสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว” จ้าวหยาพูด

เย่เชียนถึงกับตกตะลึงและหลังจากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดติดตลกว่า “อะไรเนี่ย..เธอไปอยู่ที่ฝรั่งเศสมาครึ่งปีและไม่เพียงแค่ได้เรียนรู้การบริหารเศรษฐกิจเท่านั้นแต่ยังได้เรียนศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมด้วยหรอ..มันคงไม่ใช่วิชาดาบตะวันตกหรอกใช่มั้ย..ฮ่าๆ!”

การแสดงออกของจ้าวหยาก็เปลี่ยนไปและหลังจากนั้นเธอก็พยักหน้าและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง..ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”

แม้ว่าการแสดงออกของจ้าวหยาจะเปลี่ยนไปแต่เย่เชียนก็สัมผัสได้และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ “ฉันรู้ว่าเธอเก่งมาก..แต่เรื่องนี้มันยุ่งยากเกินไป..มันเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมายและไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องธุรกิจเลย..เพราะงั้นเธอก็ทำงานของเธอไปเถอะ..เดี๋ยวมันจะมีการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคต..ถึงเวลานั้นฉันต้องให้เธอช่วยอยู่แล้ว” เย่เชียนยิ้มและพูด

“ได้เลย!” จ้าวหยาพยักหน้าแล้วถามว่า “แล้วทำไมนายถึงต้องซ่อนตัวและทำอะไรลึกลับขนาดนี้ด้วยละ..นายคงไม่ได้แอบเค่อเอ๋อเพื่อออกมาหาผู้หญิงคนอื่นหรอกใช่มั้ย?

เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ฉันไม่ต้องการให้คนใหญ่คนโตของไต้หวันมาจับตาดูฉัน..เพราะเวลาทำสิ่งต่างๆ มันจะได้สะดวกน่ะ”

“แต่เธอต้องการให้ฉันโทรหาหูวเค่อมั้ยล่ะ? ..พวกเธอไม่ได้เจอกันนานแล้วหนิ” เย่เชียนพูด

.

.

.

.

.

.

.

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด