ยอดนักรบจอมราชัน – ตอนที่ 36 ใครคือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง?
“ผมต้องการให้พวกคุณช่วยคุ้มกันคุณจ้าวเป็นเวลาสามวันและในสามวันนี้เราไม่สามารถปล่อยให้เขาได้รับอันตรายใดๆได้!” เย่เชียนพูดอย่างดุดัน
ฟูจุนเฉิงหันมามองจ้าวเทียนห่าวและถามว่า “ใครที่เราต้องเผชิญ?”
เย่เชียนตอบแทนจ้าวเทียนห่าวว่า “นักฆ่าจากองค์กรนานาชาติ สมาชิกขององค์กรเซเว่นคิล!”
ฟูจุนเฉิงจ้องมองอย่างว่างเปล่าเพราะเมื่อตอนที่เขาอยู่ในกองทัพ ฟูจุนเฉิงเคยได้ยินเกี่ยวกับองค์กรเซเว่นคิลและนอกจากนี้เขาก็ยังรู้เกี่ยวกับกฏเหล็กทั้งเจ็ดขององค์กรนั้น เขาอดใจไม่ได้จึงหันไปมองจ้าวเทียนห่าวและสงสัยว่าจ้าวเทียนห่าวเป็นคนดีใสสะอาดหรือไม่ มิเช่นนั้นแล้วทำไมสมาชิกขององค์กรเซเว่นคิลถึงกับต้องตามไล่ฆ่าเขา? แต่ฟูจุนเฉิงก็ไม่พูดความคิดของเขาออกมา เนื่องจากเย่เชียนได้ขอความช่วยเหลือเขาก็ตกลงจะช่วยเย่เชียนไปโดยปริยาย และถ้าตนจะพูดในตอนนี้ก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสม
“คุณจ้าวคุณไปทำอะไรมา..คุณไปบาดหมางกับคนที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?” หวันชุนหัวถามอย่างสงสัย เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับองค์กรเซเว่นคิลแต่จากการพูดของเย่เชียนเขาก็สามารถเดาได้เลยว่าองค์กรเซเว่นคิลนั้นน่าเกรงขามเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วมันเป็นองค์กรระดับนานาชาติมันจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหม?
จ้าวเทียนห่าวไม่ได้โกรธเคืองกับคำพูดที่เถรตรงของหวันชุนหัวเลยและเขาก็รู้สึกว่าคนตรงไปตรงมาแบบนี้ก็ดูเป็นมิตรอย่างยิ่ง จ้าวเทียนห่าวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันทำธุรกิจเล็กๆ ฉันอาจจะไปทำให้คนไม่พอใจบ้างเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจน่ะ..ดังนั้นคนเหล่านั้นก็อาจจะส่งนักฆ่ามาเก็บฉันล่ะมั้ง”
จ้าวเทียนห่าวพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่แม้แต่คนโง่ก็ยังบอกได้เลยว่าเขาไม่ได้ทำธุรกิจเล็กๆ มิฉะนั้นเหตุใดคู่แข่งถึงกับต้องส่งองค์กรระดับนานาชาติมาฆ่าเขาด้วย อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าพวกเขาทุกคนจะคิดเช่นนั้นแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
“เย่เชียนไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่คุณจ้าวจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ..แม้แต่เส้นผมเส้นเดียวก็ไม่ให้ล่วง” ฟูจุนเฉิงตอบอย่างมั่นใจและดุดัน
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมตอบว่า “ผมฝากลุงจ้าวด้วยนะ” หลังจากพูดเช่นนี้เขาก็หันหน้าไปแล้วพูดกับจ้าวเทียนห่าวว่า “ลุงจ้าว..ลุงไม่มีข้อมูลใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยหรือ? ใครที่ลุงรู้สึกว่าเป็นไปได้มากที่สุด? หากพวกเราไม่ทราบว่าใครคือศัตรูแล้วล่ะก็การป้องกันมันจะยิ่งยากขึ้นเป็นสองเท่า..แต่ถ้าเรารู้ว่าศัตรูคือใครมันก็จะช่วยได้มากเลย..”
จ้าวเทียนห่าวพึมพำกับตัวเองอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “ฉันไม่แน่ใจเลย แต่ที่น่าสงสัยมากที่สุดยืนหนึ่งเลยก็คือกลุ่มน่านฟ้า..สองคือเหว่ยตงเซียนกรุ๊ปพวกเขาคือคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทของฉัน แต่นอกเหนือจากนี้แล้วฉันก็นึกถึงใครไม่ออกเลย”
“ลุงจ้าว..เราจะเอายังไงต่อ?” เย่เชียนถาม
“ตอนนี้ฉันยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ตอนนี้ก็ทำได้แค่เฝ้าระวัง อย่างไรก็ตามจ้าวเทียนห่าวผู้นี้ก็ไม่ยอมให้ถูกเล่นงานง่ายๆอยู่ฝ่ายเดียวหรอก ฉันขอจดบัญชีดำพวกมันไว้ก่อนถ้าหากฉันรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังแล้วล่ะก็ มันก็ถึงเวลาของฉันบ้างที่จะจัดหนักให้พวกมัน!!” จ้าวเทียนห่าวพูดอย่างเกรี้ยวกราดและดุดัน
เย่เชียนยิ้มและพูดว่า “ถ้าลุงยืนกรานเช่นนั้นผมก็จะไม่ถามอะไรต่อก็แล้วกัน”
จ้าวเทียนห่าวพยักหน้าและพูดว่า “เย่เชียนลูกสาวของฉัน..ฉันยกให้นายนะ ฉันเชื่อว่านายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง!”
เย่เชียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเขารู้สึกว่าคำพูดที่เขาได้ยินจากจ้าวเทียนห่าวฟังดูเหมือนว่าเขาต้องการให้เย่เชียนไปแต่งงานกับลูกสาวของเขา…
เย่เชียนยิ้มและพยักหน้าจากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ผมต้องการข้อมูลลูกสาวของลุง นอกจากนี้ก็ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มน่านฟ้าและเหว่ยตงเซียนกรุ๊ปที่ลุงเพิ่งจะพูดถึงอีก ยิ่งรายละเอียดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น!”
“ไม่มีปัญหา..ฉันจะโทรหาเลขาของฉันและบอกให้เขาเตรียมข้อมูลให้!” หลังจากจ้าวเทียนห่าวพูดจบจากนั้นเขาก็โทรไปหาเลขานุการทันทีและบอกให้เขามาหาอย่างรวดเร็วและนำข้อมูลทั้งหมดที่เย่เชียนต้องการมาให้ด้วย
เวลาผ่านไปไม่นานหลังจากนั้นรถยนต์ของเลขานุของจ้าวเทียนห่าวก็มาถึงเขาเป็นชายหนุ่มอายุยังไม่ถึงสามสิบสวมแว่นสายตาสีทอง เขามาถึงก็ทักทายประธานและพูดว่า “ท่านประธานนี่ครับสิ่งที่ท่านขอ!” ชายผู้สวมแว่นที่ทำมาจากทองคำแท้สุดหรูเขาดึงเอกสารจำนวนหนึ่งในซองผนึกน้ำตาลจากกระเป๋าของเขาและส่งมอบให้จ้าวเทียนห่าว
จ้าวเทียนห่าวพยักหน้าและส่งเอกสารไปให้คนที่เหลือทีละคนพร้อมอธิบายเนื้อหาของเอกสารเหล่านั้น เย่เชียนเปิดเอกสารที่เกี่ยวข้องกับลูกสาวของจ้าวเทียนห่าวและตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจว่า “ลุงจ้าว!..ลูกสาวของลุงยังเป็นเด็กมหาลัยอยู่เหรอ?”
“ใช่แล้ว..ตอนนี้เธอกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยปีที่สองในหลักสูตรภาษาฝรั่งเศส..ทำไมรึ?..มีปัญหาอะไรเหรอ?” จ้าวเทียนห่าวรู้สึกประหลาดใจกับคำถามอันน่าตกใจของเย่เชียน
“ไม่มีไม่มี!” เย่เชียนส่ายหัวและตอบกลับ
ในความเป็นจริงนั้นเย่เชียนปรารถนาชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างมากแต่เนื่องจากสถานการณ์ที่บ้านของเขาเขาจึงเลิกเรียนหลังจากเลิกเรียน เขาก็ได้เข้าร่วมกับกองกำลังทหารรับจ้างหน่วยเขี้ยวหมาป่าและไม่มีโอกาสได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่เย่เชียนก็ได้ศึกษาเล่าเรียนในสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อย่างเช่นโครงสร้างของอาวุธปืน..ศุลกากรของประเทศต่างๆ..และภาษาเกือบจะทุกประเทศที่จำเป็น
“ที่เหลือฉันจะให้เลขานุการช่วยนายจัดการนะ..เย่เชียนฉันรู้สึกขอบใจนายจริงๆ พวกคุณด้วย!” จ้าวเทียนห่าวพูดอย่างนอบน้อม
เย่เชียนยิ้มเจื่อนๆและพูดว่า “จริงๆแล้วผมอยากรู้ว่าหลัวหยาเขาตายอย่างไร!”
จ้าวเทียนห่าวเงียบไปครู่หนึ่งและตอบกลับด้วยความโศกเศร้าว่า “ในเวลานั้นฉันและหลัวหยาได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทและค่อยๆพัฒนาไต่เต้ามันไปโดยเริ่มต้นจากแผงลอยและลองผิดลองถูกกันมาจนกระทั่งปัจจุบัน และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันและหลัวหยาไปสัมมนาที่ประเทศตุรกีเพื่อหารือเกี่ยวกับธุรกิจแต่เราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะถูกผู้ก่อการร้ายลักพาตัวและถูกเรียกค่าไถ่เป็นเงินหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเวลานั้นผู้ก่อการร้ายยังคงจับหลัวหยาเอาไว้ในขณะที่พวกมันส่งฉันออกไปเพื่อแลกกับเงินหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ และถึงแม้ว่าบริษัทของเราจะเติบโตอย่างมากแต่ก็ไม่สามารถหาเงินในจำนวนมากขนาดนั้นได้ทัน แต่ท้ายที่สุดเมื่อฉันรวบรวมเงินได้และกำลังจะนำเงินไปแลกกับตัวหลัวหยาฉันก็ได้ข่าวว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้ถูกกวาดล้างโดยรัฐบาลตรุกีพร้อมกับกลุ่มทหารรับจ้างที่เรียกตนเองว่าเขี้ยวหมาป่า แต่ทว่าท่ามกลางความขัดแย้งนั้นหลัวหยาก็ถูกฆ่าโดยผู้ก่อการร้ายเพราะฉะนั้นหลัวหยาเขาตายเพราะฉัน ถ้าเพียงแค่ฉันหาเงินได้ไวกว่านั้นล่ะก็หลัวหยาก็คงไม่ต้องตาย…”
เย่เชียนตกตะลึงเพราะเขาก็จำเหตุการณ์นี้ได้เหมือนกันแต่ในเวลานั้นเขายังไม่ได้เป็นหัวหน้าของหน่วยเขี้ยวหมาป่าเลย ภารกิจในครั้งนั้นคือการให้กำลังสนับสนุนแก่กองทัพรัฐบาลของตุกรีเพื่อกำจัดผู้ก่อการร้ายและภารกิจก็เสร็จสิ้นโดยไม่ต้องผูกมัดใดๆกับรัฐบาลตุกรี ผู้ก่อการเหล่านั้นเป็นเพียงกลุ่มคนจำนวนมากที่ติดอาวุธแต่ก็ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายระดับนานาชาติ เมื่อจ้าวเทียนห่าวเล่ามาเช่นนั้นหน่วยเขี้ยวหมาป่าก็มีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของหลัวหยา แต่เย่เชียนก็ไม่ได้พูดความคิดของเขาออกมา ทว่าเมื่อตอนนั้นเขาเองก็ไม่รู้จักหลัวหยาเป็นการส่วนตัวและเขาเองก็ไม่รู้จักจ้าวเทียนห่าวด้วยเช่นกัน พูดอย่างตรงไปตรงมาเย่เชียนก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบธรรมเขารู้สึกเพียงแค่ว่าเขาต้องทำสิ่งที่เขาต้องทำอย่างเหตุการณ์นี้ของจ้าวเทียนห่าวจริงๆแล้วเย่เชียนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปยุ่ง แต่เขาแค่รู้สึกว่าจ้าวเทียนห่าวเป็นคนที่ควรค่ากับการเป็นเพื่อนเป็นพวกพ้องกับเขาดังนั้นเย่เชียนจึงต้องการช่วยเขา และท้ายที่สุดแล้วเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เชื่อมโยงกับชื่อเสียงของหน่วยเขี้ยวหมาป่าของเขาอีกด้วยเนื่องจากหน่วยเขี้ยวหมาป่าไม่สามารถพ่ายแพ้ให้กับองค์กรเซเว่นคิลได้
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ลุงจ้าวไม่ต้องกังวลหรอก..ลูกสาวของลุงจะไม่เป็นอะไร ตราบใดที่ผมอยู่เคียงข้างเธอและปกป้องเธอ ลุงห่วงเรื่องของศัตรูของพวกเราดีกว่า”
“ได้เลย ขอบใจนะ” จ้าวเทียนห่าวตอบและยิ้มด้วยความโล่งใจ
.
.
.
.
.
.
.
คอมเม้นต์