The Daily Life of the Immortal King – ตอนที่ 132
ตอนที่ 132 ตรวจร่างกายก่อนการฝึกทหาร
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคมของปีการศึกษาที่หนึ่ง
ระหว่างคาบเรียนยันต์เต๋าของวันนี้ อาจารย์ป่านได้ประกาศสิ่งที่น่าตกใจบางอย่าง
อาจารย์ป่านซึ่งยืนอยู่หน้าชั้นเรียนดันแว่นของตัวเองขึ้นและพูดอะไรแปลกๆออกมา “เอาล่ะนักเรียนทุกคน หลังจากที่ทางเบื้องบนได้มีคำสั่งลงมาให้หน่วยงานที่รับผิดในแต่ละเขต สอนศิลปะป้องกันตัวให้แก่ผู้หญิงทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่เพื่อรับมือกับพวกวิตถาร แรกเริ่มเราตั้งใจจะให้เป็นนักเรียนชั้นปีที่สอง การฝึกจะเริ่มขึ้นกลางเดือนหน้า โดยการฝึกนั้นจะฝึกด้วยกันทั้งหมดห้าวันที่กองทัพบกเมืองซ่งไห่”
เมื่อนักเรียนทุกคนในห้องได้ยินสิ่งที่อาจารย์ป่านประกาศ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนชายหรือหญิง ทุกคนต่างดีใจที่ได้ยินคำว่าฝึกที่ค่ายทหาร เพราะว่าตลอดระยะเวลาดังกล่าวทางโรงเรียนจะไม่สามารถให้การบ้านใดได้! เพราะพวกเขารู้จักอาจารย์ป่านดีเธอจึงไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมามากนัก
เพราะสำหรับอาจารย์ป่านไม่ว่าการบ้านจะเยอะหรือจะน้อยสักแค่ไหน ยังไงก็ต้องทำให้เสร็จ! ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ล่าสุดก็คือตอนที่หวังลิ่งไปยังโรงเรียนอันดบัที่59เพื่อเข้าร่วมงานประลองกระบี่วิญญาณ
ในขณะที่ทั้งห้องกำลังถกเถียงกันเกี่ยวกับการฝึก มีเพียงสามคนที่นั่งเอามือปิดหน้าอยู่
เช็นเฉาเอามือปิดหน้าตัวเองเพราะความดีใจ ดีใจเสียจนแทบจะร้องไห้ เพราะเขาเป็นเด็กที่ชื่นชอบการออกแรง เขารู้สึกว่าใจที่สุดมันก็ถึงเวลาที่เขาจะได้โชว์ศักยภาพของเขาเสียที!
หวังลิ่งเอามือปิดหน้าเพราะเขาไม่คิดว่าการทำกิจกรรมกลุ่มแบบนี้จะมาเร็วขนาดนี้! เขาจำได้ว่าเมื่อคราวก่อนที่โรงเรียนอันดับที่59 ตอนที่โจวยี่จับขาของเลขาซุนดาคัง ทุกครั้งที่เขานึกถึงเหตุการณ์นั้นเขารู้สึกปวดหัว กิจกรรมกลุ่มนั้นเป็นอะไรที่แย่มากสำหรับเขา…
เสี่ยวหัวเฉิงเป็นคนสุดท้ายที่เอามือปิดหน้า นั่นก็เพราะเขาเคยได้ยินประธานนักเรียนยูพูดว่าทางโรงเรียนจะมีการตรวจสภาพร่างกายก่อนที่จะเข้ารับการฝึก เพราะว่าพวกเขาจำเป็นต้องรู้สภาพร่างกายก่อนที่จะออกแผนการฝึกให้นักเรียนแต่ละคน
หลังจากทั้งห้องเงียบลงแล้ว(ด้วยสายตาพิฆาตของอาจารย์ป่าน) เธอก็พูดขึ้นว่า “จะไม่มีการเรียนการสอนช่วงบ่ายนี้ ซุนหรงจะเป็นคนนำนักเรียนหญิง และเช็นเฉาจะเป็นคนนำนักเรียนชาย ไปยังตึกพยาบาลชั้นที่สามสำหรับการตรวจร่างกาย ย้ำว่าทุกคนต้องไป หากใครตรวจร่างกายไม่ผ่านจะต้องนำการบ้านสองแผ่นนี้กลับไปทำเป็นการบ้าน”
เมื่อได้ยินดังนั้นเสี่ยวหัวเฉิงรีบดึงมือกลับลงมา…
หวังลิ่งคิดในใจว่า ‘ถ้าจะให้เทียบกันแล้ว การตรวจร่างกายกับการบ้าน การบ้านดูท่าจะเลวร้ายกว่าเยอะ!’
ในวัยเด็กของหวังลิ่งนั้นแทบจะไม่เคยตรวจร่างกายเลย เหตุผลก็เพราะด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของเขานั่นเอง
สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนโดยทั่วไปแล้ว นักเรียนระดับแรกเริ่มลมปราณนั้นจะมีพละกำลังและความสามารถทางร่างกายมากกว่าคนธรรมดา
หวังลิ่งรู้สึกว่าการตรวจร่างกายนี้ ไม่ค่อยจะสำคัญอะไรเท่าไร พวกเขามักจะไม่ตรวจสิ่งที่ควรจะตรวจแต่ดันไปตรวจสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องตรวจ เหล่าป้าๆนั้นไม่ได้สนใจสภาพร่างกายของเด็กสักเท่าไรหรอก ที่พวกเขาสนใจนั่นคือส่วนนั้นของร่างกายเติบโตมากแค่ไหนแล้วมากกว่า…
ตอนนี้เองเขาเริ่มรู้สึกปวดหัวและเข้าใจสิ่งที่เสี่ยวหัวเฉิงกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้
แต่เหตุผลของหวังลิ่งนั้นต่างจากของเสี่ยวหัวเฉิงอย่างสิ้นเชิง
เสี่ยวหัวเฉิงกังวลที่ว่าส่วนนั้นของเขานั้นเล็กเกินไป เขาอาจจะถูกหัวเราะใส่เมื่อขนาดไม่ได้ตามมาตรฐานเด็กผู้ชาย…
แต่สำหรับหวังลิ่งนั้นกลับกัน อวัยวะส่วนนั้นของเขามันใหญ่เกินไป เกินกว่ามาตรฐานเขากลัวว่ามันจะดึงดูดความสนใจมากเกินไป…
…………………………………….
ในตอนบ่าย เช็นเฉาพาบรรดาเพื่อนร่วมห้องชายของเขามาต่อแถวที่หน้าห้องพยาบาลเพื่อทำการตรวจร่างกาย
ทุกอย่างเป็นไปตามที่หวังลิ่งคาดการณ์ไว้ คุณป้าพยาบาลคนหนึ่งซึ่งก่อนหน้านี้ยังทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ก็พลันลุกขึ้นยืนหลังตรงทันทีที่เห็นเหล่านักเรียนชาย เธอสวมเสื้อกาวน์สีขาวและสวมแว่นตาสำหรับคนสายตายาว สายตาของเธอนั้นเหลือบมองไปยังข้างหลังเช็นเฉาราวกับเครื่องสแกน “เงียบๆหน่อยอย่าคุยเสียงดัง คุณหมอซ่งจะเป็นคนตรวจร่างกายพวกเธอในวันนี้”
คุณหมอซ่ง?
หวังลิ่งรู้สึกว่าชื่อนี้มันคุ้นอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงแอบใช้วิชาตาสวรรค์มองเข้าไปข้างในห้อง…คุณหมอซ่งนั่นคือลี่เหมงเหมง!
ในตอนนั้นเอง ลี่เหมงเหมงก็กำลังสวมใส่ถุงมือสีขาวด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใด เขาทาน้ำมันไปที่นิ้วกลางของเขาและใช้มันตรวจรูปทวารหนักของนักเรียนชายคนหนึ่ง ทันทีที่นิ้วกลางนั้นได้ผ่านเข้าไป ใบหน้าของนักเรียนชายคนนั้นบิดเบี้ยวและร้องโวยวายออกมาราวกับว่ากำลังเจ็บปวด?
หวังลิ่ง “…”
เมื่อทุกคนได้ยินเสียงเด็กนักเรียนชายในห้องตรวจร้อง ก็มีนักเรียนชายที่ต่อคิวอยู่คนหนึ่งถามขึ้นมา “อย่าบอกนะว่านี่พวกเราจะต้องโดนตรวจจนร้องเสียงแบบนั้นออกมา?”
คุณป้าที่ยืนอยู่หน้าห้องยิ้มให้กับนักเรียนชายคนนั้น “พวกเราจะสุ่มเลือกเพียงแค่สองคนต่อห้องเท่านั้นแหละจ่ะ”
และเธอก็หยิบกระดาษออกมาใบหนึ่ง “นักเรียนชายชั้นปีที่หนึ่งห้องสาม นักเรียนเช็นเฉา และกัวหาวจะเป็นคนที่ถูกเลือกในการตรวจคราวนี้ พวกเขาอยู่ที่นี่ไหม?”
ทันทีที่เช็นเฉาและกัวหาวได้ยินชื่อของตนเอง พวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวไปไหนหวาดกลัวราวกับว่ากำลังจะโดนเข้าห้องเชือด “…”
…………………………………..
ไม่นานนักบรรดานักเรียนชายที่มาก่อนหน้าพวกหวังลิ่งก็ตรวจร่างกายเสร็จสิ้น ในที่สุดก็ถึงตาของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งห้องสาม
หลังจากที่เช็นเฉาและกัวหาวผู้ซึ่งถูกเลือกให้เป็นตัวแทนถูกแยกตัวออกไป นักเรียนชายที่เหลือก็เดินเข้าห้องไปทีละคน
ในสายตาของหวังลิ่งทันทีที่เขาได้เข้ามาในห้อง เขาเห็นลี่เหมงเหมงสวมถุงมือสีขาว และชี้ไปยังเตียงข้างหน้าเด็กผู้ซึ่งถูกเลือกเป็นตัวแทน “พวกเธอ ถอดกางเกงออกแล้วโก้งโค้งมาทางนี้ จากนั้นก็ใช้มือของตนเองแหวกก้นให้ฉันด้วย”
ตัวแทนผู้ถูกเชือดทั้งสองพยักหน้าด้วยความหวาดกลัวแต่ก็ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เตียง หลังจากที่พวกเขายืนประจำตำแหน่งเสร็จ ลี่เหมงเหมงก็ดึงผ้าม่านมาปิด
ดูจากเงาผ่านผ้าม่าน ทุกคนมองเห็นทุกการกระทำของลี่เหมงเหมง…
เขาทาน้ำมันไปที่นิ้วของเขา…
หลังผ้าม่านนั้น ลี่เหมงเหมงเปรียบเสมือนมัจจุราชที่กำลังจะใช้วิชาจิ้มทะลวงข้ามสหัสวรรษ [ทุกคนคงรู้จักวิชานี้กันดีจากนารู…ผู้แปล]
ทันทีที่ลี่เหมงเหมงใช้วิชานั้น เช็นเฉาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดปนกับน้ำตา
เสี่ยวหัวเฉิงนั้นกลัวจนต้องยกมือขึ้นมาปิดตาตนเองเพราะเขาทนที่จะดูต่อไปไม่ไหวแล้ว…
หวังลิ่งถอนหายใจออกมาในใจ ราวกับว่าเขานั้นอยู่อีกฝั่งนึงของลำธารซึ่งกำลังมองดูกวางถูกเสือขย้ำไปทีละตัว
ไม่นานนักการตรวจร่างกายของเช็นเฉาก็จบลง ขณะที่เขากำลังเดินออกมาจากหลังผ้าม่านก็มีเหล่าเพื่อนร่วมห้องของเขาเดินไปถาม
“มันเจ็บไหม?” มีเพื่อนร่วมห้องชายคนหนึ่งเอามือแตะไหล่และถามขึ้นมา
เช็นเฉาหันขวับไปมองอย่างอารมณ์ไม่ดี “ไปลองดูเองดิ”
ในทำนองเดียวกันทุกคนก็เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหลังผ้าม่านอีกครั้ง ลี่เหมงเหมงกำลังสวมถุงมืออันใหม่และทาน้ำมันที่นิ้วกลาง
แต่ครั้งนี้กลับไม่มีเสียงร้องใดๆออกมา…
นั่นก็เพราะวิชาปากกาห้าด้ามของกัวหาวนั้นได้ฝึกใช้งานจนประสาทรับรู้มันด้านชาไปหมดแล้ว
ข้างหลังผ้าม่าน กัวหาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา “คุณสัมผัสผิดจุดรู้บ้างไหม? มันอาจจะทำให้คนอื่นบาดเจ็บได้นะ!”
ทุกคนที่อยู่ในห้องอ้าปากค้าง ‘แล้วเอ็งไปรู้ได้ไง?!’
“คุณเป็นแค่หมอฝึกหัดใช่ไหม? มาหันก้นมาทางนี้เดี๋ยวผมจะสอนให้!”
“…”
ต่อหน้าผู้ฝึกตนขั้นแรกเริ่มลมปราณ ลี่เหมงเหมงเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเขาไม่สามารถขัดขืนได้ [จริงหรอไม่ขัดขืนหรือชอบ…ผู้แปล] ดังนั้นเขาจึงยอมทำตามคำสั่งของกัวหาว…ก้วหาวสวมถุงมือสีขาวและทาน้ำมัน ทันใดนั้นเองก็ใช้วิชาทิ่มทะลวงข้ามสหัสวรรษทันที
ลี่เหมงเหมงร้องไห้น้ำตาคลอและภายในใจคิดว่า ‘ให้ตายสิการที่จะทำงานพิเศษหาเงินแบบนี้ ต้องโดนอะไรแบบนี้ด้วยหรอ?’
ตอนที่ 132 ตรวจร่างกายก่อนการฝึกทหาร
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคมของปีการศึกษาที่หนึ่ง
ระหว่างคาบเรียนยันต์เต๋าของวันนี้ อาจารย์ป่านได้ประกาศสิ่งที่น่าตกใจบางอย่าง
อาจารย์ป่านซึ่งยืนอยู่หน้าชั้นเรียนดันแว่นของตัวเองขึ้นและพูดอะไรแปลกๆออกมา “เอาล่ะนักเรียนทุกคน หลังจากที่ทางเบื้องบนได้มีคำสั่งลงมาให้หน่วยงานที่รับผิดในแต่ละเขต สอนศิลปะป้องกันตัวให้แก่ผู้หญิงทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่เพื่อรับมือกับพวกวิตถาร แรกเริ่มเราตั้งใจจะให้เป็นนักเรียนชั้นปีที่สอง การฝึกจะเริ่มขึ้นกลางเดือนหน้า โดยการฝึกนั้นจะฝึกด้วยกันทั้งหมดห้าวันที่กองทัพบกเมืองซ่งไห่”
เมื่อนักเรียนทุกคนในห้องได้ยินสิ่งที่อาจารย์ป่านประกาศ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนชายหรือหญิง ทุกคนต่างดีใจที่ได้ยินคำว่าฝึกที่ค่ายทหาร เพราะว่าตลอดระยะเวลาดังกล่าวทางโรงเรียนจะไม่สามารถให้การบ้านใดได้! เพราะพวกเขารู้จักอาจารย์ป่านดีเธอจึงไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมามากนัก
เพราะสำหรับอาจารย์ป่านไม่ว่าการบ้านจะเยอะหรือจะน้อยสักแค่ไหน ยังไงก็ต้องทำให้เสร็จ! ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ล่าสุดก็คือตอนที่หวังลิ่งไปยังโรงเรียนอันดบัที่59เพื่อเข้าร่วมงานประลองกระบี่วิญญาณ
ในขณะที่ทั้งห้องกำลังถกเถียงกันเกี่ยวกับการฝึก มีเพียงสามคนที่นั่งเอามือปิดหน้าอยู่
เช็นเฉาเอามือปิดหน้าตัวเองเพราะความดีใจ ดีใจเสียจนแทบจะร้องไห้ เพราะเขาเป็นเด็กที่ชื่นชอบการออกแรง เขารู้สึกว่าใจที่สุดมันก็ถึงเวลาที่เขาจะได้โชว์ศักยภาพของเขาเสียที!
หวังลิ่งเอามือปิดหน้าเพราะเขาไม่คิดว่าการทำกิจกรรมกลุ่มแบบนี้จะมาเร็วขนาดนี้! เขาจำได้ว่าเมื่อคราวก่อนที่โรงเรียนอันดับที่59 ตอนที่โจวยี่จับขาของเลขาซุนดาคัง ทุกครั้งที่เขานึกถึงเหตุการณ์นั้นเขารู้สึกปวดหัว กิจกรรมกลุ่มนั้นเป็นอะไรที่แย่มากสำหรับเขา…
เสี่ยวหัวเฉิงเป็นคนสุดท้ายที่เอามือปิดหน้า นั่นก็เพราะเขาเคยได้ยินประธานนักเรียนยูพูดว่าทางโรงเรียนจะมีการตรวจสภาพร่างกายก่อนที่จะเข้ารับการฝึก เพราะว่าพวกเขาจำเป็นต้องรู้สภาพร่างกายก่อนที่จะออกแผนการฝึกให้นักเรียนแต่ละคน
หลังจากทั้งห้องเงียบลงแล้ว(ด้วยสายตาพิฆาตของอาจารย์ป่าน) เธอก็พูดขึ้นว่า “จะไม่มีการเรียนการสอนช่วงบ่ายนี้ ซุนหรงจะเป็นคนนำนักเรียนหญิง และเช็นเฉาจะเป็นคนนำนักเรียนชาย ไปยังตึกพยาบาลชั้นที่สามสำหรับการตรวจร่างกาย ย้ำว่าทุกคนต้องไป หากใครตรวจร่างกายไม่ผ่านจะต้องนำการบ้านสองแผ่นนี้กลับไปทำเป็นการบ้าน”
เมื่อได้ยินดังนั้นเสี่ยวหัวเฉิงรีบดึงมือกลับลงมา…
หวังลิ่งคิดในใจว่า ‘ถ้าจะให้เทียบกันแล้ว การตรวจร่างกายกับการบ้าน การบ้านดูท่าจะเลวร้ายกว่าเยอะ!’
ในวัยเด็กของหวังลิ่งนั้นแทบจะไม่เคยตรวจร่างกายเลย เหตุผลก็เพราะด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของเขานั่นเอง
สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนโดยทั่วไปแล้ว นักเรียนระดับแรกเริ่มลมปราณนั้นจะมีพละกำลังและความสามารถทางร่างกายมากกว่าคนธรรมดา
หวังลิ่งรู้สึกว่าการตรวจร่างกายนี้ ไม่ค่อยจะสำคัญอะไรเท่าไร พวกเขามักจะไม่ตรวจสิ่งที่ควรจะตรวจแต่ดันไปตรวจสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องตรวจ เหล่าป้าๆนั้นไม่ได้สนใจสภาพร่างกายของเด็กสักเท่าไรหรอก ที่พวกเขาสนใจนั่นคือส่วนนั้นของร่างกายเติบโตมากแค่ไหนแล้วมากกว่า…
ตอนนี้เองเขาเริ่มรู้สึกปวดหัวและเข้าใจสิ่งที่เสี่ยวหัวเฉิงกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้
แต่เหตุผลของหวังลิ่งนั้นต่างจากของเสี่ยวหัวเฉิงอย่างสิ้นเชิง
เสี่ยวหัวเฉิงกังวลที่ว่าส่วนนั้นของเขานั้นเล็กเกินไป เขาอาจจะถูกหัวเราะใส่เมื่อขนาดไม่ได้ตามมาตรฐานเด็กผู้ชาย…
แต่สำหรับหวังลิ่งนั้นกลับกัน อวัยวะส่วนนั้นของเขามันใหญ่เกินไป เกินกว่ามาตรฐานเขากลัวว่ามันจะดึงดูดความสนใจมากเกินไป…
…………………………………….
ในตอนบ่าย เช็นเฉาพาบรรดาเพื่อนร่วมห้องชายของเขามาต่อแถวที่หน้าห้องพยาบาลเพื่อทำการตรวจร่างกาย
ทุกอย่างเป็นไปตามที่หวังลิ่งคาดการณ์ไว้ คุณป้าพยาบาลคนหนึ่งซึ่งก่อนหน้านี้ยังทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ก็พลันลุกขึ้นยืนหลังตรงทันทีที่เห็นเหล่านักเรียนชาย เธอสวมเสื้อกาวน์สีขาวและสวมแว่นตาสำหรับคนสายตายาว สายตาของเธอนั้นเหลือบมองไปยังข้างหลังเช็นเฉาราวกับเครื่องสแกน “เงียบๆหน่อยอย่าคุยเสียงดัง คุณหมอซ่งจะเป็นคนตรวจร่างกายพวกเธอในวันนี้”
คุณหมอซ่ง?
หวังลิ่งรู้สึกว่าชื่อนี้มันคุ้นอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงแอบใช้วิชาตาสวรรค์มองเข้าไปข้างในห้อง…คุณหมอซ่งนั่นคือลี่เหมงเหมง!
ในตอนนั้นเอง ลี่เหมงเหมงก็กำลังสวมใส่ถุงมือสีขาวด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใด เขาทาน้ำมันไปที่นิ้วกลางของเขาและใช้มันตรวจรูปทวารหนักของนักเรียนชายคนหนึ่ง ทันทีที่นิ้วกลางนั้นได้ผ่านเข้าไป ใบหน้าของนักเรียนชายคนนั้นบิดเบี้ยวและร้องโวยวายออกมาราวกับว่ากำลังเจ็บปวด?
หวังลิ่ง “…”
เมื่อทุกคนได้ยินเสียงเด็กนักเรียนชายในห้องตรวจร้อง ก็มีนักเรียนชายที่ต่อคิวอยู่คนหนึ่งถามขึ้นมา “อย่าบอกนะว่านี่พวกเราจะต้องโดนตรวจจนร้องเสียงแบบนั้นออกมา?”
คุณป้าที่ยืนอยู่หน้าห้องยิ้มให้กับนักเรียนชายคนนั้น “พวกเราจะสุ่มเลือกเพียงแค่สองคนต่อห้องเท่านั้นแหละจ่ะ”
และเธอก็หยิบกระดาษออกมาใบหนึ่ง “นักเรียนชายชั้นปีที่หนึ่งห้องสาม นักเรียนเช็นเฉา และกัวหาวจะเป็นคนที่ถูกเลือกในการตรวจคราวนี้ พวกเขาอยู่ที่นี่ไหม?”
ทันทีที่เช็นเฉาและกัวหาวได้ยินชื่อของตนเอง พวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวไปไหนหวาดกลัวราวกับว่ากำลังจะโดนเข้าห้องเชือด “…”
…………………………………..
ไม่นานนักบรรดานักเรียนชายที่มาก่อนหน้าพวกหวังลิ่งก็ตรวจร่างกายเสร็จสิ้น ในที่สุดก็ถึงตาของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งห้องสาม
หลังจากที่เช็นเฉาและกัวหาวผู้ซึ่งถูกเลือกให้เป็นตัวแทนถูกแยกตัวออกไป นักเรียนชายที่เหลือก็เดินเข้าห้องไปทีละคน
ในสายตาของหวังลิ่งทันทีที่เขาได้เข้ามาในห้อง เขาเห็นลี่เหมงเหมงสวมถุงมือสีขาว และชี้ไปยังเตียงข้างหน้าเด็กผู้ซึ่งถูกเลือกเป็นตัวแทน “พวกเธอ ถอดกางเกงออกแล้วโก้งโค้งมาทางนี้ จากนั้นก็ใช้มือของตนเองแหวกก้นให้ฉันด้วย”
ตัวแทนผู้ถูกเชือดทั้งสองพยักหน้าด้วยความหวาดกลัวแต่ก็ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เตียง หลังจากที่พวกเขายืนประจำตำแหน่งเสร็จ ลี่เหมงเหมงก็ดึงผ้าม่านมาปิด
ดูจากเงาผ่านผ้าม่าน ทุกคนมองเห็นทุกการกระทำของลี่เหมงเหมง…
เขาทาน้ำมันไปที่นิ้วของเขา…
หลังผ้าม่านนั้น ลี่เหมงเหมงเปรียบเสมือนมัจจุราชที่กำลังจะใช้วิชาจิ้มทะลวงข้ามสหัสวรรษ [ทุกคนคงรู้จักวิชานี้กันดีจากนารู…ผู้แปล]
ทันทีที่ลี่เหมงเหมงใช้วิชานั้น เช็นเฉาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดปนกับน้ำตา
เสี่ยวหัวเฉิงนั้นกลัวจนต้องยกมือขึ้นมาปิดตาตนเองเพราะเขาทนที่จะดูต่อไปไม่ไหวแล้ว…
หวังลิ่งถอนหายใจออกมาในใจ ราวกับว่าเขานั้นอยู่อีกฝั่งนึงของลำธารซึ่งกำลังมองดูกวางถูกเสือขย้ำไปทีละตัว
ไม่นานนักการตรวจร่างกายของเช็นเฉาก็จบลง ขณะที่เขากำลังเดินออกมาจากหลังผ้าม่านก็มีเหล่าเพื่อนร่วมห้องของเขาเดินไปถาม
“มันเจ็บไหม?” มีเพื่อนร่วมห้องชายคนหนึ่งเอามือแตะไหล่และถามขึ้นมา
เช็นเฉาหันขวับไปมองอย่างอารมณ์ไม่ดี “ไปลองดูเองดิ”
ในทำนองเดียวกันทุกคนก็เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหลังผ้าม่านอีกครั้ง ลี่เหมงเหมงกำลังสวมถุงมืออันใหม่และทาน้ำมันที่นิ้วกลาง
แต่ครั้งนี้กลับไม่มีเสียงร้องใดๆออกมา…
นั่นก็เพราะวิชาปากกาห้าด้ามของกัวหาวนั้นได้ฝึกใช้งานจนประสาทรับรู้มันด้านชาไปหมดแล้ว
ข้างหลังผ้าม่าน กัวหาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา “คุณสัมผัสผิดจุดรู้บ้างไหม? มันอาจจะทำให้คนอื่นบาดเจ็บได้นะ!”
ทุกคนที่อยู่ในห้องอ้าปากค้าง ‘แล้วเอ็งไปรู้ได้ไง?!’
“คุณเป็นแค่หมอฝึกหัดใช่ไหม? มาหันก้นมาทางนี้เดี๋ยวผมจะสอนให้!”
“…”
ต่อหน้าผู้ฝึกตนขั้นแรกเริ่มลมปราณ ลี่เหมงเหมงเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเขาไม่สามารถขัดขืนได้ [จริงหรอไม่ขัดขืนหรือชอบ…ผู้แปล] ดังนั้นเขาจึงยอมทำตามคำสั่งของกัวหาว…ก้วหาวสวมถุงมือสีขาวและทาน้ำมัน ทันใดนั้นเองก็ใช้วิชาทิ่มทะลวงข้ามสหัสวรรษทันที
ลี่เหมงเหมงร้องไห้น้ำตาคลอและภายในใจคิดว่า ‘ให้ตายสิการที่จะทำงานพิเศษหาเงินแบบนี้ ต้องโดนอะไรแบบนี้ด้วยหรอ?’
คอมเม้นต์