The Daily Life of the Immortal King – ตอนที่ 133
ตอนที่ 133 เสี่ยวหัวเฉิงในที่สุดก็โตขึ้นแล้ว!
เนื่องจากว่าสถานพยาบาลนั้นมีกำลังคนไม่พอสำหรับ การตรวจสภาพร่างกายก่อนเข้ารับการฝึกทหาร ลี่เหมงเหมงซึ่งกำลังหางานพิเศษทำอยู่ก็ถูกจ้างเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ (Part-Timer) และได้รับมอบหมายตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้เก็บข้อมูลเลือดและปัสสาวะ
แต่จากเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆที่ผ่านมานั้นไม่ค่อยน่ากลัวเท่ากับการตรวจร่างกายที่เป็นการตรวจ “ร่างกาย” จริงๆ
เมื่ออยู่เบื้องหน้าเครื่องสแกนด้วยเทคโนโลยีลำแสงไอออน เครื่องจักรตัวนี้สามารถ บอกได้ถึงมวลกระดูก ปัญหาเกี่ยวกับกระดูกของคนคนนั้นและการเจริญเติบโตของอวัยวะส่วนนั้นของเพศชาย…ซึ่งนี่แหละเป็นสิ่งที่เสียวหัวเฉิงกลัวที่สุด
ระหว่างการตรวจเลือด หวังลิ่งรู้สึกลำบากใจเมื่อพยาบาลสาวคนหนึ่งจับนิ้วของเขาขึ้นมาและเอาเข็มเจาะ แต่เข็มนั้นดันงอเสียเอง ซึ่งเข็มสำหรับการเจาะเลือดดังกล่าวถูกสร้างมาอย่างพิเศษเพื่อใช้เจาะผิวหนังของผู้ฝึกตน สำหรับนักเรียนซึ่งอยู่ระดับแรกเริ่มลมปราณนั้นผิวหนังสามารถถูกเข็มตัวนี้เจาะได้ง่ายๆ
พยาบาลสาวคนนั้นยังไม่เชื่อ เธอจึงนำเข็มอีกเล่มมาลองเจาะดูใหม่ แต่ผลสุดท้ายปลายเข็มทั้งสองก็งออยู่ในสภาพเดียวกัน…
ภายในใจของพยาบาลสาวนั้นกำลังด่าทอทางเบื้องบนว่า ทำไมถึงเอาเข็มที่ไม่ได้คุณภาพแบบนี้มาให้เธอใช้งาน เมื่อหวังลิ่งเห็นดังนั้นเขาจึงยกนิ้วขึ้นมาและกัดนิ้วของตัวเขาเอง
พยาบาลสาวมองภาพตรงหน้าด้วยความงุนงงแต่ก็รับเลือดนั้นมาตรวจ
หวังลิ่งสามารถผ่านการตรวจมาได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่การตรวจร่างการอย่างสุดท้ายนี่แหละที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของเขา
ก่อนการพัฒนาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกอยู่ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นจะต้องเป็นผู้ดำเนินการตรวจร่างกายของนักเรียน ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะมีความสามารถพิเศษในการมองทะลุสิ่งของได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือไม้บรรทัด พวกเขาก็สามารถบอกได้ว่าอวัยวะเพศชายนั้นเติบโตได้ถึงขั้นไหนแล้ว
แต่ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาศาตร์เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ กระบวนการก็ถูกพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าครั้งอดีต สำหรับปัจจุบันนั้นผู้เข้ารับการตรวจเพียงแค่ไปยืนเบื้องหน้าเจ้าเครื่องสแกนไอออนก็รู้ผล
เสี่ยวหัวเฉิงนั้นรู้สึกหวั่นวิตกจนจิตหลุดลอยไปแล้ว
เพราะว่าร่างกายของเขานั้นอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กเมื่อเทียบกับเด็กระดับแรกเริ่มลมปราณคนอื่นๆ และเจ้าน้องชายของเขานั้นก็ดูเหมือนจะเล็กกว่ามาตรฐาน และนั่นก็ทำให้เขาไม่กล้าที่จะไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับคนอื่นภายในโรงเรียน
และในทำนองเดียวกัน หวังลิ่งก็มีปัญหาแบบนี้เช่นกัน
แต่สำหรับหวังลิ่งนั้นอาจจะกลับข้างกันนิดหน่อย ที่เขาไม่อยากเข้าห้องน้ำพร้อมกับคนอื่นนั้นเป็นเพราะของเขามันใหญ่เกินไปต่างหาก…
เมื่อเช็นเฉาและกัวหาวเดินนำออกไป ทุกคนก็ลุกขึ้นยืนบนเครื่องสแกนไอออนกันทีละคนจนครบ ห่างออกไปประมาณห้าเมตร พยาบาลสาวสองคนกำลังมองไปยังหน้าจอด้วยใบหน้าที่หมดอาลัยตายอยาก ราวกับว่าพึ่งผ่านมรสุมชีวิตมา…
ไม่นานนักก็ถึงตาของเสี่ยวหัวเฉิง
เขายืนอยู่บนเครื่องสแกนและปิดตาลงด้วยความกลัว
ไม่นานนักลำแสงก็เริ่มฉายผ่านตัวเขาจากหัวจรดเท้า…
และในตอนนั้นเองหวังลิ่งผู้ซึ่งอยู่ข้างหลังเสี่ยวหัวเฉิงได้ใช้วิชาบางอย่าง
ในบรรดาวิชาสามพันวิชาขั้นสูงนั้น มันมีวิชาหนึ่งที่ชื่อว่า “วิชาผ่าตัดและปลูกถ่าย” ซึ่งสามารถปลูกถ่ายอวัยวะส่วนหนึ่งของตัวเองไปยังอีกคนนึงได้ ซึ่งการที่จะทำให้เขาไม่เป็นจุดเด่นจนเกินไป เขาคิดว่าเขาควรจะขอความร่วมมือกับเสี่ยวหัวเฉิงสักหน่อย…แต่เมื่อเขาใช้วิชานี้ไปแล้วและต่อให้เขายกเลิกมัน เขาก็ไม่สามารถที่จะนำมันกลับมาได้หมด…
ก่อนที่ลำเสียงจะลากผ่านครึ่งตัวบนของเสี่ยวหัวเฉิง
นักเรียนชายทุกคนเห็นพยาบาลสาวที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ยกมือขึ้นมาปิดปาก สีหน้าตกใจราวกับเจอสัตว์ประหลาด
‘นั่นมันอะไรกัน…ทำไมมันถึงใหญ่แบบนี้!’
‘ทำไมเด็กผู้ชายร่างเล็กแบบนี้ถึงมีอวัยวะที่ใหญ่และแข็งแรงแบบนี้ได้กัน?!’
เสี่ยวหัวเฉิงค่อยลืมตาขึ้นมาเมื่อเขารู้สึกถึงรังสีอะไรบางอย่าง
พยาบาลสาวทั้งสองนั้นกำลังจ้องมองเขาอยู่ด้วยรังสีหิวกระหายผ่านทางสายตา มันทำให้เขาทำตัวไม่ถูก
ยี่สิบนาทีหลังจากนั้น เมื่อทุกคนเสร็จสิ้นการตรวจร่างกายแล้ว
คอมพิวเตอร์ก็ได้ประมวลผลและส่งรายงานการตรวจร่างกายไปให้นักเรียนแต่ละคนผ่านทางอีเมล
เมื่อเสี่ยวหัวเฉิงเห็นรายงานของเขาหลังจากเลิกเรียน เขารู้สึกตกใจกับผลของการตรวจร่างกาย!
‘สะสะ…สามสิบเจ็ดเซนติเมตร? อะไรกัน…นี่มันเกินค่ามาตรฐานของฝรั่งเลยนะ?! นี่มันยาวพอๆกับหางลาเลย? ทำไมของเขามันถึงใหญ่ได้ขนาดนี้?’
‘มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ’ เมื่อคิดได้ดังนั้นเสี่ยวหัวเฉิงก็จับกางเกงของเขาและถกลงและ…
แม้ว่ามันจะไม่ได้เวอร์ถึงขั้นสามสิบเจ็ดเซนติเมตรอย่างในรายงาน แต่เจ้าน้องชายของเขาก็ผ่านมาตรฐานและดูเหมือนจะเกินมาตรฐานไปเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ
‘มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง?’
เสี่ยวหัวเฉิงยืนขึ้นด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกหนักตรงระหว่างขาของเขา น้ำตาของลูกผู้ชายรินไหลด้วยความดีใจ ‘ในที่สุดคำขอของเขาก็เป็นจริง ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณพระเจ้า!’ [มาขอบคุณตูนี่…หวังลิ่งไม่ได้กล่าวไว้ ผู้แปล]
……………………………
เมื่อหวังลิ่งกลับถึงบ้าน ห้องครัวกลับว่างเปล่า ปู่และแม่ของเขาไม่อยู่ เหลือแค่เพียงพ่อของเขาและสองสีอยู่ในบ้าน
หลังจากเกิดเหตุการณ์โดนลวนลาม เป็นครั้งแรกที่แม่ของเขาได้ถูกสัมภาษณ์จากสำนักข่าวดังหลายสำนัก เพื่อที่จะทำข่าวหัวข้อนี้
ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ของเขา ทั้งสองคนก็ไม่สามารถทนอยู่กับเรื่องวุ่นวายแบบนี้ได้ สุดท้ายพ่อของหวังลิ่งจึงตัดสินใจส่งภรรยาและพ่อของตนเองไปเที่ยวพักผ่อนเพื่อหลีกหนีเรื่องวุ่นวาย พวกเขาไม่แม้แต่กระทั่งเก็บกระเป๋าเพราะหวังว่าจะไปซื้อเอาระหว่างทาง
มันเป็นครั้งแรกที่หวังลิ่งรู้สึกว่าพ่อของเขานั้นใจดีขนาดนี้…
แน่นอนว่าเป็นธรรมชาติของผู้ชายที่รักคนที่เขารักและแคร์ความรู้สึกมากที่สุด
แต่เมื่อภรรยาและพ่อของเขาออกเดินทางไป เขาก็พบปัญหาใหญ่…นั่นก็คือการทำอาหารค่ำ
ตามหลักแล้วหวังลิ่งนั้นไม่จำเป็นต้องกินอะไรเลย เนื่องจากร่างกายของเขาสามารถดูดซึมพลังธรรมชาติมาใช้งานทดแทนได้ แต่หลังจากที่การกินอาหารได้กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวัน ทำให้เมื่อเขาไม่ได้รับประทานอาหารมันทำให้เขารู้สึกโหวงเหวง
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งอาหารให้มาส่ง เนื่องจากว่าบ้านครอบครัวหวังนั้นอยู่นอกตัวเมืองจึงอยู่นอกเขตบริการ ทางเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือพวกเขา (พ่อหวังลิ่ง ตัวหวังลิ่ง และสองสี) จะต้องออกไปหาอาหารมื้อค่ำกินกันเอง
พ่อของหวังลิ่งนั้นได้ลองค้นหาร้านอาหารที่ใกล้ที่สุดในย่านนี้ ซึ่งห่างออกไปประมาณแปดร้อยกิโลเมตร มีร้านอาหารแห่งหนึ่งชื่อว่า “ห้องอาหารยามเที่ยงคืน”…
พ่อของหวังลิ่งขมวดคิ้วพลางจดชื่อร้านนี้ไว้ เพราะร้านแห่งนี้มีคะแนนรีวิวแค่เพียง 2.6 ดาว จาก 10 ดาว!
และเมื่อพวกเขาลองดูเมนูอาหารของที่ร้านแห่งนั้น ทั้งพ่อและลูกชายก็นั่งนิ่งไม่แสดงความคิดเห็นใดๆออกมา…
“เลาตั๋นบะหมี่เนื้อกระหล่ำปลีดองชามเล็ก”
“เลาตั๋นบะหมี่เนื้อกระหล่ำปลีดองชามกลาง”
“เลาตั๋นบะหมี่เนื้อกระหล่ำปลีดดองชาวใหญ่”
และ…
ไม่มีเมนูอื่นอีกแล้ว…
คอมเม้นต์