The Daily Life of the Immortal King – ตอนที่ 97
ตอนที่ 97 ประสาทตระกูลโม่
หน้ากากต้องสาป?
หรือมันจะเป็นหน้ากากผีดิบอันนั่น?
หวังลิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากมีวิญญาณของคนแก่อยู่ในนั้นจริงๆ ไม่มีทางที่เขาจะไม่สามารถรับรู้ได้…ตอนนี้เขาเริ่มมั่นใจในสมมติฐานของเขามากขึ้น
ว่าหน้ากากใบนั้นต้องเป็นหน้ากากแฝด
ถ้าหากที่อาจารย์คังพูดมาเป็นเรื่องจริง จอมมารกัวผีจะต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในหน้ากากแฝดอีกใบซึ่งอยู่ในอีกมิติ แต่สามารถควบคุมหน้ากากใบที่อยู่ในการครอบครองของหวังลิ่งได้
หวังลิ่งรู้สึกว่าเขาได้ครอบครองของที่ดูเหมือนจะสร้างปัญหาน่าปวดหัวให้เขาอีกแล้ว
ในขณะที่เขากำลังตื่นตระหนกอยู่ อาจารย์คังก็เล่าเรื่องของจอมมารกัวผีจบ และเริ่มเข้าสู่เนื้อหา “สงครามกัวผีครั้งที่สอง”
“หลังจากสงครามกัวผีครั้งแรกจบลง ผู้บรรชาการกองทัพกัวผีก็หลบหนีไปยังที่ไหนสักแห่ง และลูกศิษย์ของเขาชีผี ผู้ซึ่งดำลงตำแหน่งผู้นำทัพเดินหน้าทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ ชีผีถือโอกาสใช้ช่วงที่คนติดเปลือกแตงโมทำลายความมั่นคงของประเทศและยึดครองอำนาจไปเป็นของตนเอง ผู้นำประเทศในขณะนั้นยื่นข้อเสนอหลายต่อหลายอย่างต่อกัวผี และได้ตกลงเซ็นสนธิสัญญาที่โดนเอารัดเอาเปรียบ เนื้อหาในส่วนนี้จะมีอยู่ในข้อสอบร้อยเปอเซ็น เดี๋ยวอาจารย์จะเน้นส่วนสำคัญให้…”
เนื้อหาในสนธิสัญญาฉบับนี้ค่อนข้างที่จะที่จะธรรมดา และไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด อาจารย์คังจึงได้เอ่ยเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมาอีกครั้ง “มีใครรู้บ้างว่าผลของสงครามกัวผีครั้งที่สองออกมายังไง”
นักเรียนแถวหน้าของห้องต้องได้อ่านเนื้อหาล่วงหน้ามาบ้างแล้ว หลังจากอาจารย์คังถาม ทุกคนก็เห็นซุนหรงยกมือและยืนขึ้น ความสวยของเธอกลายเป็นที่จับจ้องของนักเรียนทั้งชายและหญิงภายในห้อง
“ในสงครามกัวผีครั้งที่สอง สามนายพลผู้ก่อตั้งประเทศ นายผลยิ นายพลชิ นายพลซุน ได้ร่วมมือกันยับยั้งและจับกุมชีผี นายพลหลินเผาเปลือกแตงโมทั้งหมดในเขตฮิวเมน นั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญทำให้กองทัพกัวผีล่มสลายลง รวมไปถึงหยุดระบบโครงสร้างพีระมิดที่กำลังเกาะกินระบบเศรษฐกิจของประเทศ มันแสดงให้เห็นว่าเหล่าผู้ฝึกตนก็ตระหนักและต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศในยามขับขัยเช่นกัน!”
“พูดได้ดีมาก!”
อาจารย์คังพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงหลี่ตาลงอีกครั้ง “แต่มีใครรู้บ้างว่าอะไรเกิดขึ้นกับกัวผีในท้ายที่สุด?”
ไม่มีใครในห้องพูดอะไรออกมา เนื่องจากจุดจบของชีผีไม่น่าจะมีอยู่ในข้อสอบ และไม่มีบันทึกอยู่ในหนังสือเรียน
หวังลิ่งพยายามนึกถึงประวัติศาสตร์ในส่วนนี้ เขาจำได้ว่าเคยอ่านมันมาก่อนซึ่งเขาก็พอจะจำได้ลางๆว่าเนื้อหาในส่วนของชีผีนั้นมีไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ถูกบันทึกไว้นั้นคือหลังจากจบสงครามกัวผีครั้งที่สอง ประเทศตัดสินใจที่จะปิดบังบางส่วนของประวัติศาสตร์ในส่วนนี้ และเรื่องของชีผีก็บังเอิญอยู่ในส่วนนั้นด้วย…
สายตาของทุกคนจ้องไปยังโต๊ะที่อาจารย์คังอยู่ ซึ่งอาจารย์คังก็เผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้น ทำให้นักเรียนทุกคนอยู่ในอาการตกใจ
สมกับที่เป็นอาจารย์คัง…
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าอาจารย์คังเรียนประวัติศาสตร์ในเชิงลึกแบบนี้มาจากไหน ในการที่จะรู้ประวัติศาสตร์มากมายขนาดนี้ ไม่มีใครเลยที่จะกล้าถาม
นั่นทำให้หวังลิ่งรู้สึกสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของอาจารย์คังมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในการที่รู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้และยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้…หวังลิ่งรู้สึกราวกับได้พบสิ่งมหัศจรรย์ที่มีชีวิต!
“ในตอนนั้น หลังจากสงครามกัวผีครั้งที่สองจบลง ชีผีได้ถูกตัดสินโทษให้ถูกประหารจากการก่อการร้ายและหลายต่อหลายคดี”
เมื่ออาจารย์คังเล่ามาจนถึงจุดนี้นักเรียนหลายคนต่างกลืนน้ำลายด้วยความกลัว
“แต่เท่านี้อาจารย์ทราบมา ก่อนที่จะมีการประหารชีผีพบว่าชีผีนั้นตั้งครรภ์…หลังจากนั้นมีการประชุมให้เลื่อนการประหารออกไป หัวหน้าสำนักการประหารแห่งชาติหัวหน้าโฮวคิดว่ายังไงเสียเด็กในครรภ์ของชีผีนั้นก็ไม่ได้มีความผิดตามมารดา เด็กก็สมควรจะได้รับสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ต่อ”
มีนักเรียนในห้องถามถึงบทสรุปของเรื่องราวขึ้น “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นหรอครับ?”
“หลังจากนั้นชีผีก็ยอมบอกถึงแหล่งกบดานของบรรดาอดีตผู้นำของกองทัพกัวผี ผู้ซึ่งเฝ้ารอการแก้แค้น ข่าวลือบอกว่าชีผีได้รับการลดหย่อนโทษจากโทษประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิตแทน แต่ท่ายที่สุดชีผีก็ปฏิเสธข้อเสนอเหล่านั้น”
“ทำไมหรอคะอาจารย์?”
“เป็นเพราะว่าชีผีต้องการต่อสู้เพื่อลูก ถ้าหากคนอื่นรู้เข้าว่าชีผีมีลูก ลูกของเธอต้องทนกับสายตาของคนอื่นไม่ไหว ก่อนการประหารจะเกิดขึ้น ชีผีกราบหัวหน้าโฮวถึงสามครั้งเพื่อขอให้เขาช่วยปิดบังตัวตนที่แท้จริงของลูกของเธอ”
“…” เมื่อนักเรียนทั้งห้องฟังมาจนถึงตรงนี้พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะพูด เพราะชีผีได้ขอให้ทางประเทศปิดบังข่าวนี้แล้ว แล้วทำไมอาจารย์ถึงยังรู้ได้?!
“จริงๆแล้ว ประวัติศาสตร์ในส่วนนี้ก็ไม่ได้เป็นความลับมากนัก เรื่องการก้มกราบของชีผีก็สามารถหาอ่านได้ในหนังสือประวัติศาสตร์ระดับมหาลัย และมันก็ไม่ได้ออกในข้อสอบด้วย ด้วยการที่พวกเธอเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์ก็อยากให้พวกเธอรู้เรื่องประวัติศาสตร์พวกนี้ไว้หน่อยก็ดี”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แสดงบนใบหน้าอ้วนๆของอาจารย์ “อาจารย์สงสัยว่า หลังจากที่พวกเธอได้ฟังเรื่องพวกนี้ไปแล้ว พวกเธอเรียนรู้อะไรบ้างจากมัน?”
เสี่ยวหัวเฉิงยกมือขึ้นด้วยความมั่นใจ “อาจารย์อยากจะบอกว่า…ความรักของแม่นั้นยิงใหญ่ในไหมครับ?”
“ก็ไม่เชิง”
อาจารย์ส่ายหัว “ที่อาจารย์อยากจะบอกก็คือจริงแล้วชีผีเป็นผู้ชาย แต่เนื่องด้วยสภาพร่างกายที่แปลกประหลาดจากคนปกติทำให้เขาเป็นกระเทย”
“…”
………………………….
หลังจากนั้น เมื่อวิชาประวัติศาสตร์จบลงอาจารย์คังก็เดินออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมกับเสียงพูดคุยดังสั่นภายในห้องเรียน
เมื่ออาจารย์คังเดินออกไปแล้ว ทั้งห้องก็เริ่มถกเถียงกันเกี่ยวกับเนื้อหาที่พวกเขาได้เรียนไป
เช็นเฉาพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “พวกเราจะจัดทริปไปเที่ยวลานประหารวิหารงูขาว(Leifeng Pagoda)นั่นไหม?”
หวังลิ่ง “…” ‘จะไปเยี่ยมนางพยางูขาวหรือยังไง?’
“ถ้าหากลูกของชีผียังมีชีวิตอยู่ คำนวณจากอายุแล้ว เขาหรือเธอคนนั้นก็น่าจะอยู่รุ่นเดียวกับปู่ของเราใช่ไหม?” ซุนหรงเอ่ยขึ้น
“ฉันไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอก! สิ่งที่ฉันอยากจะรู้ก็คือลูกของชีผีเป็นกระเทยเหมือนเขาหรือเปล่า!” หลินเสี่ยวหยูแสดงสีหน้าตื่นเต้นพร้อมกับพูดออกมา สมองสาววายคนนี้เต็มไปด้วยเรื่องกระเทย ชายรักชาย…มันทำให้หวังลิ่งรู้สึกกลัวเธอขึ้นมานิดนึง
กัวหาวยักไหล่ และแสดงความคิดเห็นของเขาออกมา “กระเทยหรือไม่ ปัจจุบันผู้คนก็ให้ความเท่าเทียมกับทุกเพศกันหมดแล้ว พวกนายรู้ไหมว่ามีเพศกี่ประเภทบนโลกนี้?”
กัวหาวหัวเราะ หึหึ ในลำคอและเขาก็กางนิ้วออกมาห้านิ้ว
“มันมีด้วยกันห้าประเภท ผู้ชาย ชายชอบชาย ผู้หญิง หญิงชอบหญิง และไบเซ็กชวล”
“…”
“ชิ ไม่ต้องมองเราด้วยสายตาแบบนั้นเลย! นี่เป็นความรู้นะ! เราเรียนรู้มันจากการศึกษานอกห้องเรียน” กัวหาวโบกมือ “พวกนายรู้จักปราสาทตระกูลโม่หรือเปล่า?”
หวังลิ่งชะงักไปครู่นึง ถ้าเขาจำไม่ผิดนั่นเป็นชื่อของติวเตอร์ที่หนึ่งซึ่งกำลังมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนี้
“นั่นเป็นสถานที่เราไปเรียนพิเศษมาเพิ่ม ถ้าหากนายจำและร้องเพลงประจำติวเตอร์ภายในวันเดียวได้นายจะได้ลดค่าเล่าเรียนลงครึ่งนึง!”
เมื่อพูดจบกัวหาวก็เคลียร์ลำคอเพื่อเตรียมที่จะร้องเพลง…
“นี่คือปราสาทตระกูลโม่ในตำนาน ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าของปราสาท เหล่าลูกหลานที่ได้รับการสั่งสอน จะสามารถนำพาโลกไปสู่ความสงบสุขได้…”
“…”
หลังจากได้ยินเพลงที่กัวหาวร้อง หวังลิ่งและคนอื่นๆรอบตัวกัวหาวก็พากันแยกย้ายไปทำธุระของตน
คอมเม้นต์