การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 48
ตอนที่ ๔๘
การทำอาหารเป็นเรื่่องง่ายสำหรับซูหลี่ นางเก่งกาจทั้งด้านการหั่นเช่นเดียวกับการคุมช่วงเวลาและอุณหภูมิเป็นอย่างดีจนผู้ตัดสินทั้งแปดที่นั่งบนโต๊ะ เหอชี่ และคนทั่วไปที่ยืนอยู่เบื้องหลังเพื่อมองภาพอันคึกคักต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจกันทั้งหมด
“การทำอาหารของนางบอกได้ว่าเป็นธรรมชาติและลื่นไหล หากนางฝึกวรยุทธ์ได้ นางก็อาจจะแสดงพรสวรรค์ในระดับสูงมากกว่าานี้..”
ฟ่างหยวนรู้สึกตื่นตาตื่นใจ เขาประหลาดใจที่เห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคนกับธรรมชาติในการทำอาหารของซูหลี่
นางใช้วัตถุดิบและขั้นตอนอย่างเดียวกัน ทว่าการแสดงฝีมือของคุณหนูสามกับคุณหนูสองกลับบอกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อผู้คนเห็นทักษะการจัดการวัตถุดิบอาหารอันเชี่ยวชาญของซูหลี่ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานและไม่ได้ม่อยหลับไปเกือบสามชั่วยาม
“ท่านคงรอมานานแล้ว”
ซูหลี่ถือไก่ขอทานที่อบแล้วและยิ้มหวานขณะเอ่ยขึ้น “มีใครพอจะช่วยข้ากะเทาะมันออกหรือไม่เจ้าคะ? ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าเกรงว่าจะไม่มีกำลังพอที่จะทำเช่นนั้น”
ได้ยินสิ่งที่นางพูด กลุ่มบริกรทั้งหลายก็เบนสายตาไปที่ฟ่างหยวน แม้พวกเขาจะอดรนทนไม่ไหวอยากช่วยคุณหนูสองในทันที แต่พวกเขาไม่มีทักษะและไม่อยากเป็นคนโง่ในสายตาของนาง
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของฟ่างหยวนแดงซ่าน เขาเดินไปข้างหน้าและหยิบค้อนเงียบ ๆ
“ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี่เอง ข้าบอกแม่บ้านให้ตามหาว่าเจ้าอยู่ที่ไหน”
ซูหลี่กระซิบเบา ๆ และใบหูของฟ่างหยวนก็เป็นสีแดงจนค้อนในมือเกือบหลุด เขากะเทาะโคลนและวิ่งหนีไปอย่างเขินอาย
ทุกคนต่างถูกกลิ่นหอมดึงดูดกันทั้งหมด
มันเป็นกลิ่นหอมที่สามารถทำให้ผู้คนลืมซึ่งความมีเหตุมีผลได้!
“ข้าจะชิมมันก่อน!”
ท่านโจวน้ำลายไหลเต็มปาก เขาพุ่งไปที่โต๊ะและตัดไก่ชิ้นใหญ่ในมีดเดียว
“หน้าไม่อาย!”
หัวหน้าพ่อครัวอีกเจ็ดคนพลันโกรธขึ้งและพุ่งไปคว้าไว้ ภาพเหตุการณ์พลันวุ่นวาย อันธพาลที่ปนอยู่ในฝูงชนต่างลืมที่จะเบนความสนใจของผู้คนและตรงเข้าไปปล้นไก่ควันฉุยด้วย
“ช่วยด้วย ข้าจะโดนเบียดตายแล้ว!”
โชคดีที่ตำรวจทั้งหลายมีกำลังมากและพวกเขาก็แยกฝูงชนออกจากกันในทันที ผู้คนต่างหัวเราะขื่นเมื่อเห็นไก่ขอทานตกลงบนพื้น
“น่าเสียดาย! ไม่มีใครได้กินมันเลย”
ท่านโจวเกือบจะร้องไห้ ขอทานคนหนึ่งมีดวงตาเป็นประกายก็ได้ดิ้นรนจนหลุดจากการจับกุมของตำรวจ เขาหยิบชิ้นไก่ขอทานบนพื้นขึ้นมาและวิ่งหนีไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมที่เหลืออยู่
“ไม่สำคัญหรอกเจ้าค่ะผู้อาวุโสโจว” ซูหลี่ยืนขึ้น ดูหวาดกลัวกับภาพในขณะนี้อย่างเห็นได้ชัด นางเอ่ยด้วยเสียงกระมิดกระเมี้ยน “ข้าจำได้ว่าท่านโจวเป็นคนแรกที่สั่งไก่ขอทานอันล้ำค่านี้ พรุ่งนี้ข้าจะทำไก่ขอทานจานหนึ่งแล้วส่งไปให้ท่านเจ้าค่ะ”
ท่านโจวดีใจมาก “ขอบคุณนะคุณหนูซู หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะกลับไปรอมัน”
“ข้ารู้ว่าเบื้องหลังผู้มีฝีมือยังมีผู้มีฝีมืออีกมากหลังจากพบคุณหนูซูหลี่ในวันนี้ เราต่างเชื่อด้วยใจจริง หากเรามีโอกาสในภายหน้า เราหวังว่าจะได้เรียนทักษะการปรุงอาหารจากคุณหนูซูนะขอรับ”
หัวหน้าพ่อครัวทั้งเจ็ดเดินมาหาพลางหัวเราะ และซูหลี่ก็รีบคารวะ “ข้าไม่กล้าเจ้าค่ะ ข้ายังเด็กและอาจต้องปรึกษาพวกท่าน”
“ฮ่า ๆๆ…” เมื่อถูกเอ่ยชมเช่นนั้นแล้ว คนเจ็ดคนก็หัวเราะในทันที
หลังจากความสุภาพเรียบร้อย วิกฤตร้านอาหารก็หายไปหมดสิ้น หัวหน้าพ่อครัวต่างพากันจากไป
ชายคนซื่อไม่ได้พูดอะไรและจากไปด้วยท่าทางเสียดาย ต่อหน้าอาหารชั้นเลิศแล้วก็ไม่มีการสมคบคิดหรืออุบายใด ๆ สามารถดึงตึกไป๋เว่ยให้เสื่อมเสียได้ บวกกับแม่ครัวอัจฉริยะผู้งดงามแล้ว…อุบายที่เขาได้รับจากผู้ปกครองมณฑลก็มีอันต้องล้มเหลว
วันต่อมา ตึกไป๋เว่ยก็เปิดอีกครั้งและธุรกิจก็ดำเนินไปอย่างรุ่งเรืองมากกว่าเดิม
บริกรหลายคนพบว่ามีคุณชายจำนวนมากขึ้นออกมาทานอาหารที่ร้าน เมื่อพวกเขาเข้ามา พวกเขาก็จะมองไปรอบ ๆ และสั่งอาหารจานอื่นอย่างล่องลอย เห็นชัดว่าพวกเขามาด้วยวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง
เถ้าแก่ยิ้มกริ่ม เอ่ยเชิญคุณชายเหล่านั้นให้สั่งอาหารแนะนำทั้งหมด เมื่อพวกเขาดูร้อนใจ เขาก็อธิบาย “คุณชายทั้งหลาย คุณหนูของเจ้าของร้านอาหารเรามักจะเรียนอยู่ที่บ้านในวันธรรมดาและจะมาที่ร้านอาหารเป็นบางคราวเท่านั้น ตอนนี้คุณหนูไม่อยู่ ทำให้พวกท่านต้องผิดหวังแล้ว”
แม้คุณชายเหล่านั้นจะไม่มีความสุขกับเรื่องนี้ พวกเขาก็แสร้งทำเป็นใจดี พวกเขาเอ่ยว่าไม่เป็นไรและจะมาอีกทีในคราวหลัง เถ้าแก่เองก็ใช้โอกาสนี้ในการทำเงินจำนวนมากและเขาก็มีความสุขที่ปากของเขาไม่อาจหุบได้เลยตลอดทั้งวัน
ซูหลี่ยุ่งมากขึ้น นางอ่านหนังสือในตอนเช้าและทำอาหารในตอนบ่าย มีเพียงตอนเย็นเท่านั้นที่นางจะจัดการกับกิจการร้านอาหาร แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นนางก็ไปที่ฝ่ายบัญชีของร้านอาหารด้วยตัวเองทุกวันและมอบเงินที่ได้ให้กับบิดาของนาง
ซูฮ่วนหลี่รู้สึกเสียใจที่เขาหุนหันพลันแล่นยกกิจการร้านอาหารให้กับซูหลี่ในวันนั้น แต่เมื่อเขาพบว่ากิจการร้านอาหารดีกว่าแต่ก่อน เขาก็พลันเปลี่ยนจากเสียใจเป็นมีความสุข
อีกเรื่องหนึ่ง ซูหลี่ก็มอบบัญชีให้กับเขาทุกวัน ทำให้เขาควบคุมตัวเองได้ ใครบางคนทำเรื่องนี้แทนเขาแล้ว เขาจึงผ่อนคลายมากขึ้นและมีเวลาจดจ่ออยู่กับกิจการร้านผ้าไหมมากขึ้น
ด้วยความบังเอิญ เป็นเพราะร้านอาหารนี่เอง ความร่วมมือระหว่างสามตระกูลจึงแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อีกทั้งคนบางคนยังจงใจโฆษณาความดีความชอบของตระกูลซูเพราะรูปโฉมอันงดงามของซูหลี่ ร้านผ้าไหมของตระกูลซูยังได้เปิดสาขาใหม่และธุรกิจที่นั่นก็ราบรื่นขึ้นด้วย
หลังจากกิจการร้านอาหารคงตัวแล้ว ซูหลี่ก็เติมขนมงาทอดเข้าไปในรายการอาหารของร้าน ราคาของมันยังอยู่ที่สามตำลึง การกระทำนี้พลันได้รับคำชื่นชมจากผู้คนในเมืองต้าซู
“ข้าไม่ได้กินขนมงาทอดมานานแล้ว คุณหนูซูช่างใจดีเหลือเกิน”
“ข้าคิดว่าราคาขนมงาทอดที่ขายในภัตตาคารจะสูงกว่านี้เสียอีก คุณหนูซูช่างมีคุณธรรมในการทำธุรกิจนัก”
“เป็นเรื่องดีแล้วที่คุณหนูซูอยู่ในเมืองต้าซู อาหารเลิศรสของเราถึงได้ดีกว่าหลาย ๆ เมือง!”
“…”
ในเวลาไม่นาน ชื่อเสียงเกียรติยศของซูหลี่ก็พุ่งทะยาน ในอดีตซูหลี่ยากจะเป็นที่รู้จักในเมืองต้าซู แต่ตอนนี้หากใครบางคนเอ่ยว่าเขาไม่รู้จักซูหลี่ พวกเขาก็จะถูกดูหมิ่น
หลังจากนั้นซูหลี่ก็เก็บตัวเงียบ นางอ่านหนังสือทุกวันและพยายามไม่ออกไปแสดงตัวเมื่อนางออกไปข้างนอก ฉีเซี่ยนชิงที่ลอบสังเกตนางอยู่อดไม่ได้ที่จะชื่นชมนาง
นางไม่ได้หยิ่งผยองไปกับคำสรรเสริญและยังคงมีชีวิตตามปกติ แม้แต่เหล่าผู้ใหญ่ที่เคยประสบความยากลำบากในเจียงหูก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ แต่ผู้สืบทอดตัวน้อยคนนี้กลับทำได้!
เขารู้สึกโชคดีมากแล้วที่มีผู้สืบทอดชั้นเลิศเช่นนี้ในบั้นปลายชีวิต
บ่ายวันหนึ่ง แม่บ้านหลี่ก็เข้ามาพร้อมกับเสียงตะโกน “คุณหนู เถ้าแก่ส่งบัญชีมาแล้วเจ้าค่ะ”
แม่บ้านหลี่รู้สึกสะดวกสบายมากกว่าที่เคยเป็น ตั้งแต่ที่คุณหนูเป็นผู้บริหารกิจการร้านอาหาร ตำแหน่งของนางในฐานะแม่บ้านก็ยกระดับขึ้นอย่างมาก ตอนนี้เมื่อสาวใช้คนอื่น ๆ เห็นนาง พวกนางก็จะหยุดและเรียกนางว่าแม่บ้านหลี่อย่างเคารพ
แม้นางจะไม่เข้าใจนักว่าร้านอาหารมาอยู่ในกำมือของคุณหนูได้อย่างไร แต่มันก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดที่จะมีความสุขแทนคุณหนู ตอนนี้ฮูหยินหนึ่งไม่อาจกลั่นแกล้งคุณหนูได้อีกต่อไปแล้ว
ภายในห้อง ซูหลี่หยุดร้องเพลงและเก็บแมลงโฆษะพิษออกไปก่อนจะกล่าวขึ้น “ให้เขาเข้ามาได้”
ได้ยินเสียงของนาง เถ้าแก่ที่ใจพองโตก็รีบยิ้มและขยับเข้ามาใกล้เพื่อเสนอสมุดบัญชีให้กับคุณหนูสอง
“คุณหนู นี่คือบัญชีของร้านอาหารวันนี้ขอรับ โปรดพิจารณาด้วย”
ซูหลี่มองสมุดบัญชีและอ่านมันทีละหน้า ห้องหนังสือเงียบนักจนเถ้าแก่รู้สึกอึดอัด
แม้แต่นายท่านก็ยังไม่เห็นว่ามีจุดใดผิดพลาด..แล้วคุณหนูสอง…จะเห็นหรือไม่?
“เถ้าแก่อู่” ซูหลี่พลันเอ่ยขึ้น และเถ้าเเก่ก็ตอบอย่างรวดเร็ว
“อยู่นี่ขอรับ!”
ซูหลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางอ่อนโยน “เถ้าแก่อู่ ใจเย็นก่อนนะ มันเป็นเวลาน้อยกว่าสามเดือนนับตั้งแต่ที่ท่านทำงานให้ตระกูลซูถูกไหม?”
“ขอรับ” เถ้าแก่อู่ผ่อนคลายลงและหัวเราะ “เจ้าของกิจการคนก่อนของข้าคือเจ้าที่ดินหลี่ขอรับ”
“หลายวันมานี้ภัตตาคารวุ่นวายนัก และข้าก็ได้รับบทเรียนหลายอย่าง ท่านทำงานหนักมาก” ซูหลี่ขอโทษขอโพย “ข้าจำได้ว่าเงินเดือนของท่านอยู่ที่ยี่สิบชั่ง ข้าจะเพิ่มให้ท่านอีกสิบชั่ง ท่านว่าอย่างไร?”
เถ้าแก่อู่ดีใจสุดขีด เขาคุกเข่าคำนับซ้ำ ๆ และเอ่ยขึ้น “ขอบคุณขอรับคุณหนูสอง ท่านช่างเป็นพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิดโดยแท้!”
“ใจเย็นก่อน ข้าว่าไปตามบัญชี ส่งสมุดบัญชีนี้ให้ท่านพ่อข้าเถอะ” ซูหลี่ยื่นสมุดบัญชีให้ และเถ้าแก่อู่ก็รับมันไว้และเดินออกไปด้วยความเคารพ
หลังจากเถ้าแก่อู่ออกไปแล้ว แม่บ้านหลี่ก็ถอนหายใจ “โชคดีที่เถ้าแก่อู่สามารถช่วยท่านได้ ไม่อย่างนั้นงานคงจะหนักหนาสาหัสมากกว่านี้นะเจ้าคะ”
ซูหลี่พยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับลอบเผยรอยยิ้มมีนัยยะ
เถ้าแก่อู่เดินออกมาที่ด้านนอกเรือนจินหยวนด้วยสีหน้าดีใจฉายบนใบหน้าที่ค่อย ๆ หุบลง
“แค่เงินสิบชั่ง…ท่านคิดว่าข้าจะดีใจกับเงินเล็กน้อยขนาดนั้นเรอะ?”
เถ้าแก่อู่รำคาญใจนัก เป็นเรื่องน่าอายสำหรับเขาที่ต้องคุกเข่าคำนับเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง
หลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในบ้านตระกูลซูครู่หนึ่ง เถ้าแก่อู่ก็รวบรวมสติและยิ้มออกมาอีกครั้ง เขารีบเดินเข้าไปในเรือนใหญ่อย่างว่าง่าย
หลังจัดโต๊ะแล้ว ซูหลี่ก็ลุกขึ้นและบอกแม่บ้านหลี่ว่านางอยากออกไปในเมือง และนางก็ตรงเข้าเมืองไปด้วยรถม้าของตระกูลตามปกติ
อากาศร้อนนัก ดอกโหยวไช่เบ่งบานตลอดแนวถนน ซูหลี่เลิกผ้าม่านรถม้าขึ้นและพิงพนักเก้าอี้เบา ๆ ในดวงตาดำฉายแววเหนื่อยล้า
ในช่วงเวลานี้ มารดากับน้องสาวสามของนางไม่ได้สร้างปัญหาให้นาง ซึ่งนั่นไม่ใช่วิธีของพวกนางเลย ซูหลี่ไม่รู้ว่าผลกระทบเมื่อคราวที่แล้วสาหัสเกินไปหรือเป็นเพราะพวกนางมีแผนอะไรอื่นหรือไม่ แต่จากคำบอกเล่าของพ่อบ้านชราแล้ว มารดาของนางยังคงออกไปอยู่เรื่อย ๆ แต่ไม่ว่านางจะค้นหาอย่างไรนางก็ไม่พบสถานที่ที่นางออกไป
“เทียบกับตระกูลจูแล้ว ตระกูลซูมีพื้นฐานทางการเงินอ่อนกว่า”
ขณะที่มือยึดขอบหน้าต่างไว้ ซูหลี่ก็เคาะหน้าต่างด้วยมือเรียวทั้งคู่จนเกิดเป็นเสียงเคาะ ดวงตาของนางฉายวูบไหวจนยากจะเห็นว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
หลังมาถึงเมืองต้าซูแล้ว รถม้าก็จอดอยู่ที่ประตูด้านหลังของตึกไป๋เว่ย ซูหลี่เดินเข้ามาในร้านอาหารด้วยท่าทีสงบ เห็นว่าเป็นคุณหนูสอง บรรดาผู้ช่วยที่กำลังวางไม้ฟึนลงในเตาไฟด้านหลังตึกพลันลุกขึ้นปาดใบหน้าและตะโกนด้วยความเคารพ “สวัสดีขอรับคุณหนูสอง!”
“สวัสดีขอรับคุณหนูสอง!”
“…”
ตลอดทางผู้ช่วยทุกคนพากันหยุดทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง ทุกครั้งที่คุณหนูสองตอบด้วยรอยยิ้มบาง เหล่าผู้ช่วยพลันมีพลังเพิ่มขึ้นและทำงานกันหนักขึ้น
ความเคารพนับถือของพวกเขาไม่ได้เป็นผลมาจากรูปลักษณ์อันงดงามของนางอย่างเดียว ในวันที่สองที่คุณหนูสองมายังตึกไป๋เว่ย นางไม่เพียงแต่จะจ่ายเงินเดือนในทันทีแต่ยังเพิ่มเงินเดือนเหล่าผู้ช่วยเป็นสองเท่าตัวอีกด้วย
“คุณหนูสอง ท่านอยู่ที่นี่เอง!” เหอชี่ตะโกนอย่างกระตือรือร้นหลังเช็ดมือทั้งสองและเดินออกมาจากครัวด้วยสีหน้าเคารพนับถือแม้กระทั่งเทิดทูน
เดือนนี้เขาเรียนรู้ทักษะการปรุงอาหารหลายอย่างจากซูหลี่ เขาพบว่าทุกประโยคที่ซูหลี่พูดออกมาดูเหมือนจะง่าย แต่เขากลับได้แรงบันดาลใจอย่างไม่สิ้นสุดจากมัน นางช่างเป็นปรมาจารย์ด้านการทำอาหารโดยแท้ เทียบกับนางแล้วฝีมือการทำอาหารของเขายังอยู่ในระดับล่างอยู่เลย
หลังแลกเปลี่ยนความรู้กันหลายอย่าง เหอชี่ก็ปฏิบัติต่อคุณหนูสองที่อ่อนวัยกว่าเขามากกว่าสิบปีเป็นอาจารย์ของเขา ดังนั้นเมื่อใดที่นางมาที่นี่ เขาก็จะหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่อย่างจงใจและทักทายนางด้วยตัวเอง ซูหลี่โน้มน้าวไม่ให้เขาทำเช่นนั้นอยู่หลายครั้งแต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะทำ ในที่สุดนางก็ปล่อยให้เขาได้ทำตามที่ใจอยาก
คอมเม้นต์