การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 58
ตอนที่ ๕๘
ใบหน้าของหลี่ซานเป่าซีดลง ทุกปีจะมีผู้เปี่ยมพรสวรรค์จำนวนมากเกิดขึ้นในเมืองต้าซู แน่นอนเขารู้ว่าซูชิงถานมีความสามารถในอันดับต้น ๆ ของอ้จฉริยะแห่งดินแดนต้าฮั่นจริง ๆ
เมื่อการสอบเข้าราชสำนักจบลง ซูชิงถานก็จะมีชื่อเสียงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงและกลายเป็นข้าราชการตำแหน่งสูงที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ในอวิ๋นจิง ถึงตอนนั้นเขาก็จะมียศใหญ่เกินกว่าจะสนใจตึกไป๋เว่ยร้อยตึกแล้ว อย่าว่าแต่ตึกเดียวเลย
“บ้าเอ๊ย ทำไมข้าไม่รู้มาก่อนว่าซูชิงถานจะเป็นคนที่มีศักยภาพสูงเช่นนี้!”
หลี่ซานเป่านั่งยองเก็บผลสอบและบอกให้หลี่เว่ยเขียนจดหมายอีกฉบับอย่างเร่งรีบ มันเป็นจดหมายถึงครอบครัวของเขาซึ่งจะแนบผลสอบไปด้วย หลี่ซานเป่ารู้ว่าซูชิงถานตอนนี้มีอำนาจที่อยู่เหนือการควบคุมของเขาแล้ว
“เราจะทำแค่ยกตึกไป๋เว่ยให้คนอื่นหรือขอรับ?” หลี่เว่ยดูไม่เต็มใจ
“เจ้านี่ชักจะสับสนแล้วนะ!”
หลี่ซานเป่าตวาดด่าเขาและเอ่ยเสียงเย็น “เมื่อข่าวเเพร่กระจายออกไป แม้แต่ตระกูลจูก็ยังยอมแพ้และปล่อยให้ตระกูลซูครอบครองตึกไป๋เว่ย เจ้าคิดหรือว่าซูชิงถานจะสนใจตึกไป๋เว่ยหากเขากลับมาแล้ว? ตระกูลซูจะต้องย้ายไปอวิ๋นจิงกับซูชิงถานอย่างแน่นอน จากนั้นเราก็ไม่มีอำนาจที่จะต้านทานพวกเขาแล้ว เป็นเรื่องดีที่จะต้องพยายามรักษาสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซูไว้ในตอนนี้ ข้าได้ยินมาว่าซูชิงถานตามใจซูหลี่มาก ดังนั้นเจ้าต้องเตรียมตัวให้ดีในเรื่องนั้นและข้าก็จะไปเยี่ยมตระกูลซูด้วยตัวเอง!”
ซูฮ่วนหลี่ตกใจกับการมาเยี่ยมอย่างกะทันหันของหลี่ซานเป่า แต่เมื่อเขารับจดหมายของซูชิงถานแล้วเขาก็พลันได้สติและมีความคิดหลายอย่างวิ่งวนอยู่ในใจ
ความคิดเหล่านี้รวมแล้วได้ประโยคอย่างหนึ่ง
ตระกูลซูกกำลังจะได้เข้าเมืองหลวงแล้ว!
“เยี่ยมไปเลยเจ้าค่ะนายท่าน ชิงถานสอบติดอันดับแรกในการสอบรอบคัดเลือกด้วย” ฮูหยินสองไม่ทันพูดจบก็เริ่มร้องไห้
ซูฮ่วนหลี่กอดฮูหยินสองไว้และเอ่ยปลอบนางเสียงทุ้ม “เจ้าร้องไห้ทำไม? บุตรชายของเรากำลังจะมีอนาคตอย่างที่สัญญาเอาไว้ เจ้าน่าจะมีความสุขสิ!”
น้ำเสียงของซูฮ่วนหลี่อ่อนโยนกว่าที่เคยเป็น
ฮูหยินสอง หลี่เยว่เหลียนเป็นแม่แท้ ๆของซูชิงถาน คนเป็นเเม่จะขึ้นอยู่กับบุตรชาย ตำแหน่งของหลี่เยว่เหลียนในใจของเขาพลันอยู่เหนือจูเหยียนทันทีและเป็นรองเพียงซูชิงถาน แม้แต่ซูหลี่ก็ยังอยู่อันดับสาม
วันต่อมาหลี่ซานเป่าก็ติดผลสอบ ข่าวที่ว่าซูชิงถานติดอันดับแรกของการสอบรอบคัดเลือกทำให้เกิดกระเเสข่าวในเมืองต้าซูทันที แม้แต่เรื่องอื้อฉาวของตระกูลหยางก็ถูกลืมเลือนไปชั่วคราว ชื่อของ ซูชิงถาน เป็นที่ได้ยินในทุกที่
“พี่ใหญ่สอบติดอันดับเเรกของการสอบรอบคัดเลือกหรือ?”
ซูหลี่รู้สึกตกใจเมื่อได้รับข่าว พี่ชายใหญ่ในชีวิตชาติที่แล้วของนางเข้าสอบรอบคัดเลือกในปีต่อมา แต่เขาก็ไม่ได้ติดสามอันดับแรก แม้เขาจะผ่านการสอบรอบที่สอง เขาก็ไม่ผ่านโรงเรียนระเบียบพิธีจีน เขาไม่อาจเทียบกับเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในอวิ๋นจิงได้ และในที่สุดก็ได้อยู่ในอันดับท้ายของการสอบเข้าราชสำนัก
ซูหลี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะสอบรอบคัดเลือกในหนึ่งปีล่วงหน้าต่างจากชีวิตชาติก่อนของนางแล้วยังได้อันดับหนึ่งอีกด้วย
ดูเหมือนว่าผู้มีพรสวรรค์ในชิงเหอปีนี้คงจะไม่ดีเท่ากับปีต่อมา แต่มันก็ไม่กระทบแผนของข้าหรอก พี่ชายใหญ่ยังต้องอยู่ในโรงเรียนระเบียบพิธีจีนอีกหนึ่งปี…”
ซูหลี่เคาะโต๊ะด้วยนิ้วเรียวและมองออกไปไกลทางหน้าต่าง นางคิดถึงอวิ๋นจิง เมืองหลวงของดินแดนต้าฮั่น
ในชีวิตชาติที่แล้วของนาง นางได้ยินผู้คนคุยกันเกี่ยวกับพื้นเพของเขาหลังจากนั้น ในชีวิตนี้เขาควรจะอยู่ที่นั่นในตอนนี้แล้ว แต่ซูฮ่วนหลี่ไม่รู้ว่าตัวตนของเขาเป็นใคร…
เวลาผ่านไปโดยไม่ได้เบาะแสอะไร ตารางประจำวันของซูหลี่ก็แน่นเอี๊ยดจนไม่มีเวลาที่นางจะพักหรือผ่อนคลายตัวเอง นางยังรู้สึกมีความสุขที่เป็นเช่นนี้ด้วย เวลาผ่านไปครึ่งเดือนกว่านางก็ทราบสมุนไพรทั้งหมดที่ฉีเซี่ยนชิงยื่นให้นาง ทุกวันนางทำตัวราวกับผู้ขายยาในเมืองไป๋เฉ่าถังเพื่อฝึกวิชาไม่มีอะไรประหลาด เว้นแต่ฉีเซี่ยนชิงแล้ว ก็ไม่มีใครเห็นตัวตนที่แท้จริงของนาง
หลายวันมานี้ตระกูลจูก็ไม่ได้กระทำการโง่เขลา พวกเขายกตึกไป๋เว่ยให้กับตระกูลซูเช่นเดียวกับตระกูลหยางและให้สัญญาว่ากำไรทั้งหมดจะเป็นของตระกูลซู ทุกวันล้วนมีแต่คนชั้นสูงที่มีชื่อเสียงมาเยี่ยมเยียนตระกูลซู แม้แต่ซูจื่อเผยที่มักจะถูกคนอื่น ๆ ดูถูกก็ได้รับการขอแต่งงานจากผู้ที่ต้องการจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับซูชิงถาน
ซูฮ่วนหลี่กลับมีความคาดหวังสูงในทุกวันนี้และย่อมไม่เห็นด้วย เขาหวังว่าบุตรสาวทั้งสองจะได้ไปที่อวิ๋นจิงและแต่งงานกับชนชั้นสูง เขาจะคิดถึงตระกูลบ้านนอกเล็ก ๆ พวกนี้ได้อย่างไรล่ะ?
“เอาล่ะ ข้าไม่คิดเลยว่าบุตรชายของหลี่เยว่เหลียนจะทำได้ตามสัญญา!”
จูเหยียนตบโต๊ะและขบฟันแน่น สถานะของนางในตระกูลซูตอนนี้ตกต่ำกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ซูฮ่วนหลี่ไม่ได้มาหานางที่ห้องเป็นหลายเดือนแล้ว แม้แต่สาวใช้ทั้งหลายก็มองนางในทางที่เปลี่ยนไป
“แต่ข้ากังวลว่าข้าจะไม่ได้ไปที่อวิ๋นจิงเพื่อถามถึงข่าวคราว ตอนที่จื่อเผยกลับตระกูลของนางพร้อมกับจี้หยก ต่อให้ข้าเป็นเพียงแม่บุญธรรมของนาง ทุกคนในตระกูลซูก็ไม่อาจมีสถานะเทียบเท่าข้าได้”
ในเวลาหกเดือนที่แล้ว นางแทบจะไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี และนางก็ไม่ได้หยุดยั้งซูหลี่ไม่ให้ทำอะไร อีกทั้งยังดำเนินการสืบสวนจี้หยก ในไม่กี่วันที่แล้วนางพบว่าจี้หยกแบบนี้มักใช้ในหมู่ของราชวงค์ บางทีบุตรสาวของนางอาจเป็นองค์หญิงในราชวงศ์ก็ได้!
ราตรีมาถึงเพียงชั่วพริบตาเดียว ทั่วทั้งเมืองต้าซูเงียบกริบ
ด้านหน้าเรือนที่ไม่เป็นที่ดึงดูดสายตาด้านนอกเมือง ชายในชุดดำยืนด้วยท่าทีเคารพและเงียบกริบโดยมีสายตาคาดหวังที่คาดไม่ถึงอยู่ในดวงตาสุกกระจ่าง
“คุณชายกำลังมากถึงและข้าก็ไม่รู้ว่าเอกสารที่ข้าเตรียมไว้จะทำให้เขาพอใจได้หรือเปล่า”
ชายในชุดดำรอคอยด้วยท่าทีร้อนรน ในตอนนั้นรถม้าธรรมดาก็หยุดอยู่ตรงหน้าเรือน และเขาก็รีบทำความเคารพ “ข้าคือดาราดำ และข้ามาที่นี่เพื่อคารวะคุณชายขอรับ!”
ชายหนุ่มท่าทีเย็นชาสวมชุดราวกับเจ้าบ่าวกระโดดออกจากรถม้า ดวงตาของเขาเย็นราวกับสายฟ้าและพลังยุทธ์มหาศาลของเขาก็ดีเท่ากับฟ่างหยวน ชายหนุ่มฝีมือยอดเช่นนี้กลับเป็นเพียงคนรับใช้ของ คุณชาย ที่ชายชุดดำกล่าวถึง
เมื่อชายชุดดำเห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม ดวงตาของเขาก็พลันหดเกร็ง เขาค้อมศีรษะลงและเอ่ยด้วยความเคารพ “หัวหน้าก็อยู่ที่นี่ด้วย”
ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาพยักหน้าเล็กน้อยและเปิดม่าน ใบหน้าที่สวมหน้ากากหยกปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันสายลมก็ลอยปะทะใบหน้าของดาราดำที่ส่งเสียงฮึมราวกับถูกซัดอย่างแรง แต่แทนที่จะรู้สึกโกรธ เขากลับประหลาดใจและเอ่ยขึ้น “คุณชาย ท่านบรรลุขุมพลังอีกขุมหนึ่งแล้ว!”
ริมฝีปากบางภายใต้หน้ากากหยกโค้งขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งดูราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วนกระจายตัวอยู่
“เข้ามาข้างในก่อนเถอะ”
เสียงทุ้มต่ำทว่ามีแรงดึงดูดทำให้อากาศสั่นสะเทือนเล็กน้อย ดาราดำปล่อยให้คนสองคนเข้ามาข้างใน
ดาราดำยกชาที่เขาเตรียมให้พวกเขาออกมา ชายหนุ่มที่มีหน้ากากหยกนั่งและชายหนุ่มท่าทีเย็นชานั่งข้าง ๆ ในตอนแรกดาราดำไม่กล้าที่จะนั่งลง เขาต้องดูน่าเคารพนับถือในฐานคนรับใช้คนหนึ่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายหนุ่มผู้เย็นชาก็เอ่ยขึ้น “สถานการณ์ในจังหวัดชิงเหอตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ดาราดำรีบเสนอเอกสาร และชายหนุ่มท่าทางเย็นชาคนนั้นก็หยิบมันโดยไม่ได้เหลือบมอง เขามีความรับผิดชอบในการสังหารอยู่ประจำ เมื่อตรวจสอบเอกสารและวางแผนแล้ว คนอื่น ๆ ก็จะเข้ามามีหน้าที่
“ดาราดำ เจ้าบอกว่ามีแม่นางคนพิเศษในเมืองต้าซูงั้นหรือ” ชายหนุ่มหน้ากากหยกถาม
“ขอรับ! “ดาราดำพลันบอกพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นและได้ยินมา จากนั้นเขาก็เล่าเกี่ยวกับขนมงาทอดและไก่ขอทาน อาหารสองจานที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
ชายหนุ่มเย็นชาพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “คุณชาย ท่านทำอาหารมามาก แต่ท่านไม่เคยทำขนมงาทอดกับไก่ขอทานมาก่อน ข้าเกรงว่าซูหลี่จะทำบ๊ะจ่างด้วย”
ชายหนุ่มหน้ากากหยกไม่เอ่ยอะไร แต่ตกตะลึงไป
บ๊ะจ่าง ขนมงาทอด และไก่ขอทาน…ดาราดำกับหลิงโม่ไม่รู้ถึงอาหารเหล่านี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้ อาหารเหล่านี้…คืออาหารพื้นเมืองของดินแดนหัวกั่วบนโลกสีครามก่อนที่เขาจะเดินทางข้ามเวลาเสียอีก!
“สาวน้อยคนนี้ไม่ได้มาจากโลกเหมือนข้าหรือ?”
ชายหนุ่มหน้ากากหยกอยู่ในภวังค์ ชายหนุ่มเย็นชาประหลาดใจกับเขา เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้านายตกอยู่ในภวังค์เพราะสตรีคนหนึ่ง ทราบกันว่าต่อให้นักบุญในเผ่าตามไล่เขากลับอย่างบ้าคลั่งเขาก็จะไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“น่าสนใจ…หลิงโม่ จัดการนัดพบที ข้าอยากจะสังเกตนางด้วยตัวเอง”
ชายหนุ่มหน้ากากหยกเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจแย้งได้ ชายหนุ่มเย็นชากลืนน้ำลายอย่างยากเย็นและไม่เอ่ยอะไร พวกเขาไม่ได้มาที่เมืองต้าซูเพียงเพราะเอกสารและซูหลี่ หากมันเป็นแค่สิ่งเล็ก ๆ สองอย่างนี้ ทำไมนายท่านผู้น่าเคารพต้องมาด้วยตัวเอง?
“คุณชายพลันสนใจซูหลี่ขึ้นมา หวังว่าเขาจะไม่ลืมภารกิจสำคัญของเรานะ” ชายหนุ่มเย็นชาคิดแต่ไม่เอ่ยอะไร
ดาราดำเข้าใจความหมายของคุณชาย และเขาก็รีบถาม “ข้าควรรายงานสำนักเทพสาขาหรือไม่ขอรับ?”
“การเดินทางนี้เป็นความลับ เพื่อเลี่ยงปัญหา อย่าบอกกับคนในสาขา”
หลังเอ่ยแล้วชายหนุ่มหน้ากากหยกก็พลันก้าวออกมา ชายหนุ่มเย็นชาตามเขาไปและพวกเขาก็หายตัวไปเพียงชั่วพริบตาเดียว
“คุณชายฝึกเสวียนกงได้ยอดเยี่ยมนัก ข้าแทบไม่เห็นความแตกต่างระหว่างของจริงกับของปลอมเลย”
ดาราดำยืนที่ประตูและครุ่นคิด
ภายในเจียงหูมีสามศาสนาและโรงเรียนปรัชญาเก้าแห่งที่มีอันดับอันเข้มงวด ยุทธภพที่ประกอบด้วยผู้คนที่ฝึกวรยุทธ์ทั่วไปถือว่ามีระดับต่ำสุดในเจียงหู ความสำเร็จด้านกองทัพมักจำแนกด้วยจำนวนปีที่พวกเขาใช้ฝึกวรยุทธ์
แต่จอมยุทธ์ด้านวรยุทธ์ที่เปี่ยมพรสวรรค์มากที่สุดสามารถบรรลุขุมพลังขั้นที่สามเท่านั้นในชั่วชีวิตของเขา แต่ต้องยั้งมือไว้เนื่องจากข้อห้ามในวิธีการฝึก
หากคนใดได้ฝึกเสวียนกง ตราบใดที่เขาหรือนางสามารถเริ่มต้นได้ ความสามารถของเขาหรือนางก็จะบรรลุถึงขุมแรก เป็นเช่นนี้คน ๆ นั้นก็จะประหยัดเวลาในการทำงานหนักไปหลายปีและได้เป็นจอมยุทธ์ในทันที เจียงหูที่ประกอบด้วยจอมยุทธ์เสวียนกงรับรู้กันว่าเป็นวงสมาคมวรยุทธ์
ดาราดำมีอายุเพียงสามสิบปีในปีนี้ เขาบรรลุขุมพลังระดับสี่และเป็นนักฆ่าเหรียญเงินจากกลุ่มเซวียโหลว แต่เขารู้ว่าวรยุทธ์ขี้ปะติ๋วของเขาไม่สมกับการกล่าวถึงต่อหน้าคุณชายเลย
สายลมเย็นพัดโชยในตอนเย็น ซูหลี่ออกมาจากไป๋เฉ่าถังและนางก็รู้สึกหนาวเล็กน้อย
“ไม่แปลก…เทศกาลไหว้พระจันทร์จะมีในอีกครึ่งเดือนแล้ว”
บางทีฉีเซี่ยนชิงคงคิดว่านางทำงานหนักเกินไปในช่วงนี้จึงปล่อยนางกลับก่อนเวลาในวันนี้ ในตอนนี้ตลาดตอนเย็นของเมืองต้าซูก็เริ่มเปิด คนหลายคนต่างสลักแตงเป็นโคมไฟเพื่อเตรียมรับเทศกาลไหว้พระจันทร์
“ต่อให้ตระกูลต่าง ๆ ต่อสู้กันเพื่อชิงอำนาจ เมืองต้าซูก็เป็นสถานที่ที่สงบนัก บางทีนี่คงเป็นเหตุผลที่ฉีเซี่ยงชิงเลือกจะอยู่อย่างสันโดษที่นี่”
ซูหลี่เดินไปตามถนนด้วยอารมณ์ที่สงบและอบอุ่น ความรู้สึกนี้ช่างหายากและนางก็ชอบมันอย่างมาก ด้วยความคิดของนาง นางก็เดินผ่านตลาดราวกับผีเสื้อตัวหนึ่ง
ทันใดนั้นซูหลี่ก็หันหน้าไปเห็นชายหนุ่มสองคนภายใต้แสงเจิดจ้าไม่ไกลออกไป ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงหน้าพร้อมกับถือพัดในมือด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แม้เขาจะมีอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ประดับด้วยดวงตาดุจดวงดาวดูล้ำลึก ทำให้ไม่อาจมองเห็นได้ว่าเขาเป็นคนประเภทไหน
เบื้องหลังชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเป็นชายหนุ่มเย็นชาติดตามมาด้วยสีหน้านิ่งขรึม บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้หัวเราะมาหลายปี
ใบหน้านี้มัน..
ซูหลี่หยุดเดินอย่างไม่รู้ตัวและจ้องมองชายหนุ่มที่เดินมาหานางด้วยสายตาว่างเปล่า แสงและเงารอบตัวนางเหมือนจะกระจายตัวอย่างไม่สิ้นสุดและนางก็ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้น
“คุณชาย เป็นการเหมาะสมจริง ๆ หรือไม่หากท่านจะไม่สวมหน้ากาก?”
หลิงโม่ที่ติดตามอยู่เบื้องหลังคุณชายเอ่ยถามเสียงทุ้ม ชายหนุ่มยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะได้มายังเมืองที่ห่างไกลเพื่อหาความสำราญและมีความสุขกับชีวิต ทำไมเจ้าต้องสนใจสิ่งเล็กน้อยพวกนี้ด้วย?”
“คุณชาย ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
หลิงโม่รีบโบกมือ แต่คุณชายก็พลันหยุด ซึ่งเกือบทำให้เขาเดินชนกับอีกฝ่าย
ดวงตาของหลิงโม่พลันแข็งกร้าว เขาเงยหน้าขึ้นและอยากเดินไปข้างหน้าเพื่อปกป้องชายหนุ่ม แต่เมื่อเขาเหลือบมองขึ้นก็ต้องอึ้งไป หญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าทั้งคู่ราวกับสูญเสียวิญญาณไป
คอมเม้นต์