องค์หญิงหมอเทวะ – บทที่ 57 : เข้าวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ
“เจ้ารักษาโรคระบาดได้อย่างไร?”
ซูหลุนจับจ้องดวงตาคมของเขาบนใบหน้าของซูมู่เกอราวกับจะบอกว่า ถ้าเจ้ากล้าโกหกข้า ข้าจะเปิดโปงการโกหกของเจ้าทันที!
ซูมู่เกอได้คาดคิดว่าซูหลุนจะขอให้นางมาอธิบายเรื่องนี้
นางเป่าชาในถ้วยอย่างไม่แยแสและพูดยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อเจ้าค่ะ ท่านอาจลืมไปแล้ว”
“อะไร?” ซูหลุนขมวดคิ้ว
“ข้าได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูหลุนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
“อย่าคิดว่าเจ้าจะหลอกข้าด้วยเรื่องแบบนี้ได้! ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องผีและเทพเจ้า!”
“ท่านพ่อ ท่านไม่เคยตาย ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีผีหรือเทพเจ้า?”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของซูมู่เกอภายใต้แสงเทียน ซูหลุนก็พบว่ามีปานสีแดงเข้มที่หัวตาของนางสะท้อนให้เห็นจากผิวที่ซีดจาง จากมุมหัวตาของนางกลายเป็นแผลเป็นมากขึ้น
ทั้งๆที่เขาจะไม่เคยใส่ใจลูกสาวที่เกิดมาอย่างถูกต้องของเขาเลย เขายังสามารถรู้ได้อย่างชัดเจนว่าลักษณะของนางเป็นอย่างไรในการติดต่อกันมาไม่กี่ปี……
แต่เมื่อนางพุ่งออกมาจากโลงศพ….ทุกอย่างดูเหมือนจะแตกต่างออกไป!
ซูหลุนเปลี่ยนการแสดงออกของเขาอีกครั้งและถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
พฤติกรรมของเขาเป็นเรื่องตลกสำหรับซูมู่เกอ
“ท่านพ่อ ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ตั้งแต่ข้ากลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็เป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”
“เจ้า เจ้า…..”
หลังจากการเดินทางอันยาวนาน ซูมู่เกอเหนื่อยมาก รู้สึกว่าร่างกายของนางแทบจะแหลกสลาย ดังนั้นนางจะไม่เสียเวลาที่นี่กับซูหลุนอีกต่อไป
“ท่านพ่อ ถ้าท่านไม่มีอันใดอีก ข้าขอลา”
เมื่อเห็นซูมู่เกอจากไป ซูหลุนก็ตระหนักว่าเขาลืมจุดประสงค์หลักที่เขาตั้งใจไปแล้ว!
ใช่ อะไรที่ทำให้เขากลัว? นางเป็นคนที่มีชีวิต เช่นเดียวกับลูกสาวของเขา! นอกจากนี้ บางทีนางอาจกำลังพูดเรื่องไร้สาระ!
“ช้าก่อน! ไปที่วังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิพร้อมกับข้าในเช้าวันพรุ่งนี้”
ซูมู่เก๋อหยุดชะงัก ขมวดคิ้วและหันกลับไปมอง “อะไรนะ? เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ? ข้า?”
เมื่อเห็นซูมู่เกอขมวดคิ้วยุ่ง ซูหลุนก็รู้สึกมีชัย เชิดหน้าขึ้นและกล่าวว่า “ใช่ ข้าได้อธิบายให้องค์จักรพรรดิฟังแล้วว่าเจ้าเป็นผู้รักษาโรคระบาดให้หาย”
ซูมู่เกอตกใจมาก นางไม่เคยคาดหวังว่าซูหลุนจะทำเช่นนั้น
แน่นอน ซูหลุนต้องการเอาความดีความชอบแก่ตนเอง แต่เขาไม่เคยอ่านหนังสือทางการแพทย์เลย นับประสาอะไรกับโรคระบาด ด้วยความที่ผู้คนที่อาศัยส่วนใหญ่ในเมืองหลวงเป็นขุนนาง เขาจึงกลัวที่จะถูกเชิญให้ไปรับบริการทางการแพทย์ ถ้าเป็นเช่นนั้น คำโกหกของเขาจะถูกเปิดเผยได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น เขาจึงยอมกัดฟันสารภาพการกระทำของซูมู่เกอ อย่างไรก็ตาม กระบวนการโดยละเอียดจะไม่ถูกสอบสวนเรื่องที่เกี่ยวข้อง ตราบเท่าที่พวกเขารู้ว่าเป็นลูกสาวของเขาที่รักษาโรคระบาด!
“คืนนี้เตรียมตัวให้ดี พรุ่งนี้เจ้าต้องไม่มีข้อผิดพลาด”
หลังจากออกมาจากห้องของซูหลุน ซูมู่เกอก็ค่อยๆ คลายคิ้วลง
นางอยากมีชื่อเสียงมาโดยตลอดและตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนาง
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยโดยซูหลุนยังคงทำให้นางอึดอัด
หากไม่มีการสนับสนุนที่ดีในเมืองหลวง นางต้องระมัดระวังอย่างถี่ถ้วนให้มากขึ้น ไม่งั้นนางอาจถูกเหยียบย่ำให้ตายได้ทุกเมื่อ!
เช้าวันรุ่งขึ้น
ก่อนรุ่งสาว ซูมู่เกอถูกเยว่รู่ปลุกให้ลุกขึ้นจากเตียง
อุณหภูมิในเมืองหลวงต่ำกว่าที่ชุนหยางเล็กน้อย ตอนนี้อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกหนาวที่ต้องตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
“คุณหนู ใต้เท้าส่งคนมาที่นี่แล้วเจ้าค่ะ เร็วเข้า”
เมื่อคืนที่ผ่านมาที่ได้รู้ว่าซูมู่เกอกำลังจะได้เข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ เยว่รู่ทำงานอย่างเต็มกำลังด้วยความกลัวว่าจะตื่นสายและทำผิดพลาด
เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ซูมู่เกอเข้าไปในรถม้าและมุ่งหน้าไปที่พระราชวัง
ไม่มีรับสั่งขององค์จักรพรรดิ ตำแหน่งหรือการเลื่อนขั้นของซูหลุนยังไม่ได้รับการตัดสิใจ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าราชสำนักในเช้าวันนี้
ทันทีที่พวกเขามาถึง คนในพระราชวังพาพวกเขาเข้าไปและให้พวกเขารออยู่ด้านนอกห้องทรงอักษร
ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่โดยที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย ซูมู่เกอได้สาปแช่งองค์จักรพรรดิในใจของนางหลายพันครั้งแล้ว ยิ่งเวลานี้ที่ต้องยืนอยู่ใต้ดวงอาทิตย์!
โดยแท้แน่นอน มันเป็นสังคมที่ชั่วร้ายที่ถูกปกครองโดยอำนาจจักรวรรดิ!
“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงอันแหลมของขันที ซูมู่เกอก้มตัวลงและก้าวไปข้างหน้าเพื่อคำนับพร้อมซูหลุน
“ขอถวายบังคม พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ซูมู่เกอเพียงรู้สึกได้ถึงเสื้อคลุมสีเหลืองสดใสที่ผ่านเข้ามาในดวงตาของนางด้วยเสียงต่ำและว่างเปล่า
“ลุกขึ้น”
ซูมู่เกอลุกขึ้นยืนกับซูหลุนและติดตามเสด็จองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยไปที่ห้องทรงอักษร
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยนั่งลงบนบัลลังก์มังกรและมองไปที่ซูมู่เกอซึ่งยืนอยู่ด้านหลังซูหลุน
“อี้-ชิง ซู นี่คือลูกสาวคนโตที่เกิดจากเจ้าจริงหรือ?”
ซูหลุนก้าวไปข้างหน้าและกล่าวด้วยความเคารพยิ่งว่า “พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ซูมู่เกอรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาที่นางด้วยการตรวจตราอย่างละเอียดและเพ่งพินิจ
“เจ้ามีทักษะทางการแพทย์ที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย ตามที่ อี้-ชิง ซู ว่า เจ้าหลงใหลในยามาตั้งแต่ยังเยาว์ใช่หรือไม่?”
ซูหลุนให้เหตุผลที่ดี แน่นอน นางต้องใช้ประโยชน์จากมันให้เกิดประโยชน์อันดี
“เพค่ะ ฝ่าบาท หม่อมฉันป่วยตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้นหม่อมฉันจึงตัดสินใจที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เมื่อหม่อมฉันเติบโตขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บป่วยเช่นหม่อมฉันเพค่ะ
“ดี เจ้าเป็นเด็กที่พัฒนาตนเอง อืม อย่าเพิ่งอดกลั้น ข้าไม่อยากทำให้เด็กน้อยเช่นเจ้ากลัว” เซี่ยโฮวรุยหัวเราะด้วยเสียงต่ำ
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูคนที่นั่งบนบัลลังก์มังกรตรงหน้านาง
เซี่ยโฮวรุย ในวันสี่สิบของเขาควรจะเป็นชายวัยกลางคนที่หล่อเหลา แต่ผมของเขาเกือบครึ่งขาว ถุงใต้ตาของเขาห้อยลงที่ใต้ตา ดวงตาของเขาขุ่นมัวเล็กน้อยและหมองคล้ำ แต่ยังคงแสดงถึงความสง่างามและศักดิ์ศรี ร่างกายของเขาบวมเล็กน้อย และผิวของเขาดูซีดผิดปกติ
แค่เพียงมองแค่แวบแรก นางก็รู้ว่ามันคือความบกพร่องของม้ามและไต
“เจ้ารักษาโรคระบาดให้หายได้ บอกข้ามาว่าเจ้าต้องการรางวัลอันใด?”
เงิน!
“หม่อมฉันยังไม่ได้คิดอันใดไว้เลยเพค่ะ ฝ่าบาท เมื่อตัดสินใจได้แล้วหม่อมฉันขอกราบทูลในภายหลังได้หรือไม่เพค่ะ”
“มู่เกอ! อย่ากล่าววาจาสามหาว!” ใบหน้าของซูหลุนเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก นางพูดแบบนั้นได้ยังไง!
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยตัวแข็งไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะออกมาดังๆ “ฮ่าๆๆๆๆ ได้ ตามนั้น เจ้ามีสัญญาของข้า ข้าจะสงวนรางวัลนี้ไว้ให้เจ้า” หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ซูหลุน “อา อี้-ชิง ซู อย่าทำให้ลูกตกใจ”
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เมื่อเห็นว่าองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมิได้ทรงกริ้ว ซูหลุนก็โล่งใจเป็นที่สุด
หลังจากนั้น องค์จักรพรรดิทรงรู้สึกไม่สบายและปล่อยให้พวกเขาล่าถอยออกไปจากห้อง
หลังจากออกมา ซูหลุนพยายามตำหนิซูมู่เกอ แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่ามันไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นในเขตพระราชวัง เขาจึงอดกลั้นคำพูดของเขาไว้
เดินเร็วๆ บนถนนอันยาวในวังหลวง ซูมู่เกอเพียงต้องการออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
ร่างท้วมในชุดขุนนางเต็มยศเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้าๆ
ในตอนแรก ซูมู่เกอไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่นางสังเกตเห็นร่างกายของซูหลุนแข็งขึ้น
ซูมู่เกอสังเกตชายคนนั้นอย่างลับๆ และพบว่าลักษณะของเขาคล้ายกับนางอันเล็กน้อย
“ใต้เท้าอัน” ผู้คนที่เขาเดินผ่านต่างพากันทำความเคารพ
เมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กัน ซูหลุนก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อโค้งคำนับ “ใต้เท้าอัน”
ซูมู่เกอก็หยุดและก้มตัวทำความเคารพ
อันจงซิงมองไปที่ทั้งสองและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อืม ลุกขึ้นเถอะ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าพาเด็กคนนี้เข้าวังในวันนี้ ข้าจึงมาที่นี่เพื่อพบเจ้า เขตพระราชวังไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยกัน ออกไปด้านนอกกันเถอะ”
ซูหลุนก้มหัวลง ซ่อนรูปลักษณ์ของเขา
“ขอรับ ใต้เท้า”
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นมอง ยิ่งนางเข้าใกล้กับพ่อตาคนที่สองของซูหลุนมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งพบว่าเขาเหมือนรูปปั้นพระโพธิสัตว์
อย่างไรก็ตาม ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะทรงมีพระกรุณาและเมตตาเฉกเช่นพระโพธิสัตว์หรือไม่
“คุณหนูซู โปรดรอสักครู่” ขันทีหนุ่มวิ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างไร้ความปราณีและกล่าวหลังจากคารวะตามลำดับแล้ว “คุณหนูซู องค์หญิงเก้ารับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้า”
เชิญนาง?
ซูมู่เกอรู้สึกงงงวย แม้แต่ซูหลุนก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไมองค์หญิงเก้าถึงต้องการพบนาง
อันจงซิงหัวเราะและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงเก้าสนใจเรียนการแพทย์มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อได้ยินเกี่ยวกับเด็กคนนี้ พระองค์อาจทรงอยากพบหน้านาง”
นางไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไป ยังไม่มีตำแหน่งทางการที่ชัดเจน ซูหลุนไม่ต้องการให้ใครขุ่นเคืองได้
“เนื่องจากองค์หญิงเก้าเป็นผู้เชิญเจ้า ไปเถอะ อย่าลืมมารยาท”
ซูมู่เกออยู่ในความไม่เต็มใจไป นางรู้ว่านางไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
ราชวงศ์เหล่านี้ช่างมีแต่ปัญหาทำให้นางลำบากมาก
“เจ้าค่ะ”
ก่อนที่จะเข้ามาในพระราชวัง ซูหลุนเคยบอกนางอย่างคร่าวๆ ว่า พระมเหสีและสนมขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยนั้นให้กำเนิดลูกมากกว่าหนึ่งโหล แต่รอดชีวิตเพียงเครึ่งเดียว เติบโตขึ้นเพียงไม่กี่คน
องค์หญิงเก้าผู้นี้ประสูติโดยกุยเรน (พระสนมในองค์จักรพรรดิระดับหก) ซึ่งเป็นหญิงสาวมาจากครอบครัวนายพล ด้วยตำแหน่างระดับกลางในวังหลวง กุยเรนไม่สามารถขัดขวางการเลื่อนตำแหน่งของสนมคนอื่นหรือปราบปรามพวกเขาได้ เป็นผลให้นางสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆได้และองค์หญิงเก้าคนนี้จึงสามารถเติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดีจนถึงตอนนี้
ผ่านพี่ตำหนักมาสองช่วง นางออกมาถึงด้านนอกวังขององค์หญิงเก้า
“น้องเก้า เจ้าต้องไปพบเด็กผู้หญิงจากชนบทจริงๆหรือ?”
“ท่านพี่แปด ถ้ามันทำให้ท่านรำคาญ ท่านก็สามารถกลับตำหนักได้เพค่ะ”
“อึ่มมมม!”
“องค์หญิงเก้า คุณหนูคนโตตระกูลซูมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ “
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยโฮวซีก็พยักหน้าและพูด้วยใบหน้าเฉยเมย “พานางเข้ามา”
“พะย่ะค่ะ”
ซูมู่เกอถูกแม่บ้านพาไปที่ศาลา เมื่อนางมองขึ้นไปก็เห็นผู้หญิงสองคนในชุดของหญิงชาววังนั่งอยู่ข้างใน
“หม่อมฉันขอถวายบังคมองค์หญิงเพค่ะ”
ซูมู่เกอยืนอยู่ที่ขั้นบันไดโค้งคำนับ
เซี่ยโฮวหยินมองไปที่ซูมู่เกอ จากนั้นก็แสดงท่าทีรังเกียจ
“โทรมมาก ชุดเครื่องแต่งกายของนางยังไม่ดีเท่าสาวใช้ด้วยซ้ำ”
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จ้องมองหญิงสาวที่กำลังพูดในชุดสีม่วง
ในวัยใกล้เคียงกับนาง นางใบหน้ารูปไข่และผิวของนางอ่อนโยนมากจนดูเหมือนน้ำจะไหลออกมาถ้ามีคนมาสะกิดที่แก้มของนาง ดวงตาของนางที่มีมุมยกขึ้นเล็กน้อยเป็นดวงตาที่เหมือนนกฟีนิกซ์ แต่ก็เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่โดดเด่น เด็กสาวต้องเป็นเด็กซนเอาแต่ใจแน่
“ท่านพี่แปด ท่านควรกลับตำหนักได้แล้วเพค่ะ” เซี่ยโฮวซียงคงไม่แสดงออก
จากนั้นซูมู่เกอก็มองเห็นเซี่ยโฮวซี
เมื่อเทียบกับหุ่นที่สวยและน่ารักของเซี่ยโฮวหยินแล้ว เซี่ยโฮวซีในชุดสีฟ้าอ่อนดูบอบบางกว่ามาก ดวงตาที่เหมือนอับมอนด์สีอ่อนของนางแสดงอารมณ์ที่ค่อนข้างเฉยเมย ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับวัยเด็กเช่นนี้
ขณะที่ซูมู่เกอมองเซี่ยโฮวซีขึ้นลง เซี่ยโฮวซีมองไปที่นางด้วย แต่เนื่องจากซูมู่เกอก้มศีรษะเล็กน้อย เซี่ยโฮวซีไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน แต่ชุดของนางนั้น…..ธรรมดามากจริงๆ
เซี่ยโฮวหยินสะบัดหน้าและไม่สนใจคำพูดของเซี่ยโฮวซี นางเดินไปหาซูมู่เกอเชิกคางขึ้น และใช้หางตามอง
“เจ้าเป็นคนที่ท่านพ่อรับสั่งว่ารักษาโรคระบาดได้ใช่หรือไม่? เจ้าดูโทรมมากจนข้าเชื่อเจ้าอ่านหนังสือไม่ออก ใช่หรือไม่? เจ้าจะรักษาผู้ป่วยเหล่านนั้นได้อย่างไร?!”
เมื่อคืนที่ผ่านมา เซี่ยโฮวรุยนอนในห้องของแม่ของเซี่ยโฮวหยินและพูดถึงซูมู่เกอ ซึ่งกระตุ้นความเกลียดชังของเซี่ยโฮวหยิน เมื่ออายุมากขึ้นเด็กสาวไม่สามารถทนต่อความจริงที่ว่ามีใครบางคนที่ดีกว่านาง!
“ทำไมเจ้าไม่พูด? เจ้าเป็นใบ้? !”
เซี่ยโฮวหยินรู้สึกรำคาญเล็กน้อยที่เห็นว่าไม่มีการตอบสนองใด ๆ จากซูมู่เกอ ดังนั้นนางจึงเอื้อมมือไปหาซูมู่เกอ
“อา!”
คอมเม้นต์