การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 41

อ่านนิยายจีนเรื่อง การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] ตอนที่ 41 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ ๔๑

 

“อาเผย เจ้าไม่อาจเผยเจตนาของเจ้าได้นะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะสูญเสียบทบาทสุดท้ายของตระกูลไป ท่านพ่อเจ้าอาจขอให้เจ้าแต่งงานในทันที หากเจ้าทำตัวอย่างซูเอ้อร์หยาขณะที่อยู่ข้างนอกได้ตลอดเวลา ก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับงานแต่งงานของเจ้าแล้วล่ะ”

 

สิ่งที่มารดาของตนเอ่ยเตือนดังก้องในหูของซูจื่อเผย ความสงบมีเหตุผลจึงได้กลับมา

 

ในตอนนี้บิดาของนางก็กล่าวขึ้น “จื่อเผย เจ้าทำเรื่องผิดพลาดมามากในคราวก่อน แต่ข้าไม่กล่าวโทษเจ้าหรอก เจ้าต้องทำตัวดี ๆ ต่อหน้าตระกูลจูกับตระกูลหยางในครั้งนี้นะ อย่าทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงครอบครัวตระกูลซูของเราเชียว”

 

เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนจากบิดา ซูจื่อเผยก็รู้สึกดีขึ้นและพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะระวังตัวไว้”

 

เห็นบุตรสาวเชื่อฟังว่าง่าย ซูฮ่วนหลี่ก็มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น เด็ก ๆ จะเติบโตขึ้นในไม่เร็วก็ช้า หลังประสบเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ในที่สุดจื่อเผยก็รู้ว่าควรจะดูแลครอบครัวของนางอย่างไรแล้ว

 

พี่สาวสองของเจ้าฉลาดและเป็นอัจฉริยชนที่หายาก นางจะต้องเป็นแม่ครัวหญิงประจำวังที่มีชื่อเสียงแน่ เจ้าเทียบกับนางไม่ได้หรอก เมืองต้าซูตอนนี้ไม่ปลอดภัยแล้ว เจ้าต้องปกป้องพี่สาวสองของเจ้าจากอันตราย พวกเจ้าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน พี่สาวสองของเจ้าจะจดจำความเมตตาของเจ้าไว้ และดูเหมือนว่าเจ้าก็จะได้กลายเป็นภรรยาขุนนางคนหนึ่งเลยทีเดียว”

 

ซูฮ่วนหลี่ไม่ได้เห็นว่านางกำลังก้มหน้าด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว

 

ข้าเป็นแค่ตัวแทนของซูเอ้อร์หยางั้นหรือ?

 

ท่านล้อข้าเล่นงั้นหรือ?

 

เราเป็นพี่น้องท้องเดียวกันงั้นหรือ?

 

นางเป็นนังสารเลวที่ท่านแม่ข้าเก็บมาเลี้ยงต่างหาก!

 

ทำไมนางถึงได้อยู่สูงกว่าข้า? ทำไมข้าถึงเทียบนางไม่ได้?

 

ข้าเองก็เป็นคนนะ!

 

ซูจื่อเผยพูดความลับต่าง ๆ ที่วิ่งวนอยู่ในใจ แต่ก็ถูกบิดานางขัดไว้ก่อน

 

“จื่อเผย เจ้าตามข้าทันไหม?”

 

เสียงบิดานางฟังดูกรรโชกเล็กน้อยและสูงขึ้น ซูจื่อเผยถึงกับเหงื่อแตกและเอ่ยเบา ๆ “เจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าทราบแล้ว”

 

“อา งั้นก็ดี”

ซูฮ่วนหลี่หยุดอาการจริงจังและให้เงินรางวัลเพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจ มันไม่ไกลจากตึกไป๋เว่ยนักที่เขาจะเจรจากับตระกูลจูและตระกูลหยาง

 

ในวันนี้ตลาดทั้งเมืองต้าซูก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมจากตึกไป๋เว่ย ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าที่ตึกไป๋เว่ยปิดตัวไปเพราะต้องการศึกษาอาหารชั้นเลิศจานหนึ่งของตึกไป๋เว่ยและมันก็จะเปิดทำการอีกครั้งพร้อมกับอาหารชนิดใหม่!

 

ในตอนกลางวัน จูหรงคุนกับหยางลี่ได้ชกต่อยกันจนฟกช้ำดำเขียว ผู้คนต่างสงสัยว่าเหตุใดนายท่านทั้งสองจึงต่อสู้กัน แล้วก็พบว่าพวกเขาต่อสู้กันเพราะเรื่องของอาหาร!

 

ซูจื่อเผยเหน็ดเหนื่อยอย่างมากจนนอนสลบกับพื้น นางเห็นกล่องบุบบู้บี้และบนพื้นก็เต็มไปด้วยโคลนเหลืองแห้งกรังร่วงกระจัดกระจาย กลิ่นหอมเย้ายวนยังติดอยู่บนนั้น ทำให้ผู้คนต่างน้ำลายไหล

 

“กลิ่นหอมที่ข้าได้กลิ่นในวันนั้นมาจากอาหารจานใหม่ที่พี่สาวสองทำนี่เอง”

 

วันนี้การแสดงฝีมือของนางช่างย่ำแย่อย่างยิ่ง นางเกือบจะไม่มีแววของการเป็นอัจฉริยะเลย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าไก่ขอทานแล้วก็ไม่มีใครสนใจนาง นายท่านทั้งสองต่างต่อสู้แย่งชิงอาหารกันเหมือนกับอันธพาล ไม่มีใครจดจำซูจื่อเผยที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงมุมโต๊ะเลย!

 

“ยืนขึ้นเร็ว! ถ้าเจ้าแสดงฝีมือได้ไม่ดีเหมือนอย่างวันนี้ในภายหน้าอีกล่ะก็ เจ้าจะปกป้องพี่สาวสองของเจ้าได้อย่างไร!”

 

ซูฮ่วนหลี่ตำหนิบุตรสาวของเขาอย่างจริงจังแต่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม แม้จะไม่มีใครพูดถึงผลกำไรในกระบวนการทั้งหมด แต่เจ้าของผลกำไรร้อยละสิบที่เหลืออยู่ก็ถูกระบุตัวชัดเจนแล้ว

 

ซูจื่อเผยยืนขึ้นเงียบ ๆ และดูหม่นหมองราวกับไม้ท่อนหนึ่ง นางตามบิดากลับบ้าน ตลอดทางที่กลับบ้านนางไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลย หลังกลับเข้าห้องตรงสุดเรือนตะวันตกได้ นางก็ปล่อยโฮออกมาต่อหน้าแม่ของนาง

 

จูเหยียนกอดบุตรสาวไว้เป็นการปลอบโยน หลังจากนั้นครู่ใหญ่จื่อเผยก็อธิบายกระท่อนกระแท่นว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“ซูฮ่วนหลี่ ท่านใช้บุตรสาวของข้าเป็นเกราะกำบังเรอะ!!”

 

จูเหยียนขบฟันพร้อมกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป หัวใจ ม้าม ปอดของนางกำลังพันกันจนเจ็บหน่วงไปหมด นางทราบมาลาง ๆ แล้วแต่ก็ไม่คิดว่าสามีของนางจะเอ่ยเช่นนั้นกับบุตรีตรง ๆ จื่อเผยเป็นคนหยิ่งทระนง นางจะรับความทรมานแบบนี้ได้อย่างไร?

 

“จื่อเผย ไม่ต้องร้องไห้!

 

จูเหยียนยึดไหล่อ่อนปวกเปียกของจื่อเผยไว้และรู้สึกโมโหขึ้นมา “อย่าลืมว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะบินได้สูง แม่ครัวไม่ใช่ตำแหน่งอะไรเลยนอกจากเป็นเครื่องมือ! เมื่อใดที่เจ้ากลายเป็นองค์หญิงหรือฮูหยินของนายพล นางก็จะเป็นแค่คนครัวที่ทำอาหารให้เจ้าเท่านั้น!”

 

การปลอบของจูเหยียนได้ผลชะงัดนัก ซูจื่อเผยค่อย ๆ หยุดร้องไห้และเอ่ยถาม “ท่านแม่…ตอนนี้ข้าควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”

 

“การไม่อาจทนต่อเรื่องเล็กน้อยจะทำลายแผนการใหญ่ ระหว่างนี้เจ้าต้องอดทนไว้นะจนกว่าข้าจะหาเจ้าของจี้หยกเจอ จากนั้นข่าวดีก็จะมาหาเรา”

 

ดวงตาของจูเหยียนเป็นประกาย “เจ้าจะต้องทำตามคำสั่งของท่านพ่อเจ้าอย่างต่อเนื่อง มีเพียงวิธีนี้ที่จะเลื่อนการแต่งงานของเจ้าออกไปได้! อีกอย่างหนึ่งเจ้าต้องเกี่ยวข้องกับกิจการของตึกไป๋เว่ย ซึ่งเป็นบททดสอบสำหรับเจ้า ดอกไม้ในเรือนกระจกเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ความขัดแย้งด้านความร่ำรวยและอำนาจของตระกูลใหญ่เป็นเรื่องสำคัญกว่า นับจากบัดนี้เป็นต้นไปข้าจะฝึกให้เจ้ารับมือกับเรื่องพวกนี้นะ”

 

“ก็ได้! ข้าจะเชื่อฟังท่านเจ้าค่ะ” ซูจื่อเผยมีความหวังในใจขึ้นมาจนหัวเราะคิกคัก

 

ซูเอ้อร์หยา แม้ว่าเจ้าจะมีพื้นหลังและพรสวรรค์ไม่ธรรมดา แต่ผู้ชนะจะเป็นข้าในท้ายที่สุด เจ้าเหมือนกบในก้นบ่อที่ไม่อาจกระโดดออกมาได้อีกนาน!

 

ในตอนนั้นซูเอ้อร์หยายังไม่รู้ความลับของจี้หยก นางกำลังรินชาให้กับอาจารย์ที่เพิ่งกลับมาจากด้านนอกอย่างน่าเอ็นดูในห้องเรียน

 

“เอ้อร์หยา พรสวรรค์ด้านการปรุงอาหารของเจ้าอยู่เหนือจินตนาการของข้าจริง ๆ”

 

ทันทีที่ฉีเซี่ยนชิงกลับมายังเมืองต้าซู เขาก็ได้รับรู้ข่าวนี้ เขาดูจริงจังมากขึ้นและเอ่ยเตือน “แต่…ฐานะคนครัวมักถูกมองว่าเป็นการลดตัวและดูธรรมดา จำไว้ว่าเจ้าไม่ควรทิ้งเรื่องใหญ่เพื่อผลกำไรน้อยนิด และอย่าเลื่อนการฝึกของเจ้าออกไป มีเพียงตอนที่เจ้าฝึกในระดับสูงแล้วเท่านั้นถึงจะยกระดับตัวเองขึ้นเหนือจากโลกและกำหนดชะตาชีวิตของเจ้าได้ เจ้าจะทำได้แม้กระทั่งมองลงมาหาจักรพรรดิของประเทศนี้”

 

“แต่อาจารย์เจ้าคะ ในตำรามักบอกว่าบุคคลในเจียงหูไม่อาจเทียบได้กับคนในวังหลวง ข้าจะอยู่เหนือโลกได้อย่างไรหรือเจ้าคะ?” ซูเอ้อร์หยาถามคำถามอย่างไม่ตั้งใจ

 

ฉีเซี่ยนชิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ตำราที่เจ้าอ่านทั้งหมดล้วนอยู่ในความควบคุมของวังหลวง พวกเขาจะเอ่ยเรื่องไม่ดีของตัวเองได้อย่างไรล่ะ? ประเทศหนึ่งช่างกว้างใหญ่ไพศาล และคนทั่วไปก็ไม่อาจสร้างความอับอายได้ แต่บรรดาคนที่ฝึกวิชาอยู่ในระดับสูงเหนือคนส่วนใหญ่จะไม่ถูกวังหลวงห้าม กลับกันวังหลวงกลายเป็นฝ่ายหวาดกลัวพวกเขาแทน เจ้าเดาเหตุผลนี้ออกไหม?”

 

ซูเอ้อร์หยาเบิกตาใสกระจ่างและรีบเอ่ยตอบ “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ในตำราบอกว่าไม่มีอะไรจะต้องเสียก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว ข้าราชการในวังหลวงหวาดกลัวที่จะทำเรื่องผิดมากมาย แต่คนในเจียงหูไม่มีที่อาศัยเป็นหลักแหล่งและแทบจะไม่มีความอ่อนแอเลย”

 

ฉีเซียนชิงพลันอึ้งไป เขาไม่คิดว่าซูเอ้อร์หยาจะฉลาดล้ำลึกขนาดนี้แม้ว่านางจะไม่เคยออกไปเลย

 

“เจ้าช่างฉลาดนัก เจ้าควรจะเป็นบุคคลของโลกมากกว่า คนธรรมดามักถูกคนอื่นจำกัดควบคุมไว้ มีเพียงคนอย่างข้าที่สามารถมีความเป็นอยู่อย่างอิสระได้

 

ซูเอ้อร์หยาเงียบไปครู่หนึ่งและพลันเอ่ยถาม “ท่านได้ฝึกวิชามารหรือเปล่าเจ้าคะ?”

 

เมื่อฉีเซี่ยนชิงหลับตาปรือลง ซูเอ้อร์หยาก็กล่าวขึ้น “จากวรยุทธ์วิปัสสนาหุบผาภูติ คนที่ฝึกจะต้องละทิ้งอารมณ์เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการ หากพวกเขาทำได้ เราก็จะเรียกพวกเขาว่าเป็นมาร แต่ข้ายังมีบิดามารดาและพี่ชายของข้า ข้าจะละทิ้งอารมณ์ได้อย่างไรเจ้าคะ?”

 

ซูเอ้อร์หยาไม่ได้รับคำตอบจากอาจารย์ของนางเป็นเวลานาน

 

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ฉีเซี่ยนชิงก็ยิ้มเศร้าและไม่พูดอะไร เขาลืมไปว่าเอ้อร์หยาเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสี่ปีเท่านั้น นางเพิ่งเข้าสู่สังคมมนุษย์ นางจะละทิ้งทุกสิ่งได้เหมือนอาจารย์ของนางที่ใกล้จะเข้าโลงในทุกขณะได้อย่างไร

 

“เส้นทางชีวิตของเราแตกต่างกันไปด้วยประสบการณ์…”

 

ฉีเซียนชิงเอ่ยคำศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาในตอนนี้ หากเขาบรรลุอุปสรรคขั้นที่หกของวรยุทธ์วิปัสสนาหุบผาภูติได้ เขาก็จะบรรลุมันในทันทีและต่อชีวิตไปได้อีกหลายสิบปี

 

แต่โชคร้ายที่เขาไม่สามารถผ่านได้

 

ช่างเถอะ เขาชี้นำให้ซูเอ้อร์หยาเข้าสู่ประตูแห่งเสวียนกงและจะปูเส้นทางที่ดีกว่าให้นางอย่างดีที่สุด มันขึ้นอยู่กับซูเอ้อร์หยาแล้วว่านางจะฝึกหลังจากนั้นอย่างไรบ้าง

 

คิดดังนี้แล้วฉีเซี่ยนชิงก็หยิบสมุดน้อยเหลืองกรอบที่มีชื่อว่าไม่มีอะไรประหลาดออกจากอ้อมแขน เมื่อซูเอ้อร์หยาเห็นมันก็ตกใจไป นางไม่คิดเลยว่าชายแก่จะมีทักษะการปลอมตัวในระดับสูงซึ่งเกือบจะเท่ากับระดับที่นางในชาติที่แล้วฝึกมา

 

ฉีเซี่ยนชิงหยิบสมุดน้อยวางบนโต๊ะและอธิบายอย่างละเอียด “ในเจียงหูมีทักษะการปลอมตัวทั้งที่ดีและไม่ดี การใช้สมุนไพรในการเปลี่ยนอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้าถือเป็นวิธีต่ำต้อยที่สุด ด้วยข้อด้อยหลายจุดทำให้คนอื่นสามารถจับสังเกตวิธีนี้ได้ง่าย การใช้สมุนไพรทำยาปลอมตัวเป็นทักษะระดับกลาง มันเป็นวิธีที่ผู้ฝึกกำลังภายในคนอื่นไม่สามารถจับสังเกตได้ง่าย ๆ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด”

 

ฉีเซี่ยนชิงชี้สมุดเล่มน้อยและเอ่ยขึ้น “ทุกคนสามารถฝึกทักษะการปลอมตัวได้ ในระดับที่สูงขึ้นไปอีกหลายขุม พวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นได้ยกเว้นจะมีทักษะตาทิพย์ แต่มันเป็นเรื่องยากยิ่งในการฝึกวิชาปลอมตัวลับ มีเพียงไม่กี่คนในเจียงหูที่ก้าวไปถึงระดับสุดยอดนี้ได้ หนังสือเกี่ยวกับทักษะการปลอมตัวลับที่มีชื่อว่าไม่มีอะไรประหลาดจัดว่าเป็นระดับสุดยอดของวิชานี้แล้ว จงฝึกวิชานี้โดยใช้สมุดน้อยนี้ในทันทีและเรียนรู้ที่จะอำพรางรูปลักษณ์ของเจ้าซะ”

 

“เจ้าค่ะอาจารย์”

 

ซูเอ้อร์หยารับมันไว้พลางถอนหายใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการฝึกจะดูง่ายขึ้นเมื่อมีการชี้แนะจากอาจารย์ นางประสบความทรมานในการฝึกอย่างมากตอนอยู่ในชาติที่แล้ว มันทำให้นางใช้เวลาราวหนึ่งปีเพื่อเข้าสู่ระดับเหนือการรับรู้ด้วยข้อผิดพลาดมากมาย แต่ในชีวิตนี้นางแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามเลย

 

“ข้ามีเรื่องยุ่งบางอย่างอยู่ที่ไป๋เฉ่าถัง เจ้าควรฝึกอย่างหนักและด้วยความอุตสาหะ ข้าจะตรวจดูว่าเจ้าอยู่ในกระบวนการเรียนรู้และการฝึกในเช้าวันพรุ่งนี้ ตกลงไหม?”

 

“ข้าทราบแล้ว ลาก่อนเจ้าค่ะอาจารย์”

 

ฉีเซี่ยนชิงลุกขึ้นและเดินจากไป

 

ในตอนกลางคืน ซูเอ้อร์หยาไม่ได้นอนหลับเลย นางอ่านไม่มีอะไรประหลาดจนจบ เทียบกับเหนือการรับรู้แล้วอันแรกฝึกง่ายกว่ามาก

 

วิธีการฝึกเหนือการรับรู้ทำให้ผู้คนดูน่าเกลียดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับพิการ ดูจากวรยุทธ์ในไม่มีอะไรประหลาดแล้ว คนที่มีรูปร่างงดงามมีเสน่ห์จะกลายเป็นคนหน้าตาธรรมดาไป เห็นชัดว่ามันเป็นทักษะการอำพรางที่อาจารย์ของนางเป็นผู้ออกแบบให้

 

ทักษะปลอมตัวมีความสามัญอย่างมาก ซึ่งก็คือการปฏิบัติกับจุดฝังเข็มลับบางจุด ด้วยประสบการณ์ของนางแล้วซูเอ้อร์หยาก็วางแผนจะลองทำมัน เพียงเพื่อพบว่าเวลาอรุณรุ่งได้มาถึง นางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากถือตำราคัดหนังสือเข้าเรียนในเรือนตะวันออก

 

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาใด ๆ นางจึงมายังเรือนตะวันออกโดยสวมผ้าคลุมหน้า เมื่ออาจารย์เห็นนาง เขาก็เอ่ยชื่นชมนางในใจ

 

ธรรมชาติของผู้คนเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก นิสัยบางอย่างไม่อาจเปลี่ยนไปตามอายุ ผู้คนที่เผยตัวในเจียงหูจะตายไว ซูเอ้อร์หยาเป็นคนรอบคอบ ซึ่งช่วยให้นางอาศัยในเจียงหูได้

 

แม้นางจะใจดีบริสุทธิ์ นางก็ย่อมจะเปลี่ยนไปยามเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้น ฉีเซี่ยนชิงมักรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจอกับผู้สืบทอดที่เหมาะสมในตอนที่ตัวเขาชราแล้ว

 

หลังเลิกเรียน ฉีเซี่ยนชิงก็ตรวจดูกระบวนการฝึกของซูเอ้อร์หยาและรู้สึกพอใจไม่น้อย ดูเหมือนว่าเมื่อเด็กฝึกหัดของเขาฝึกวิชาได้ถึงอุปสรรค์ขั้นที่สามภายในหกเดือนได้ เขาก็จะสอนวิชาการแพทย์แก่นางอย่างเป็นทางการ

 

“มีเวลาไม่พอแล้ว…”

 

ฉีเซี่ยนชิงรู้สึกกังวลและหวังว่าเด็กฝึกหัดจะบรรลุขุมพลังได้เร็วก่อนกำหนด

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด