การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 53
ตอนที่ ๕๓
“อนิจจา…”
หลี่หยินถอนหายใจและลอยตัวขึ้นมาบนผิวทะเลสาบในที่สุด เขาร่อนกายลงบนสะพานและประสานหมัดคารวะ “ข้าไม่คิดเลวว่าจะได้เจอคนอย่างท่านในเจียงหู ข้าไม่ได้มีฝีมือด้านวรยุทธ์ดีเท่าท่าน ครั้งนี้เรายอมแพ้ ข้าแค่สงสัยว่าทำไมผู้อาวุโสที่ฝึกวรยุทธ์ถึงอุปสรรคขั้นที่เก้าที่สามารถรับเงินได้เป็นหมื่นชั่งเพียงปลายนิ้วถึงต้องทำให้ตระกูลซูขายหน้าด้วย”
ซูหลี่แค่นเสียงเย็นชาโดยไม่ตอบ
เมื่อหลี่หยินเห็นดังนั้น เหงื่อเย็นก็ผุดบนหน้าผาก เขาเดินไปหาซูฮ่วนหลี่และกระซิบ “นายท่าน ขอโทษด้วยขอรับ ข้าสู้เขาไม่ได้”
ซูฮ่วนหลี่มีสีหน้ามืดครึ้มและเอ่ยตอบ “พวกเจ้ายังไม่เคยสู้กันเลย จะรู้ได้อย่างไรว่าชนะหรือแพ้?”
เขาสงสัยว่าหลี่หยินจะเป็นคนขลาด
สีหน้าของหลี่หยินเปลี่ยนไปเล็กน้อย และน้ำเสียงของเขาก็เย็นชาขึ้น “นายท่าน ท่านต้องการให้ข้าได้รับบาดเจ็บหนักก่อนหรือขอรับท่านถึงจะเชื่อข้า? หากข้าสู้กับเขา บางทีเขาอาจจะฆ่าท่านก็ได้…”
ได้ยินประโยคนี้ ซูฮ่วนหลี่ก็ตื่นตกใจ
เขาไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องเสี่ยงก่อนจะมาที่นี่ ในสายตาของเขาหลี่หยินเป็นผู้อาวุโสผู้จบการโจมตีทุกอย่างของบ้านตระกูลซูมาก่อน”
“ไม่ง่ายเลยที่ตระกูลซูของพวกเจ้าจะทำธุรกิจ ข้าจะให้ทางออกพวกเจ้าแล้วกัน” เห็นดวงตาของซูหลี่ฉายแววโกรธเคือง ซูฮ่วนหลี่ก็ตัวสั่นเล็กน้อย “วัตถุดิบหนึ่งจิน (เท่ากับห้าร้อยกรัม) จะถูกขายที่ราคาหนึ่งพันชั่ง ซื้อหรือไม่ก็ไสหัวไปซะ!” ซูหลี่เอ่ยต่อ
หนึ่งจินตอนนี้ราคาเท่ากับหนึ่งพันชั่ง!
ซูฮ่วนหลี่แทบหายใจไม่ออก ราคาช่างน่ากลัวนัก มันเป็นครึ่งหนึ่งของผลกำไรไก่ขอทานเลยทีเดียว แต่เขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะเปิดตึกไป๋เว่ยต่อ
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน ซูฮ่วนหลี่ก็พูดอึกอัก “ข้าไม่มีสภาพคล่องขนาดนั้นหรอก ข้ามีเพียงห้าหมื่นชั่งเท่านั้น”
“นั่นก็ง่ายมาก”
ซูหลี่โยนวัตถุดิบที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกไป “นี่คือวัตถุดิบทั้งหมดห้าสิบจินที่สามารถต่ออายุให้ตึกไป๋เว่ยไปได้สองเดือน สองเดือนหลังจากวันนี้ข้าจะทำการค้ากับท่านต่อ”
ซูฮ่วนหลี่แทบจะเป็นลม ชายลึกลับรู้สภาพคล่องของตระกูลซูด้วย นั่นน่ากลัวเกินไปแล้ว
หลี่หยินถอนหายใจและไม่เอ่ยอะไร เป็นเรื่องง่ายเหลือเกินที่ผู้อาวุโสที่มีพลังอุปสรรคระดับเก้าจะตกลงกับตระกูลซูที่เป็นชนชั้นสูงระดับหนึ่ง
ซูฮ่วนหลี่ตกอยู่ในความโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวงแต่ไม่มีทางเลือกนอกจากส่งธนบัตรที่อยู่ในอ้อมแขนมาให้
ซูหลี่พยักหน้าและเอ่ยขึ้น “ธนบัตรห้าใบจากธนาคารหวั่นถง เยี่ยม! ท่านซื่อสัตย์ดี เจอกันในอีกสองเดือนนะนายท่านซู”
เมื่อพูดจบ ซูหลี่ก็หายตัวไปในภูเขาและป่าราวกับควันไฟในชั่วพริบตา
ซูฮ่วนหลี่ถือวัตถุดิบห้าสิบจินไว้ ดูเหมือนจะสูญเสียกำลังวังชาทั้งหมดไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ร้องไห้โฮและเอ่ยขึ้น
“ฮือ! เงินของข้า…”
หลี่หยินยืนข้างกายและลอบถอนหายใจ ตระกูลซูโชคร้ายเกินไปแล้ว ในสถานการณ์เช่นนั้นพวกเขาทำได้เพียงขบฟันและกล้ำกลืนเลือดเพื่อจะยอมรับมัน มันเป็นเรื่องไร้ประโยชน์หากจะรายงานต่อรัฐบาลท้องถิ่น
ซูหลี่ที่กลับคืนสู่สภาพเดิมก็กลับเข้าเรือนจินหยวน นางดูสงบอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าเงินจำนวนห้าหมื่นชั่งไม่อาจทำให้นางหวั่นไหวได้
“เงินเท่านี้เพียงพอสำหรับชั่วระยะหนึ่ง แต่ถ้าข้าจะชำระพิษ ข้าก็ไม่อาจอยู่ในเรือนจินหยวนได้ ข้าต้องหาสถานที่สันโดษอีกที่หนึ่ง”
หลังคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูหลี่ก็จำหุบเขาสันโดษนั้นได้ หากสร้างเรือนที่นั่นได้คงจะเป็นเรือนที่สงบอย่างมาก
วันต่อมา ซูหลี่จึงขอให้ฟ่างหยวนซื้อไม้ไผ่จำนวนมากจากเมืองอื่นมากองไว้ในหุบเขา หลังจากนั้นหลายคืนฟ่างหยวนก็อ่อนล้าจนมีรอยคล้ำรอบดวงตา
หลังจากฟ่างหยวนใช้เวลาไม่กี่วันในการฟื้นตัว ซูหลี่ก็ขอให้เขาเริ่มสร้างกระท่อมไม้ไผ่และให้แผนผังก่อสร้างกับเขา
ฟ่างหยวนโอดครวญและไม่เต็มใจที่จะทำ แต่เขาก็ต้องลงมือทำอีกครั้งหลังจากได้ยินซูหลี่พูดว่า
“เมื่อไหร่ที่บ้านไม้ไผ่สร้างเสร็จ เจ้ากับน้องสาวเจ้าก็จะมีบ้านอยู่ เจ้าไม่อยากได้หรือ?”
ดังนั้นฟ่างหยวนจึงทำงานอย่างหนักในหุบเขาหลังเที่ยงคืนเกือบจะทุกวันด้วยร่างกายที่อ่อนระโหยโรยแรง หลังจากนั้นหนึ่งเดือนตึกไม้ไผ่ก็สร้างเสร็จในที่สุด แต่ยังเหลือการเก็บรายละเอียดขั้นสุดท้ายอยู่
ฟ่างหยวนเหนื่อยเสียจนแทบล้มลงกับพื้น มองตึกไม้ไผ่สองชั้นที่ตั้งตระหง่านตรงห้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจอย่างแรงกล้า
เขาไม่อยากเชื่อว่าจะมีบ้านเป็นของตัวเองหลังจากเร่ร่อนมาเป็นหลายปี
หลังมองตึกไม้ไผ่แล้ว ซูหลี่ก็พยักหน้าอย่างพอใจ นางยิ้มและเอ่ยขึ้น “พักผ่อนเถอะ ให้ข้าจัดการที่เหลือเอง”
ฟ่างหยวนแทบจะไม่เขยื้อน เมื่อเขากำลังจะถามซูหลี่ว่าจะเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนอย่างไร เขาก็พลันรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติบริเวณท้องน้อย
จะบรรลุขุมพลังงั้นหรือ?
หลังติดอยู่ในขุมพลังขั้นที่ห้ามาปีหนึ่ง ในที่สุดเขาก็พบโอกาสที่จะบรรลุขุมพลังเนื่องจากความเหนื่อยล้าขั้นสูงสุดแล้ว!
ซูหลี่รู้สึกประหลาดใจ แต่รีบกลบเกลื่อนสายตา ฟ่างหยวนไม่อาจมองเห็น เขาเหลือบมองและเอ่ยขึ้น “แม้เจ้าจะฉลาดและมีทักษะประหลาด แต่เจ้าก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์ ดังนั้นระวังตัวด้วย”
“ข้าจะระวังตัวนะ” ซูหลี่พยักหน้า
ฟ่างหยวนส่ายหน้าและเอ่ยอย่างจนใจ “โชคร้ายที่การฝึกวรยุทธ์ของข้ามีเพียงบุรุษเท่านั้นที่ฝึกได้ และอาหลิงก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่อย่างนั้นข้าจะสอนวิธีการฝึกแก่เจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้ปกป้องตัวเองได้ไปนานแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก” ด้วยดวงตาฉายเป็นประกาย ซูหลี่เอ่ยและออกจากหุบเขาไป ปล่อยให้ฟ่างหยวนฝึกวรยุทธ์เพียงลำพัง
ในวันที่สอง ฟ่างหยวนก็ขอลากิจจากร้านอาหารและฝึกวรยุทธ์เพียงลำพังเพื่อบรรลุขุมพลัง
ซูหลี่ใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ แต่ในตอนกลางคืนเหมือนกับที่ฟ่างหยวนทำในหลายวันนี้ นางก็ออกไปซื้อเครื่องเรือนในเมืองอื่นโดยปลอมตัวแล้วจึงเคลื่อนย้ายมันเข้าไปในตึกไม้ไผ่ มันใช้เวลาไม่กี่วันในการเติมของในเรือนไม้ไผ่
ในตอนกลางคืนของวันถัดไป ฟ่างหยวนก็มาที่ตึกไม้ไผ่พร้อมกับน้องสาวของเขาฟ่างหลิงและพลันอุทานออกมา ตึกไม้ไผ่สองชั้นตรงหน้าพวกเขาช่างต่างจากตอนแรกมากนัก ดูเหมือนว่าจะได้รับการลงยาจนทั่วทั้งลำไผ่สีเขียวมรกตสว่างอันแข็งแกร่ง
หน้าต่างไม้ไผ่ถูกประดับตกแต่งด้วยกระดาษหน้าต่างชั้นดี ดูหรูหราอย่างยิ่ง การตกแต่งที่ชั้นแรกไม่ด้อยไปกว่าห้องพักแขกในร้านอาหารเลย เบาะรองถูกวางอยู่บนพื้นเป็นชั้น ๆ เพื่อป้องกันความชื้น ในที่สุดพรมคุณภาพดีก็ถูกวางทับ ยังมีเตียงสองเตียงอยู่ในห้อง เครื่องนอนถูกเตรียมไว้แล้ว โต๊ะ เก้าอี้ เตากำยานต่างตั้งไว้พร้อม
“พี่ชาย นี่ห้องของพวกเราเหรอ?” ดวงตาของฟ่างหลิงเป็นประกายเพราะนางชอบสถานที่นี้มาก
“นี่มัน…” ฟ่างหยวนอึ้งไป แม้ตึกไม้ไผ่จะถูกสร้างจากฝีมือของซูหลี่และเขาจากการทำความผิด เงินที่ได้ก็มาจากตระกูลซู มันจะเป็นของฟ่างหยวนได้อย่างไร?
“ชั้นแรกเป็นของพวกเจ้าสองคนนะ”
ทันใดนั้นเสียงนุ่มนวลก็ดังจากเบื้องหลัง ฟ่างหยวนหันกลับไปอย่างประหลาดใจ แน่นอนว่าเขาก็เห็นซูหลี่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพี่หลี่!” ฟ่างหยวนทำท่าทางราวกับเด็กเอาแต่ใจ นางวิ่งไปหาอ้อมแขนของซูหลี่และเงยหน้าขึ้นพลางกล่าวต่อ “ท่านพี่หลี่ ท่านดีเหลือเกินเจ้าค่ะ! ข้าชอบที่แห่งนี้!”
“ดีแล้ว! ข้ากลัวว่าเจ้าจะเบื่อและไม่ชอบมันน่ะ” ซูหลี่ยิ้มอ่อนโยน “หุบเขานี้ไม่มีวันหมด มันจะเป็นเรื่องดีหากพี่ชายเจ้าฝึกมันเพื่อหาอาหาร”
ฟ่างหลิงพลันหันกลับมาและแกล้งทำเป็นเอ่ยอย่างโกรธ ๆ “พี่ชาย ได้ยินไหม? มานี่เลย!”
ฟ่างหยวนพลันหน้าตึงไป สาวน้อยทั้งสองช่างเห็นเขาเป็นจับกังอย่างจริงจัง เขาย่นหน้าเป็นเวลานานจากนั้นก็หัวเราะอย่างมีความสุข
เขาไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของซูหลี่ ทว่าความรู้สึก มีความสุข ของเขาก็ได้ปรากฏขึ้นหลังจากหายไปนานหลายปี
ซูหลี่กับฟ่างหยวนนั่งอยู่ที่ซุ้มประตูของตึกไม้ไผ่หลังจากที่ฟ่างหลิงหลับไปแล้ว ในกลางคืนอันมืดมิด พวกเขาต่างเห็นสีหน้าของกันและกัน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซูหลี่ก็เอ่ยขึ้น “สำหรับชั้นสอง…ห้ามเข้าไปในนั้นนะ เช่นเดียวกับน้องสาวของเจ้า”
“เจ้าวางแผนทำอะไรอยู่?” ฟ่างหยวนรู้สึกใคร่รู้ เขาสงสัยว่าทำไมสาวน้อยคนนี้ที่มีอายุสิบห้าปีถึงสร้างตึกไม้ไผ่อันสันโดษเช่นนี้ได้
“ชำระพิษ” มองฟ่างหยวนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ซูหลี่ก็เอ่ยขึ้น “พิษบางชนิด..มันก็ไม่มียาต้าน หากเจ้าถูกพิษแล้วข้าก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้”
เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดบังมัน ในอนาคตนางจะชำระพิษหลายอย่างที่นี่และอาจต้องการความช่วยเหลือจากฟ่างหยวน นางจึงคิดว่าควรพูดออกไป
“พิษ?”
ฟ่างหยวนอ้าปากกว้างอย่างหวาดผวาและเอ่ยขึ้น “เจ้าชำระพิษเป็นเหรอ?”
“เจ้าคิดว่าธูปยาสลบนั่นข้าเป็นคนซื้อมาหรือ?”
คำพูดของซูหลี่ทำให้ฟ่างหยวนไร้คำพูดไป แน่นอน! ธูปยาสลบจากตลาดมืดในเมืองที่ห่างไกลจะมีฤทธิ์แรงขนาดนี้ได้อย่างไร? มันทำได้เพียงทำให้คนหลับไปครึ่งชั่วยามเป็นอย่างมาก
“เจ้าชำระอะไรอีก?”
“ไว้คราวหลังเจ้าจะได้รู้เอง อย่ากังวลไปเลย ข้าเตรียมการไว้แล้ว และควันพิษจะไม่ลอยลงมายังชั้นหนึ่ง”
ซูหลี่ให้สัญญา ฟ่างหยวนตากระตุก ที่แท้นางจัดผังของตึกนี้ด้วยตัวเองเพื่อวัตถุประสงค์นี้เอง
หลังจากเงียบไปเป็นช่วงสั้น ๆ ฟ่างหยวนก็เพ่งมองและเอ่ยพึมพำ “ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดี ต่อให้ความจริงอาหารทั้งหลายเจ้าเป็นคนพัฒนา แต่เจ้าก็ยังเป็นสมาชิกตระกูลซูอยู่ มันต่างกันตรงไหนระหว่างเงินที่เป็นของเจ้ากับเงินที่เป็นของพ่อเจ้า? เขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเจ้านะ ไม่เหมือนฟ่างหลิงกับข้า…พ่อแม่ของเราทั้งคู่ตายหมดแล้ว ทำไมเจ้าถึงโหดร้ายเช่นนี้ เจ้าน่าจะเรียนรู้ที่จะรักนะ…”
ขณะที่เขาพูด ฟ่างหยวนก็ไม่อาจพูดต่อได้ เหมือนลำคอของเขาถูกมือทั้งสองกำไว้ เขามองสาวน้อยตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้างยามเห็นนางถลกแขนเสื้อขึ้นและเผยแขนของนางออกมา เขาคิดว่าแขนนั้นจะเป็นของหญิงสาวบอบบางที่น่าจะขาวราวกับรากบัว แต่เขาก็คิดผิด
ซูหลี่ลูบแผลเป็นที่ไขว้ทับไปมาบนแขนและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รอยแผลแบบนี้มีอยู่ทั่วร่างของข้าเลยล่ะ ท่านแม่ข้าเป็นคนทำ แต่ท่านพ่อก็ทำเป็นตาบอด เจ้ายังคิดว่าคน ๆ หนึ่งจะมีความสุขตราบเท่าที่พ่อแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ได้ไหม?”
ฟ่างหยวนตัวสั่นเล็กน้อย สูดหายใจลึกและฝืนความปวดหน่วงในเบ้าตา เขาอดไม่ได้ที่จะร้องไห้เมื่อเห็นบาดเเผลเช่นนั้น แต่นางกลับหัวเราะงั้นหรือ?
“ข้า..ข้าขอโทษนะที่หยาบคายใส่”
ฟ่างหยวนช่วยซูหลี่ดึงแขนเสื้อด้านนอกปิดลงมา เขารู้สึกสงสารอย่างมาก เหมือนจะมีเหตุผลสำหรับการกระทำประหลาดของสาวน้อยตรงหน้าเขา แต่เขาไม่กล้าที่จะเอ่ยอย่างพลการด้วยเกรงว่าจะทำให้นางเจ็บปวด
“เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก สิ่งที่ข้าทำในภายภาคหน้าจะเป็นเรื่องอันตราย เจ้าต้องฝึกอย่างหนักเพื่อที่จะปกป้องข้า”
เนื่องจากน้ำเสียงของซูหลี่ฟังดูอ่อนโยน ฟ่างหยวนจึงตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นเขาก็พยักหน้าแข็งขันราวกับถูกอัดฉีดพลังเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย
ในตอนนี้เขาสาบานว่าเขาจะไม่ปล่อยหญิงสาวที่มักยิ้มต่อหน้าเขาให้ได้รับอันตรายใด ๆ โดยเด็ดขาด
ซูหลี่ช่วยให้พี่ชายและน้องสาวลงหลักปักฐาน หลังจากนั้นไม่กี่วันซูหลี่ก็พัฒนาการฝึกวรยุทธ์จนเข้าสู่ขุมพลังระดับสาม ฉีเซี่ยนชิงมีความสุขนักจนเขารีบกลับไปที่ไป๋เฉ่าถังพร้อมกับซูหลี่ในทันทีหลังเลิกการเรียนการสอนในตอนเช้า
ในตอนนี้คนทั่วไปที่มาพบหมอก็ได้ต่อแถวยาวอยู่ตรงหน้าไป๋เฉ่าถัง ฉีเซี่ยนชิงยุ่งมากจนไม่มีเวลาหยุดพักกระทั่งถึงตอนเที่ยงวัน เขาปล่อยให้ซูหลี่อยู่ในห้องด้านหลังและเอ่ยเสียงขรึม “ศิษย์ข้า เจ้าเริ่มฝึกเสวียนกงขุมที่สามแล้ว ตอนนี้ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีฝึกวรยุทธ์ที่แท้จริง!”
คอมเม้นต์