เฮดโฟนของผมเชื่อมต่อกับอนาคตได้! My Headphones Can Connect to the Future – ตอนที่ 27
เมื่อมองย้อนกลับไปก็เห็นว่าบอดี้การ์ดที่เขาจ้างมาในราคาสูงถูกจัดการโดยซูฟ่านโดยการเคลื่อนไหวไม่กี่จังหวะหวังฟู่กุยก็รู้สึกหวาดกลัวแล้ว
เขาปล่อยมือหมูที่จับแขนของชูหยุนซีและชี้ไปที่ซูฟ่านที่อยู่ไม่ไกลอย่างโกรธเคือง
“แม่ง! แกรอข้าก่อนเถอะ!”
เขาพูดเสร็จก็ต้องการที่จะออกไป
เขาต้องการไปหาคนเพิ่มเพื่อจัดการซูฟ่านมิฉะนั้นใบหน้าของเขาคงจะหายไป!
ขณะที่เขาเปิดประตูจานบินสีขาวก็พุ่งเข้าชนหัวของหวังฟู่กุย
จานสีขาวร่วงลงสู่พื้นและแตกกระจาย
เศษชิ้นส่วนจานถูกปักเข้าไปที่ด้านหลังศีรษะของหวังฟู่กุย
ทุกอย่างกะทันหันเกินไป หวังฟู่กุยรู้สึกเพียงว่าเขาถูกตีที่ด้านหลังศีรษะ
เขายื่นมือออกไปแตะที่ด้านหลังศีรษะ เมื่อเขาสัมผัสของเหลวร้อนที่เหลืออยู่เขาก็กรีดร้องเสียงแสบทะลุหูของทุกคนที่อยู่ไม่ไกล
ซูฟ่านเดินไปที่หวังฟู่กุยอย่างเย็นชาและปกป้องชูหยุนซีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาซึ่งกำลังตกใจกลัว
“แก! ไอเวรเอ้ยรอก่อนเถอะ! ฉันจะกลับไปหาคนมาเล่นแกแน่!”
หวังฟู่กุยตะโกนใส่ซูฟ่านพลางจับหัวของเขา
มุมปากของซูฟ่านยกขึ้นเล็กน้อย เขาผลักหวังฟู่กุยไปที่มุมกำแพง
“มาเล่นฉันใช่มั้ย?”
ทันทีที่เสียงลดลงซูฟ่านก็ก้าวไปเหยียบที่รองเท้าหนังสุดหรูของหวังฟู่กุย
หวังฟู่กุยคร่ำครวญเหมือนหมูด้วยความเจ็บปวด
“เจ็บ! เจ็บ! ปล่อยฉัน!”
ยิ่งหวังฟู่กุยพูดมากเท่าไหร่ ซูฟ่านก็ยิ่งบดขยี้เท้าของหวังฟู่กุยมากขึ้นเท่านั้น
ความเจ็บปวดจากการถูกขยี้ทำให้หวังฟู่กุยเหงื่อท่วมตัว
“ไอ้เด็กเวร ฉันจะเตือนแกนะ แกรู้ไหมว่าพ่อฉันเป็นใคร!”
หวังฟู่กุยขู่
ซูฟ่านยิ้มอย่างดูถูก
“ฉันรู้ว่าพ่อของนายคือคนที่รวยที่สุดในเมืองหลวง!”
“ถ้าแกรู้แล้วทำไมยังไม่ปล่อยฉันไปอีก!”
ตูม!
อีกหมัด!
หวังฟู่กุยถูกต่อยที่ท้องสีหน้าของเขาบิดเบี้ยวและพ่นน้ำเหม็นเปรี้ยวออกมา
“แกบ้าไปแล้วเหรอ!?”
หวังฟู่กุยคำราม
เขาดูเหมือนว่าหมูป่าที่กำลังคลุ้มคลั่ง
“หนึ่งเดือนที่แล้วเนื่องจากความคับแค้นใจส่วนตัวหวังฉางเจียงพ่อของนายได้ฆ่าบอสของฉีเชิงเทรดดิ้ง ซุนเจี๋ยนและนายก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน”
“อะไร…อะไรนะ!”
คำพูดที่ซูฟ่านพูดดังก้องในหูของหวังฟู่กุย ทำให้หวังฟู่กุยตัวสั่นไปหมด
ทำไมซูฟ่านถึงรู้ความลับนี้!
“นายและพ่อของนายที่คิดว่าซุนเจี๋ยนเป็นเพียงเจ้าของบริษัทเล็ก ๆ ที่แม้ว่าจะฆ่าเขาไปพ่อของนายก็จะสามารถครอบคลุมผืนฟ้าได้ด้วยมือข้างเดียวอยู่ดี”
“แต่จริง ๆ แล้วนายคิดผิด ซุนเจี๋ยนมีพ่อทูนหัวที่มีอำนาจมากกว่าพ่อของนายเสียอีก นายและพ่อของนายคิดจริง ๆ หรือว่าคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวงจะสามารถปกคลุมผืนฟ้าได้ด้วยมือข้างเดียวงั้นเหรอ พวกกบในกะลา!”
หลังจากฟังคำพูดของซูฟ่าน ดวงตาของหวังฟู่กุยก็แทบจะหลุดออกมา
เขามองไปที่ซูฟ่านด้วยความตกตะลึงและลืมความเจ็บปวดในร่างกายของเขาไปด้วย
“แก…สิ่งที่แกพูดเป็นความจริงเหรอ?”
“เชื่อหรือไม่อีกประมาณหนึ่งนาทีนายก็จะได้รับโทรศัพท์จากพ่อของนายและตำรวจก็จะออกหมายจับนายในไม่ช้า”
ผมของหวังฟู่กุยเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและจ้องที่หน้าจอเพื่อนับเวลาถอยหลัง
58 วินาที …
59 วินาที …
หนึ่งนาทีพ่อของหวังฟู่กุยก็โทรมา
“รับสิ”
ซูฟ่านมองไปที่หวังฟู่กุยและพูดด้วยรอยยิ้ม
หวังฟู่กุยกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเขาถือโทรศัพท์ด้วยมือที่สั่นเทาและในที่สุดก็กดปุ่มรับสาย
“นายท่านถูกจับแล้ว ผมจองเที่ยวบินล่าสุดไปต่างประเทศให้คุณแล้วรีบไปที่สนามบิน!”
เลขาของพ่อพูดด้วยความกังวล
หวังฟู่กุยต้องการถามมากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายก็วางสายไปแล้ว
“เป็นไง? อยากวิ่งแล้วใช่ไหม?”
ซูฟ่านหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาดูจากนั้นหันหน้าจอไปที่หวังฟู่กุย
นี่เร็วกว่าที่ซูฟ่านคาดไว้ คำสั่งประกาศจับของหวังฟู่กุยออกมาแล้ว
ขาของหวังฟู่กุยอ่อนแรงและต้องการหลบหนี แต่เนื่องจากศีรษะของเขาได้รับบาดเจ็บเขาจึงเสียเลือดออกมามากและในขณะนี้เขาก็เวียนหัวอยู่แล้ว
“ไปนอนซะแล้วรอเจอพ่อนายตอนตื่นแล้วกัน!”
ซูฟ่านทำให้หวังฟู่กุยสลบด้วยการชก
ถ้าเขาโทรหาตำรวจโดยตรง ตำรวจอาจสอบสวนเขาได้
ซูฟ่านจึงไม่ได้วางแผนที่จะโทรแจ้งตำรวจด้วยตัวเอง
เขาโทรหาคังหมินฟูแทน
ซูฟ่านบอกคังหมินฟูว่าเขากำลังต่อสู้กับหวังฟู่กุยเพราะหวังฟู่กุยทำร้ายเพื่อนของเขา
(เนียนแปล : คังหมินฟูกลายเป็นพ่อเอ็งไปแล้วเรอะ?)
อย่างไรก็ตามหลังจากการต่อสู้เขาพบว่าหวังฟู่กุยเป็นอาชญากรที่ตำรวจต้องการตัว
เนื่องจากเขาและหวังฟู่กุยกำลังต่อสู้กัน ตำรวจคงจะสอบสวนเขาแน่และเขากลัวว่าเขาจะโดนคดีทะเลาะวิวาท
เขาจึงขอให้คังหมินฟูติดต่อตำรวจให้แทน
คังหมินฟูเต็มใจที่จะช่วยอย่างแน่นอน เขาเห็นว่าหวังฉางเจียงดูไม่ใช่คนบริสุทธิ์มานานแล้ว
และหวังฟู่กุยคนนี้ก็มักจะหยิ่งผยองทำให้เขาไม่พอใจ
แต่เขาก็ตกใจเช่นกันที่ซูฟ่านมีความกล้าหาญในการจัดการกับหวังฟู่กุย
ในใจของเขา เขาอดไม่ได้ที่จะเพิ่มคะแนนให้ซูฟ่านโดยคิดว่าซูฟ่านเป็นคนที่ไม่กลัวอำนาจของเงินและเต็มไปด้วยความยุติธรรม
คังหมินฟูถามที่อยู่ปัจจุบันของหวังฟู่กุยแล้วบอกซูฟ่านให้ผ่อนคลายแล้ววางสายโทรศัพท์ไป
ซูฟ่านยืมเชือกจากพนักงานเสิร์ฟและมัดหวังฟู่กุยที่หมดสติเอาไว้
หลังจากชดเชยความสียหายให้ร้านอาหารแล้วเขาก็พาชูหยุนซีออกไป
“ร้านนี้อาหารเป็นพิษไปซะแล้ว และผมก็พลาดมื้ออาหารอีกรอบแล้ว”
ซูฟ่านและชูหยุนซีนั่งอยู่ในรถ เมื่อเห็นบรรยากาศดูหดหู่ซูฟ่านจึงพูดทำลายบรรยากาศ
แต่ชูหยุนซียังคงไม่หายจากอาการช็อกในตอนนี้
“มีอะไรเหรอ? ไม่สบายรึเปล่า?”
ซูฟ่านถาม
เมื่อฟื้นสติชูหยุนซีก็ส่ายหัว
“ฉันไม่สามารถทนดูฉากการต่อสู้ทะเลาะวิวาทได้เลย จริง ๆ แล้วฉันเคยเห็นชูเทียนฉีในการต่อสู้มาก่อน แล้วมัน…”
เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้นการแสดงออกของชูหยุนซีก็ดูเจ็บปวดเล็กน้อย
ซูฟ่านไม่รู้จะปลอบชูหยุนซีอย่างไร เขามองไปที่ชูหยุนซีและค่อย ๆ วางมือลงบนหลังของชูหยุนซีและสัมผัสมันเบา ๆ
ชูหยุนซีไม่ปฏิเสธ!
“ขอโทษด้วย ผมสัญญาว่าผมจะไม่สู้ต่อหน้าคุณอีกในอนาคต”
“ไม่ คุณไม่ต้องตำหนิตัวเอง ถ้าวันนี้คุณไม่ได้เสียสละเพื่อช่วยฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับฉันบ้าง”
ชูหยุนซีกำกางเกงของเธอแน่นและกัดริมฝีปากของเธอ
“จริง ๆ แล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเจอเรื่องแบบนี้ ฉันตัดความสัมพันธ์กับชูเทียนฉีและปฏิเสธทุกอย่างของเขา ฉันเดินมาจุดนี้ด้วยตัวเองแต่ฉันเหนื่อยมากในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นอายุของฉันยังน้อยแต่ฉันโชคดีดังนั้นฉันจึงได้รับความนิยม แต่ตั้งแต่ปีนี้ฉันคิดว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป…”
ชูหยุนซีรู้สึกว่าตั้งแต่ต้นปีนี้เธอถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง สายตาของผู้นำในวงการบันเทิงที่น่ารักเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปจากการมองเด็กคนหนึ่งเป็นมองเหยื่อสำหรับผู้ล่า นั่นทำให้เธออึดอัดมาก
ในอดีตเธอต้องการเพียงแค่ร้องเพลงดี ๆ อย่างสงบและจะมีคนชื่นชมและฝึกฝนเธอ แต่ตอนนี้กลับมีเรื่องอยู่ทุกหนทุกแห่ง
แต่ถ้าเธอไม่ทำอะไรโอกาสก็จะหายไปหมด
แม้ว่าเธอจะยังคงมีชื่อเสียงจากการอาศัยความสำเร็จที่ผ่านมา
แต่ทั้งหมดนี้เป็นภาพลวงตา หากไม่มีความคืบหน้าอะไรเป็นเวลานานทุกอย่างก็จะหายไป
เมื่อคิดเรื่องนี้ชูหยุนซีก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“ชูเทียนฉีบอกฉันมากกว่าหนึ่งครั้งว่าเขาขอให้ฉันเปิดเผยความสัมพันธ์ว่าเขาเป็นพ่อของฉันหรือไม่ก็ลาออกจากวงการบันเทิง เขากลัวว่าเมื่อฉันโตขึ้นฉันจะถูกรังแก แต่ฉันไม่ฟังและตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะพูดถูก คนอย่างฉันควรอยู่ในวงการบันเทิงจริง ๆ น่ะเหรอ?”
น้ำตาของชูหยุนซีตกลงบนกางเกงของเธอ
คอมเม้นต์