เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) – ตอนที่ 430 ผมคือลูกพี่ในวงการบันเทิง!
ตอนที่ 430 ผมคือลูกพี่ในวงการบันเทิง!
ขณะที่พูดนั้น ก็มีชายในชุดขาวเดินเข้ามา ในมือถือเค้กวันเกิดเอาไว้ก้อนหนึ่ง
“ใครคือคุณสวี่ครับ?”
เด็กหนุ่มถาม
สวี่เจี๋ยตอบ “ฉันเอง”
เด็กหนุ่มส่งเค้กในมือให้สวี่เจี๋ย “คุณสวี่ครับ นี่คือเค้กวันเกิดจากที่คุณจองมาจากร้านเราครับ”
สวี่เจี๋ยถึงได้เชื่อว่าเค้กหรูหราที่สูง 1.5 เมตรนี้สามีของซูมู่ชิงเป็นคนสั่งมาจริงๆ!
อีกทั้งเค้กที่ตนเองสั่งนั้น คิดไม่ถึงว่าจะสูงไม่ถึง 1 ใน 5 ของเค้กอีกฝ่ายด้วยซ้ำไป!
สีหน้าสวี่เจี๋ยดูดำคล้ำไปทันที เค้กที่เขาซื้อมานั้นโดนเปรียบเทียบกับของเย่เฉินอย่างจริงจังเสียแล้ว
ส่วนเย่เฉินเองก็ไม่ได้ทำให้สวี่เจี๋ยเสียหน้า ต้องเรียกว่าเขาแทบไม่ได้สนใจเพื่อนกลุ่มนี้ของหญิงสาวด้วยซ้ำไป
ทว่าซูมู่ชิงยอมมางานเลี้ยงสังสรรค์ครั้งนี้ย่อมแปลว่าหล่อนกับเพื่อนกลุ่มนี้น่าจะสนิทกันในระดับหนึ่งทีเดียว
ไม่อย่างนั้นด้วยพื้นฐานครอบครัวของซูมู่ชิงแล้วจะมาร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ไปทำไมล่ะ?
งานเลี้ยงรุ่นในตอนนี้แทบไม่ได้มีอะไร ล้วนแต่เป็นการจัดงานรวมตัวของเพื่อนๆ เท่านั้นเอง
เป้าหมายในการรวมตัวกันนั้นก็เพื่อจะโอ้อวดกัน สองก็คือจะดูว่าทุกคนทำงานที่ไหน แล้วเผื่อว่ามีอะไรตรงไหนช่วยเหลือกันได้จะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เย่เฉินไม่อยากจะรบกวนการสังสรรค์ของหญิงสาว เขามาที่นี่เพียงเพื่อแค่เซอร์ไพรส์ภรรยาตนเองเท่านั้น
ในเมื่อเซอร์ไพรส์ภรรยาเสร็จแล้วเย่เฉินจึงกล่าวว่า “ที่รัก คุณกินข้าวกับเพื่อนคุณต่อเถอะครับ ผมขอตัวก่อนนะ”
เย่เฉินเองไม่อยู่ต่อ เพราะเขาคิดว่างานเลี้ยงรวมรุ่นถือเป็นพื้นที่ส่วนตัวของภรรยา อีกทั้งที่นี่ก็มีเพื่อนผู้ชายจำนวนไม่น้อย
ถ้าเขาอยู่ต่อ ก็จะเหมือนว่าเขาไม่เชื่อใจภรรยา เหมือนอยากอยู่ต่อเพื่อเฝ้าหล่อน
เย่เฉินไม่อยากให้ซูมู่ชิงคิดแบบนี้ เขาอยากบอกหล่อนว่าตนเองไว้ใจหล่อนอย่างที่สุด
แต่ว่าในตอนที่เย่เฉิกำลังจะกลับนั้นเอง สวี่เจี๋ยกลับกล่าวว่า
“ในเมื่อสามีของซูมู่ชิงก็มาที่ร้าน งั้นคุณก็นั่งกินข้าวด้วยกันเถอะ ไม่ต้องกลับหรอก”
เพื่อนผู้หญิงต่างก็รั้งเขาเอาไว้
“นั่นสิ มากินข้าวด้วยกันเถอะ อย่างไรเสียพวกเราก็มีกันไม่มาก ยังมีที่นั่งว่างตั้งหลายที่”
เย่เฉินหันมองซูมู่ชิง เพื่อขอความเห็นของหญิงสาว เมื่อเห็นหล่อนไม่คัดค้าน เขาจึงกล่าว
“ก็ได้ งั้นผมขอช่วยดื่มแทนภรรยาผมแล้วกันนะครับ”
ซูมู่ชิงยิ้มแย้มแล้วพวกเขาก็เดินกลับมานั่งประจำที่
สวี่เจี๋ยนั่งอยู่ตรงกลาง นั่งวางท่าเสียใหญ่โต
หลังจากนั่งลงซูมู่ชิงก็แนะนำสามีให้กับเพื่อนๆ ทีละคน ตอนแนะนำสวี่เจี๋ยนั้น หล่อนยังตั้งใจแนะนำว่าเขาเป็นหัวหน้าห้องรวมไปถึงที่ทำงานและยศของพ่อแม่เขา
เย่เฉินพอจะมองออกว่าชายคนนี้น่าจะเป็นคนที่ได้ดิบได้ดีที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ และน่าจะเป็นคนชอบวางท่าที่สุด
หลังจากแนะนำกันเสร็จแล้ว จู่ๆ สวี่เจี๋ยก็โพล่งถามเย่เฉิน “นี่นายทำงานที่ไหน?”
เพื่อนผู้ชายกล่าวแล้วหัวเราะ “หัวหน้าห้อง นายก็อย่าซ้ำแผลเดิมของเขาเลย เมื่อกี้ซูมู่ชิงก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าสามีของหล่อนไม่ได้ทำงานอะไรน่ะ”
สีหน้าซูมู่ชิงเก้อเขินแล้วเล่นตัวเองก่อน “นั่นสิ ฉันกับสามีไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกันไม่เหมือนพวกเธอหรอก ที่ทำงานกันตามที่ใหญ่ๆ โตๆ สุดยอดไปเลย”
สวี่เจี๋ยวางตะเกียบลงพลางกล่าว “ซูมู่ชิงเธอพูดไม่ถูกนะ เธอกับสามีของเธอไม่เหมือนกันสักหน่อย คนทั้งเมืองหลวงใครไม่รู้บ้างล่ะว่าแค่เธออยากทำงาน ไม่ว่าจะที่ไหน ตำแหน่งไหน เธอแค่บอกก็ได้เข้าแล้ว แต่สามีของหล่อนเหมือนว่า…แต่ไม่เป็นไรนะ เย่เฉิน ฉันว่านายเล่นเปียโนเก่งดี ร้องเพลงก็เพราะใช้ได้ ฉันแนะนำร้านเหล้าในรับนายเป็นนักร้องเอาไหม? คืนละ 500 หยวน ร้องเพลงไม่กี่เพลง เริ่มงานตอนสองทุ่มถึงห้าทุ่มไม่เหนื่อยหรอก”
เพื่อนผู้ชายก็หัวเราะ “ใช้ได้เลยนะ ทำงานวันละแค่ 3 ชั่วโมง ได้เงินเดือนละหมื่นห้า ใช้ได้เลยนี่นา”
สวี่เจี๋ยกลาวพลางหัวเราะ “ช่วยเพื่อนน่ะ”
เย่เฉินพอจะฟังออกว่าสวี่เจี๋ยคนนี้จงใจทำให้เขาเสียหน้า
อย่าว่าแต่เย่เฉินไม่อยากไปทำงาน ต่อให้หางานไม่ได้ เขาแต่งเข้าตระกูลซู ทำไมตระกูลซูจะให้เงินเขาเดือนละหมื่นห้าไม่ได้เชียวหรือไง?
สวี่เจี๋ยกล่าว “เราต่างก็รู้ว่าตระกูลซูร่ำรวย เงินแค่เดือนละหมื่นห้าพวกเขาคงไม่เดือดร้อน แต่นายเป็นผู้ชาย ฉันก็ยังคิดว่านายน่าจะออกไปทำงาน ผู้ชายอกสามศอกน่ะจะใช้เงินผู้หญิงได้ยังไง? จริงไหม?”
ผู้ชายอีกคนก็กล่าวขึ้นมา “นี่นาย ถึงนายจะแต่งเข้าตระกูลซู แต่เราก็เป็นเพื่อนกับซูมู่ชิงมานาน เราไม่มีทางดูถูกนายหรอก นายมีเรื่องอะไรลำบากก็บอกเราตรงๆ ได้เลย”
“ไอ้พวกจอมปลอม…”
เย่เฉินไม่พอใจ เพื่อนผู้หญิงของซูมู่ชิงยังดีหน่อย แต่พวกผู้ชายที่ดูเผินๆ เหมือนว่าหวังดีกับเขา แต่ที่จริงแล้วกำลังดูถูกเขา
เอาแต่พูดเรื่องเย่เฉินไม่มีงานทำ และเป็นเขยแต่งเข้า
หากว่าเป็นที่อื่น คนพวกนี้น่าจะโดนพวกซีกวาไล่ตะเพิดไปนานแล้ว
ทว่าวันนี้เป็นวันเกิดภรรยาของตนเอง แถมยังเป็นงานเลี้ยงรุ่นของหล่อน เย่เฉินจึงไม่อยากจะทำงานล่ม
บวกกับที่เขานึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตนเองมีเรื่องสำคัญอย่างการผ่านด่านธุรกิจ!
ใช่แล้ว เขาต้องการจะยืนหยัดในวงการธุรกิจของประเทศนี้ และสายงานที่เขาเลือกก็คือวงการบันเทิง!
ดังนั้นเย่เฉินจึงหันมองพวกสวี่เจี๋ยแล้วกล่าว “ขอบคุณในความหวังดีของทุกคนนะครับ แต่ที่จริงแล้วผมมีงานการที่เป็นหลักแหล่ง”
“อะไรนะ?” สวี่เจี๋ยหลุดหัวเราะ “มีงานทำเหรอ? รบกวนบอกหน่อยสิว่างานอะไร?”
ซูมู่ชิงคว้ามือเย่เฉินที่อยู่ใต้โต๊ะมากุมเอาไว้ แล้วส่ายหน้ากับเขา
ซูมู่ชิงคิดว่าเย่เฉินคงจะต้องพูดว่างานของเขาก็คือรปภ.ของห้างสรรพสินค้า, พนักงานส่งพัสดุหรือพนักงานส่งอาหารเดลิเวอรี่อะไรพวกนี้แน่
ที่บ้านเย่เฉินมีฐานะ อีกทั้งยังคิดว่างการงานไม่ได้มีสูงหรือต่ำ ยอมรับไปก็ไม่เป็นอะไร
แต่ว่าซูมู่ชิงเองไม่อยากให้เย่เฉินบอกเพื่อนของหล่อนว่าสามีของตนเองทำงานระดับล่างอย่างรปภ.
เพื่อนนักเรียนพวกนี้เห็นหล่อนเป็นเหมือนนางฟ้าที่แสนสูงส่ง ทันทีที่รู้ว่าซูมู่ชิงแต่งงานกับผู้ชายที่ดด้อยกว่าพวกเขา พวกเขาต้องรับไม่ได้แน่นอน
“อย่าเลยค่ะ…”
ซูมู่ชิงมองเย่เฉิน
เย่เฉินพอจะมองออกว่าที่ซูมู่ชิงห้ามเขานั่นเพราะอะไร
“ฮ่าๆ ที่รัก คุณคิดว่าผมจะจะบอกเรื่องที่ผมทำงานเป็นยามเป็นเด็กส่งของเหรอ? คุณสบายใจเถอะ สามีของคุณน่ะไม่ทำให้คุณขายหน้าต่อหน้าเพื่อนๆ แน่นอน!”
แล้วเย่เฉินก็กล่าวกับทุกคน “ผมทำงานบริษัทผลิตภาพยนตร์”
พวกเขาตกตะลึงกันทันที
“นายเป็นเจ้าของบริษัทผลิตภาพยนตร์เหรอ?”
“สุดยอด ก็ว่าทำไมนายเก่งจัง ที่แท้ก็เป็นเจ้าของบริษัทอะไรพวกนี้นี่เอง!”
เมื่อได้ยินสาวๆ ชมเชยเย่เฉิน สวี่เจี๋ยก็ไม่พอใจทันที เขาไม่เชื่อว่าเย่เฉินพูดเรื่องจริง!
เพราะเขาสังเกตเห็นร่องรอยตกใจบนใบหน้าซูมู่ชิง
เย่เฉินกำลังโกหก กำลังขี้โม้!
สวี่เจี๋ยจึงถาม “นี่นายในเมื่อนายเป็นเจ้าของบริษัทผลิตภาพยนตร์ เป็นลูกพี่ในวงการบันเทิง งั้นดาราในสังกัดนายคงจะมีเยอะล่ะสิ”
เย่เฉินพยักหน้ารับ “อื้ม ก็ไม่น้อยแล้วกัน”
สวี่เจี๋ยหัวเราะแล้วถาม “มีใครบ้างเหรอ?”
เย่เฉินครุ่นคิดแล้วตอบ “วังเหม่ยฉี!”
คอมเม้นต์