ยอดนักรบจอมราชัน – ตอนที่ 445 ความพยายามที่ยากลำบากแต่กลับง่ายดายกว่าที่คิด

อ่านนิยายจีนเรื่อง ยอดนักรบจอมราชัน ตอนที่ 445 ความพยายามที่ยากลำบากแต่กลับง่ายดายกว่าที่คิด อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

หากเป็นเพียงการลงทุนทำธุรกิจสร้างห้างสรรพสินค้าจริงๆ ล่ะก็ที่ดินผืนนั้นก็คงจะไม่ใช่สถานที่ที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน ซึ่งแม่ม่ายดำจือเหวินก็ไม่ใช่คนโง่ที่ใครจะสามารถหลอกเธอได้เพียงไม่กี่คำ แต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเซอร์เก้วิชพุชกินคืออะไร

ยิ่งเซอร์เก้วิชพุชกินเสนอสิ่งต่างๆ มามากเท่าไหร่แม่ม่ายดำจือเหวินก็ยิ่งรู้สึกถึงประโยชน์ของที่ดินผืนนั้นมากเท่านั้นและเธอก็ไม่อยากขายมันมากขึ้นเท่านั้น หรือบางทีที่หยางเทียนซื้อที่ดินผืนนั้นเอาไว้เพราะเขาก็นึกอยากจะหาประโยชน์จากที่ดินผืนนั้นใช่ไหม? น่าเสียดายที่หยางเทียนเสียชีวิตเร็วเกินไปจึงทำให้แม่ม่ายดำจือเหวินนั้นไม่รู้ว่าที่ดินผืนนั้นมีประโยชน์อะไร อย่างไรก็ตามไม่ว่าความน่าสนใจของที่ดินผืนนั้นจะมากจะน้อยเพียงใดถึงยังไงแม่ม่ายดำจือเหวินก็จะไม่ขายมันอยู่ดี เพราะหยางเทียนเคยบอกเธอเอาไว้ว่าอย่าขายที่ดินผืนนั้นแต่ทว่าหยางเทียนก็ไม่ได้บอกว่าอะไรคือเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงและแม่ม่ายดำจือเหวินเองก็ไม่ได้ถาม

“ฉันขอโทษ..ไม่ว่าคุณจะเสนออะไรมาแค่ไหนฉันก็จะไม่ขายมัน” แม่ม่ายดำจือเหวินพูดอย่างแน่วแน่ “แล้วก็ของขวัญชิ้นนี้มิสเตอร์พุชกินนำมันกลับไปเถอะ”

ปากของเซอร์เก้วิชพุชกินก็กระตุกสองสามครั้งและเห็นได้ชัดว่าเขาโกรธเกรี้ยวเล็กน้อยและเพราะเขานั้นมีความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเหล่ามาเฟียในประเทศรัสเซียและยังมีทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะอีก ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่าเขาจะไม่สามารถจัดการสิ่งต่างๆ กับแม่ม่ายดำจือเหวินได้

“คุณจือ..คุณควรจะพิจารณาให้ดีนะ” สีหน้าของเซอร์เก้วิชพุชกินก็กลายเป็นเย็นชาทันทีเพราะในเวลานี้เขาไม่จำเป็นที่จะต้องแสร้งทำเป็นว่ามีมารยาทอีกต่อไปแล้ว

สีหน้าของแม่ม่ายดำจือเหวินก็เปลี่ยนไปเช่นกันและเธอก็พูดว่า “อะไรนะ..มิสเตอร์พุชกินคุณกำลังฉันข่มขู่ฉันหรือเปล่า..หืม..แล้วมาดูกันซิว่าวันนี้คุณจะสามารถเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ได้หรือเปล่า!” ทันทีที่เสียงของแม่ม่ายดำจือเหวินจบลงจู่ๆ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนรีบเดินเข้ามาและจ่อปืนเอาไว้ที่หน้าผากของเซอร์เก้วิชพุชกิน

ถึงแม้ว่าวงการใต้ดินของประเทศจีนจะไม่เกรี้ยวกราดและบ้าคลั่งเหมือนพวกมาเฟียในประเทศรัสเซียก็ตาม แต่ถึงยังไงมันก็ยังน่ากลัวอยู่ดีเพราะลูกน้องของแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นต่างก็มีปืนกันทุกคน

เซอร์เก้วิชพุชกินก็ดูสงบมากเพราะการที่เขาสามารถไปถึงจุดที่เขาอยู่ในทุกวันนี้ได้นั้นมันไม่ใช่เพราะอะไรแต่เป็นเพราะอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟที่อยู่เบื้องหลังเขาและเขาก็ผ่านอะไรมาหลายอย่างเขาจึงสงบเสงี่ยมได้ ซึ่งไม่ต้องพูดถึงการที่เขาถูกปืนจ่อที่หัวด้วยปืนเพราะในประเทศรัสเซียนั้นก็ไม่รู้ว่ามีสักกี่คนที่เคยยิงเขาด้วยปืนแต่ในท้ายที่สุดเขาก็ยังสามารถรอดชีวิตมาได้เสมอ ซึ่งในมุมมองของเซอร์เก้วิชพุชกินนั้นถ้าหากผู้ชายไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญล่ะก็เขาคนนั้นคงจะไม่ประสบความสำเร็จและไม่สามารถเป็นคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้นเซอร์เก้วิชพุชกินก็ยังคงเชื่อว่าแม่ม่ายดำจือเหวินไม่กล้าทำอะไรกับตัวเอง เมื่อคิดเช่นนั้นเซอร์เก้วิชพุชกินก็พูดด้วยรอยยิ้มที่เย้ยหยันว่า “คุณจือ..คุณได้พิจารณาถึงผลที่ตามของการทำแบบนี้หรือเปล่า?”

แม่ม่ายดำจือเหวินก็ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “อย่าได้คิดเลย..ถ้ามิสเตอร์พุชกินมีอะไรที่ไม่พอใจก็พูดออกมาเลย..อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ..เพราะพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ไม่ได้คุกคามฉันมานานแล้วแต่ทว่าตั้งแต่ที่ฉันได้พบกับคุณในวันนั้นฉันก็คิดว่านี่เป็นการยุยงของคุณทั้งหมดหรือเปล่า..แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้คิดที่จะสนใจเรื่องนี้..แต่ฉันแค่อยากจะบอกคุณว่าที่นี่คือดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีนไม่ใช่ประเทศรัสเซีย! ..เพราะงั้นไม่ว่าคุณจะทำอะไรฉันก็จะไม่มีวันยอม”

ขณะที่แม่ม่ายดำจือเหวินพูดเธอก็โบกมือให้ลูกน้องของเธอและคนเหล่านั้นก็ชักปืนกลับไปและก้าวออกไปข้างๆ

“หืม..พูดได้ดีหนิ..ถ้ามีคนอย่างคุณจือในประเทศจีนหลายคนล่ะก็คงจะไม่มีใครกล้ามารุกรานประเทศกันแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งปรบมือและพูดขณะที่เดินเข้ามาในห้องซึ่งชายคนนี้สวมชุดที่ดูเรียบง่ายและไม่ใช่คนที่ดูน่าเกรงขามหรือประเภทที่ดูแข็งแกร่งมากนักแต่รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขานั้นทำให้เขาดูดุดันเป็นพิเศษ

ถ้าไม่ใช่เย่เชียนแล้วจะเป็นใครไปได้?

การที่เซอร์เก้วิชพุชกินมาหาแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นเย่เชียนได้ข่าวนี้มาจากเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของเขี้ยวหมาป่าเขาจึงรีบมาที่นี่ในทันทีเพราะเย่เชียนควรจะมาที่นี่โดยตรงเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งต่างๆ และนอกจากนี้เขาก็ยังสามารถซ่อนเรื่องนี้จากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและทำให้เซอร์เก้วิชพุชกินรู้สึกว่าเย่เชียนไม่จำเป็นต้องจัดการกับเซอร์เก้วิชพุชกินเพื่อให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนสามารถทำอะไรบางอย่างตามแผนการต่อไปได้

เนื่องจากการที่เย่เชียนมาหาแม่ม่ายดำจือเหวินหลายครั้งแล้วจึงทำให้คนของเธอไม่ได้หยุดเขาเอาไว้ในครั้งนี้และปล่อยให้เย่เชียนเดินเข้ามาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เมื่อแม่ม่ายดำจือเหวินเห็นเย่เชียนเธอก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะและหลังจากนั้นเธอก็พยักหน้าและยิ้มเล็กยิ้มน้อยและทักทายเย่เชียน ส่วนเซอร์เก้วิชพุชกินก็หันหน้าไปมองเย่เชียนซึ่งใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจจนเห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ที่มาที่ไปของเย่เชียนเลย

เมื่อเข้ามาแล้วเย่เชียนก็เดินไปหาแม่ม่ายดำจือเหวินและนั่งลงซึ่งเย่เชียนนั้นไม่ได้มีมารยาทในการเป็นแขกเลยราวกับว่านี่คือบ้านของเขาเอง ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นแม่ม่ายดำจือเหวินก็ถึงกับแน่นิ่งไปชั่วขณะแล้วเธอก็รีบขยับตัวไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อให้เย่เชียนนั่ง ซึ่งเย่เชียนก็รู้สึกได้ถึงการกระทำของแม่ม่ายดำจือเหวินอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็หน้าไปและยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ซึ่งแม่ม่ายดำจือเหวินก็เหลือบมองเย่เชียนและยิ้มจางๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“คุณคือมิสเตอร์เซอร์เก้วิชพุชกินใช่ไหม..ยินดีที่ได้พบครับ” เย่เชียนก็ยิ้มและยื่นมือออกมาแล้วพูด

เซอร์เก้วิชพุชกินก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะเพราะเขาก็ไม่สามารถเข้าใจตัวตนของเย่เชียนได้ แต่เมื่อมองไปที่การแสดงออกของแม่ม่ายดำจือเหวินที่มีต่อเย่เชียนแล้วเขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเย่เชียนคงจะไม่ใช่คนธรรมดาๆ อย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้นเซอร์เก้วิชพุชกินก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและยื่นมือออกมาและพูดว่า “สวัสดี..ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรหรือ?”

แต่เมื่อเซอร์เก้วิชพุชกินกำลังจะยื่นมือออกมาจับมือกับเย่เชียนแล้วจู่ๆ เย่เชียนก็ชักมือกลับไปและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมเกือบลืมไปเมื่อกี้ผมไปเข้าห้องน้ำมาแล้วลืมล้างมือน่ะ”

แม่ม่ายดำจือเหวินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กยิ้มน้อยจนทำให้คนรอบข้างตกตะลึงเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นเจ้านายของพวกเขามีการแสดงออกเช่นนี้เลยสักครั้ง ซึ่งแม่ม่ายดำจือเหวินก็ไม่ได้คาดคิดว่าเย่เชียนจะทำเช่นนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นการแสดงออกของเซอร์เก้วิชพุชกินแล้วแม่ม่ายดำจือเหวินก็รู้สึกมีความสุขมาก

เซอร์เก้วิชพุชกินก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเขาจึงดึงมือกลับไปอย่างหดหู่ใจ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากทัศนคติของแม่ม่ายดำจือเหวินแล้วเห็นได้ชัดว่าตัวตนของเย่เชียนนั้นยิ่งใหญ่กว่าเธอในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ แต่ทว่าเซอร์เก้วิชพุชกินนั้นดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับตัวละครนี้มาก่อน

เมื่อเห็นกล่องผ้าตรงหน้าเขาแล้วเย่เชียนก็ยื่นมือออกไปเพื่อเปิดมันและปรากฏว่าเขาเห็นมีดคลื่นโลหิตหมาป่าที่วางอยู่ข้างในเขาจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกจางๆ เพราะมันเป็นความพยายามที่ยากลำบากแต่กลับง่ายดายกว่าที่คิด “เอ่อ..ของขวัญราคาแพงชิ้นนี้เป็นของมิสเซอร์เก้วิชพุชกินหรอ?” เย่เชียนพูด

“เอ่อ..แค่ของเล็กๆ น้อยๆ” เซอร์เก้วิชพุชกินนั้นไม่รู้ตัวตนของเย่เชียน แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองนั้นอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่าเย่เชียนเขาจึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“โอ้..ผมลืมแนะนำตัวเองไป..ผมเย่เชียน..ที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตน” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม

เซอร์เก้วิชพุชกินก็ถึงกับตกใจเพราะปรากฏว่าชายหนุ่มคนนี้คือคนที่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ขอให้เขาจัดการให้ไม่ใช่หรือ? ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “โอ้..ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานแล้ว”

“หืม..มิสเตอร์เซอร์เก้วิชพุชกินเคยได้ยินชื่อของผมด้วยหรือ..รู้สึกเป็นเกียรติมาก” เย่เชียนพูด

เซอร์เก้วิชพุชกินก็ทำอะไรไม่ถูกและเขาก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างหดหู่และไม่รู้จะพูดอะไรใดๆ

“มันยอดเยี่ยมมาก..ถ้างั้นผมขอรับมันเอาไว้ก็แล้วกัน” เย่เชียนไม่สุภาพและไม่เกรงใจใดๆ ซึ่งเขาเอื้อมมือไปหยิบมีดคลื่นโลหิตหมาป่าขึ้นมาแล้วเก็บใส่ฝักที่เอวของเขาทันที

แม่ม่ายดำจือเหวินก็ถึงกับผงะและพูดอย่างรีบร้อนว่า “คุณเย่..คุณรับสิ่งนั้นเอาไว้ไม่ได้เพราะฉันไม่เห็นด้วยกับมิสเตอร์พุชกินเรื่องการขายที่ดินของฉัน..ดังนั้นคุณจะรับของขวัญจากเขาไปได้ยังไง”

“จริงเหรอ?” เย่เชียนเหลือบมองไปที่แม่ม่ายดำจือเหวินจากนั้นก็มองไปที่เซอร์เก้วิชพุชกิน

เซอร์เก้วิชพุชกินนั้นดูเหมือนจะเข้าใจอะไรมากขึ้นเพราะเมื่อสังเกตจากบุคลิกภาพและการแสดงออกของเย่เชียนแล้วเหมือนว่าเย่เชียนนั้นจะมีสถานะสูงกว่าแม่ม่ายดำจือเหวินอย่างเห็นได้ชัดและตราบใดที่เขาจัดการเย่เชียนได้แล้วล่ะก็เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าแม่ม่ายดำจือเหวินจะไม่ยอมขายที่ดินผืนนั้นอีก เซอร์เก้วิชพุชกินก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เนื่องจากคุณเย่ชอบก็รับมันเอาไว้เถอะ”

ปากหวานและอ่อนโยน ซึ่งตราบใดที่ใครสามารถรับมือกับปัญหาในตอนต้นได้นั้นเขาคนนั้นก็จะสามารถแก้ไขสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดายในภายหลัง

“มิตเตอร์พุชกินเป็นคนใจกว้างมาก” เย่เชียนยิ้มและพูดต่อ “ไม่ทราบว่ามิสเตอร์พุชกินได้รับสิ่งนี้มาจากที่ไหนเหรอ”

“ความจริงแล้วผมได้รับมันมาจากพยัคฆ์แดนเหนือหลินปิงลี่..ดูเหมือนว่ามันจะมีชื่อเรียกว่ามีดคลื่นโลหิตหมาป่าที่เป็นของโบราณในสมัยราชวงศ์ฉินของจีนและมูลค่าของมันก็ไม่ธรรมดา” เซอร์เก้วิชพุชกินพูดตามความเป็นจริงโดยไม่ได้ปกปิดเลยแม้แต่น้อย

“ฮ่าๆ ..แล้วมิสเตอร์พุชกินรู้ไหมว่ามีดเล่มนี้มันมีชื่ออื่นอีก?” เย่เชียนถามด้วยรอยยิ้ม

เซอร์เก้วิชพุชกินก็ส่ายหัวเล็กน้อยเพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนใจร้อนเล็กน้อยที่จะพูดคุยเรื่องไร้สาระเหล่านี้แต่เนื่องจากเป็นเย่เชียนเขาจึงต้องอดทน “ผมไม่รู้จริงๆ ..คุณเย่ช่วยบอกที” เซอร์เก้วิชพุชกินพูดอย่างนอบน้อม

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด