การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 100
LS ตอนที่ ๑๐๐
ทางด้านหน้าของเรือนหลักตระกูลซู ท่านย่าซู/ฉุยมีสีหน้าซีดเผือด นางยืนหน้าห้องของซูฮ่วนหลี่กำไม้เท้า เห็นว่าซูฮ่วนหลี่ยังคงหลับไหลไม่ฟื้นตื่น และยังได้กลิ่นปัสสาวะอุจจาระโชยออกมา
“หนิงอวิ๋นจื่อ เรื่องนี้ยังไม่จบหรอก!”
ใบหน้าชราเต็มไปด้วยริ้วรอยของท่านย่าซู/ฉุยเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางกับหนิงอวิ๋นจื่อเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน สาวน้อยอายุสิบหกปีทุกคนต่างเคยอยู่ในห้วงรัก ซึ่งนางก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ในตอนนั้นหนิงอวิ๋นจื่อเป็นบัณฑิตเปี่ยมพรสวรรค์แห่งแคว้นชิงเหอ นางรวบรวมความกล้าสารภาพรักกับเขาแต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาอย่างไม่ใยดี
นางไม่เคยลืมความอับอายในครั้งนี้!
ที่โรงเรียนมู่หยางในตอนนี้
หนิงอวิ๋นจื่อชงชากาหนึ่งและซดดื่มด้วยตนเอง โดยที่หนิงฉิงไม่ได้อยู่ข้างกาย
หยางเวินหมินที่นั่งตรงข้ามกับหนิงอวิ๋นจื่อยักคิ้ว เต่าเฒ่านี่ลืมรินชาให้เขาหรืออย่างไร?
เขาหยิบกาชามารินให้ตัวเองขณะเอ่ยขึ้น “หนิงอวิ๋นจื่อ ท่านมีความเห็นเช่นไร? คนเหล่านั้นที่กระทำการถูกที่ถูกเวลาถือเป็นคนฉลาด ท่านไม่ควรละทิ้งตำแหน่งอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมู่หยางไปเพียงเพราะซูหลี่นะ”
หนิงอวิ๋นจื่อไม่มองหยางเวินหมิน เขามองลงในจอกชาและหรี่ตาลงเล็กน้อย “เด็กน้อยตระกูลหยางเอ๋ย ท่านจะถามคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้วทำไม? ท่านพ่อของท่านรู้จักนิสัยข้าดี น่าเสียดายที่คนตระกูลหยางรุ่นท่านช่างละโมบนัก โรงเรียนคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสถานที่ค้าขายของบรรดาผู้หิวเงินอย่างพวกท่าน มันไม่สมควรที่จะเป็นโรงเรียนอีกแล้ว แล้วข้าจะอยู่ที่นี่เพื่ออะไร?”
หนิงอวิ๋นจื่อสะบัดมือราวกับไล่แมลงขณะเอ่ยต่อ “ออกไปเสียเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะลาออกจากโรงเรียน ทำสิ่งที่ท่านอยากทำได้เลย โฮ่ๆ… ข้าเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าตระกูลหยางในการปกครองของท่านจะเป็นอย่างไร”
“… ท่าน!”
หยางเวินหมินโกรธจัดจนถลันไปคว้าคอของหนิงอวิ๋นจื่อแล้วเอ่ยเหี้ยมเกรียม “ถ้าท่านยั่วโมโหข้าอีกครั้ง ข้าจะหักคอท่านแน่!”
“โฮ่ๆ…” หนิงอวิ๋นจื่อยิ้มและยังมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“ฮึ่ม! ตาเฒ่าดื้อด้าน…”
หยางเวินหมินปล่อยมือพลางแค่นเสียงและจากไปพร้อมผู้ติดตาม “ตาเฒ่า จำไว้ว่าต่อให้พรุ่งนี้ท่านอยู่ที่นี่ ข้าก็จะไม่ปรานีท่าน”
เมื่อหยางเวินหมินหายตัวไป หนิงอวิ๋นจื่อก็หุบยิ้มและเริ่มมีสีหน้าเป็นกังวล
วันต่อมา ข่าวหนิงอวิ๋นจื่อลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนมู่หยางก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองมู่หยาง เม่ยรั่วหานกับผู้คนที่รับรู้ความจริงต่างเดือดร้อนใจ แม้แต่อาจารย์ใหญ่ก็ถูกตระกูลหยางไล่ออก แล้วซูหลี่ล่ะ…
ข่าวหนิงอวิ๋นจื่อถูกไล่ออกได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการในตอนเช้า เมื่อถึงยามบ่าย ผลการตัดสินโทษของซูหลี่ก็ถูกแปะไว้บนป้ายประกาศของโรงเรียนสตรีมู่หยาง
“เราขอประกาศเพื่อดำรงความยุติธรรมไว้ ณ ที่นี้ว่า แม่นางซูหลี่จากเมืองต้าซู ได้รับคำสั่งให้ออกจากสถานศึกษาเนื่องจากประพฤติตัวเสื่อมเสีย ก้าวร้าวไม่มีสัมมาคารวะในโรงเรียน ไม่เคารพอาจารย์ แล้วยังกล่าวดูถูกอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่จนนางโกรธจัดถึงกับต้องพักรักษาตัวหลายวัน ซูหลี่คือความอับอายของโรงเรียนมู่หยาง แห่งแคว้นชิงเหอ และแคว้นต้าฮั่น!”
“ซูหลี่มีอายุเพียงสิบห้าปี แต่กลับเป็นคนเกเรไร้ประโยชน์ นางยังมีทักษะการหลอกลวง เพื่อไม่ให้สถานศึกษาแห่งอื่นถูกนางหลอกลวง เราจึงขอประกาศตัดสิทธิ์การศึกษาของนางไว้ ณ ที่นี้! โรงเรียนใดก็ตามในแคว้นชิงเหอจะไม่รับซูหลี่เข้าเป็นศิษย์ นางจึงไม่สามารถพูดจาไร้สาระกับคนอื่นๆ และก่อกวนราชสำนักได้!”
“นอกจากนี้ เม่ยรั่วหานยังถูกสั่งให้ออกจากโรงเรียนจากการให้ที่พักพิงกับซูหลี่ เม่ยรั่วหานจะถูกกักบริเวณที่บ้านและสามารถกลับมาศึกษาต่อได้เมื่อสำนึกผิด เราหวังว่าตระกู
ลเม่ยจะสามารถขัดเกลานางและขจัดอิทธิพลชั่วของซูหลี่ได้”
ประกาศนี้ราวกับน้ำเย็นแช่น้ำแข็งสาดรดลงบนศีรษะของมวลชน เห็นประกาศนี้แล้ว เม่ยรั่วหานก็รู้สึกผิดเสียจนอดไม่ได้ต้องร้องไห้ออกมา
“ทำไมกัน… เรื่องนี้เป็นความผิดของฮูหยินหยางชัดๆ ทำไมสุดท้ายแล้วถึงเป็นความผิดของซูหลี่ไปได้!”
“คุณหนู…” อากั่วร้องไห้เช่นกัน คุณหนูที่สามารถปรุงอาหารได้เลิศรสไม่เพียงถูกขับออกจากตระกูลแต่ยังต้องเผชิญกับความอยุติธรรมเช่นนี้ โลกนี้ช่าง…ไม่ยุติธรรมนัก!
“คุณหนู ไปกันเถอะขอรับ”
พ่อบ้านตระกูลเม่ยถอนหายใจ มันไม่ใช่เรื่องที่จะแยกว่าใครถูกหรือผิด และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก เห็นชัดว่าตระกูลหยางต้องการจะมีเกียรติยศชื่อเสียงโดยผ่านซูหลี่ อิทธิพลของตระกูลเม่ยไม่แก่กล้าทรงพลังเท่ากับตระกูลหยาง ดังนั้นแล้วตระกูลเม่ยจึงทำอะไรไม่ได้กับเรื่องนี้
ข่าวโรงเรียนมู่หยางแพร่กระจายไปถึงเมืองต้าซูในเวลาไม่นาน ทันใดนั้นเองมันก็ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คน แม้แต่หนิงอวิ๋นจื่อก็ถูกเพ่งเล็งไว้ว่าต้องมีสัมพันธ์กับซูหลี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาจึงพยายามอย่างเป็นที่สุดที่จะปกป้องนาง
ข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วเมืองต้าซู ผู้คนต่างเชื่อในสิ่งที่ได้ยินกันมาและไม่รู้ว่าความจริงเบื้องหลังเหตุการณ์นี้เป็นอย่างไร พวกเขาก็ด่วนสรุปว่าซูหลี่เป็นคนผิด กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งยังไปที่บ้านตระกูลซูเพื่อไปขอขมาทุกวัน
หลังได้ยินดังนั้น นายใหญ่ตระกูลซูก็ลมจับเพราะแรงโทสะ คนจำนวนมากจึงส่งยาบำรุงมาให้กับตระกูลซู ท่านย่าซู/ฉุยรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง นางคิดว่าตระกูลหยางทำงานได้ดี พวกเขาไม่เพียงแต่กู้สถานการณ์ได้แล้วยังสร้างความอับอายให้กับหนิงอวิ๋นจื่อ ช่างน่าตื่นเต้นยิ่งนัก
ภายในเรือนในหุบเขา ฉู่ชิงหนิงเปิดประตูตึกไม้ไผ่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ซูหลี่ เจ้ารู้ข่าวแล้วหรือยัง?!”
ซูหลี่เล่นขวดยาพลางเอ่ยตอบ “รู้สิ”
“ทำไมเจ้าถึงไม่ทำอะไรเลยล่ะ?” ฉู่ชิงหนิงโกรธจัดจนใกล้จะเป็นบ้า “ตระกูลหยางช่างน่ารังเกียจนัก! ข้าจะปล่อยแมลงพิษกัดกินใจนับแสนใส่พวกมัน!”
“หยุดนะ!”
ซูหลี่เอ่ยเสียงเย็นจนทำให้ฉู่ชิงหนิงชะงักอยู่กับที่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินซูหลี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกเช่นนี้ เขาค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองดวงตาเย็นชาของซูหลี่ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาราวกับอยู่ในโลกที่มีแต่น้ำแข็งและหิมะ
“เดี๋ยวก่อน….” น้ำเสียงของซูหลี่สั่นเครือ “ข้าเหนื่อยกับตระกูลหยางแล้ว”
นับตั้งแต่ที่นางถือกำเนิดอีกครั้ง นางก็มีความสุขกับการกลั่นแกล้งตระกูลซู แต่ในเมื่อตระกูลหยางเข้ามายุ่ง ตระกูลซูก็ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายควบคุมนางอยู่กลาย ๆ ในครั้งแรกนางรู้สึกสดใหม่ ในครั้งที่สอง นางกลับเหนื่อยหน่ายกับพวกมัน…
“ถ้างั้นเจ้าจะรออะไรล่ะ? ตระกูลหยางไม่มีแม้กระทั่งผู้อาวุโสที่มีพลังยุทธ์แก่กล้าแม้แต่คนเดียว ข้าสามารถฆ่าพวกมันได้หมดด้วยตัวคนเดียว!” ฉู่ชิงหนิงร้อนใจอย่างยิ่งแต่ซูหลี่ก็ยังส่ายหน้า
“ข้ายังไม่รู้ว่าจะจัดการพวกมันด้วยวิธีไหน รอก่อนเถอะ…”
หา?
ฉู่ชิงหนิงอ้าปากหวอแต่ไม่พูดอะไรออกมา
ซูหลี่หมายความเช่นนั้นจริง ๆ ยามที่นางพูดว่า รอก่อน !
“เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยนี้หรอก” ซูหลี่หยิบกิ่งไม้ข้างโต๊ะขึ้นมาแล้ววาดฉวัดเฉวียนไปในอากาศ “ตอนที่เราอยู่แคว้นชิงเหอ หรือในอวิ๋นจิง…ศัตรูของเราคงจะไม่ใช่บุคคลเล็ก ๆ แบบนี้ เราอาจจะไปปะทะกับคนใหญ่คนโตอย่างกลุ่มหยินโม่เข้า เจ้าต้องเตรียมพร้อมไว้สำหรับเรื่องนั้น”
ฉู่ชิงหนิงอึ้งไปเล็กน้อยและพยักหน้าอย่างสงบในทันที
พวกเขาอยู่ร่วมทุกข์สุขด้วยกันมาหลายเดือน แม้เขาจะรู้ว่าการกระทำของหญิงสาวจะประหลาดและร้ายกาจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เชื่อว่าตราบใดที่เขาติดตามนาง เขาก็จะสำเร็จในวันหนึ่ง!
บางทีมันอาจเป็นทางเดียวเท่านั้น…ที่จะหานางพบ
ทันใดนั้นฟ่างหลิงกับเฮยตานก็วิ่งมาหาพวกเขาด้วยอาการตื่นตูม “เกิดเรื่องร้ายขึ้นแล้ว! พี่หญิงหลี่ แม่บ้านหลี่ถูกคนจากทางการจับตัวไปขอรับ!”
ซูหลี่หรี่ตาลงและเอ่ยเสียงทุ้ม “เกิดอะไรขึ้น?”
“ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเองเจ้าค่ะ!”
ฟ่างหลิงค้อมศีรษะลง “ข้าชวนแม่บ้านหลี่ไปซื้อผักด้วยกันกับข้าในวันนี้ แม่บ้านหลี่แต่งตัวจนเราคิดว่าไม่มีใครจำนางได้ แต่นางก็ถูกจับได้และถูกทหารคุมตัวไว้ จากนั้นเฮยตานกับข้าถึงได้รีบกลับมาเจ้าค่ะ!”
ซูหลี่วางกิ่งไม้ลงและยืนขึ้น นางเดินออกไปโดยไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้น
ฉู่ชิงหนิงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที “อย่าไปนะ! บางทีเจ้าอาจเป็นเป้าให้พวกมันจับตัวแม่บ้านหลี่ก็ได้!”
ซูหลี่ทำหูทวนลมแล้วหยิบหมวกไม้ไผ่ขึ้นมาสวม จากนั้นนางก็หายไปในหุบเขาภายในชั่วพริบตาเดียว
ฉู่ชิงหนิงรีบตามไปอย่างร้อนใจ ฟ่างหลิงรีบเข้าไปในเรือนแล้วก็เห็นว่าฟ่างหยวนกำลังฝึกวรยุทธ์อยู่
ซูหลี่เข้ามาในเมืองและเห็นว่าตรงด้านหน้าตึกไป๋เว่ยมีคนอยู่จำนวนมาก นางเบียดตัวเข้าไปในฝูงชนเงียบ ๆ และเห็นว่าแม่บ้านหลี่ถูกทหารทั้งหลายกดตัวไว้จนคุกเข่าหมอบบนพื้น นางหรี่ตาลงแต่ไม่ได้ก้าวเดินออกไป
“ซูหลี่เป็นหญิงชั่วช้าที่ทำลายคนดี ๆ นางคือความอับอายของเมืองต้าซู! ดังนั้นเจ้าเมืองหลี่จึงสั่งลงโทษนางในข้อหาผิดประเวณีและออกคำสั่งว่านางต้องถูกนำตัวมาตัดสินความยุติธรรมในทันที! ใครก็ตามที่รู้ว่าซูหลี่อยู่ที่ไหนก็จงรายงานต่อทางการเสีย แม่บ้านหลี่ยังอยู่ในเมืองต้าซู ดังนั้นแล้วซูหลี่ต้องอยู่ใกล้ๆ แน่นอน ซูหลี่ ถ้าเจ้าไม่แสดงตัวในวันนี้ แม่บ้านหลี่จะต้องทรมานจากการถูกโบยหนึ่งวัน เจ้าคิดให้ดี ๆ ซะ!”
เมื่อกุนซือตะโกน บรรดาคนดูก็อุทานด้วยความตกใจทันที แต่ไม่มีใครกล้าแก้ต่างในเรื่องของซูหลี่
“นางก่ออาชญากรรมเรื่องนี้เอง หากซูหลี่ถูกจับกุม นางจะถูกขังอยู่ในกรงหมู ต่อให้นางไม่ตายก็คงพิการแน่แท้!”
“แม่บ้านหลี่รับใช้นายผิดคน ช่างโชคร้าย…”
“ฮ่า ๆ ซูหลี่ นางแพศยา เจ้าสมควรได้รับโทษแล้ว!”
“คนอย่างซูหลี่หรือจะเป็นห่วงชีวิตของคนรับใช้? ข้าเกรงว่านางคงจะหนีไปแล้ว แม่บ้านหลี่ช่างน่าสงสาร…”
ฉู่ชิงหนิงมองหาซูหลี่ในฝูงชนด้วยความร้อนใจ หลังได้ยินประกาศจากทางการ เขาก็เป็นเดือดเป็นแค้นอยู่ในใจ “ซูหลี่ เจ้าอย่าทำอะไรโง่ๆ เลยนะ…”
“นางอยู่นั่น!”
ในที่สุด ฉู่ชิงหนิงก็เห็นซูหลี่ นางอยู่ตรงหน้าฝูงชน เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและดันฝูงชนออกก่อนไปหานาง แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นซูหลี่ก้าวเท้าไปข้างหน้าและถอดหมวกไม้ไผ่ออก
ไม่นะ!
“ท่านกำลังตามหาข้าอยู่หรือ?” ซูหลี่ถามเสียงเรียบ สีผมของนางดำราวกับน้ำหมึก ดูราวกับเทพธิดาผู้ไม่เคยอยู่ในโลกมนุษย์ “ปล่อยตัวแม่บ้านหลี่เสีย แล้วข้าจะไปกับท่าน”
เห็นซูหลี่แล้ว กุนซือพลันมีท่าทีประหลาดใจพร้อมกับดวงตาฉายแววหื่นกระหาย
“ซูหลี่ ดีแล้วที่เจ้าแสดงตัวด้วยตัวเอง เจ้าเมืองหลี่อาจใจกว้างพอที่จะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ก็เป็นได้!” กุนซือออกคำสั่งแก่ทหาร “จับตัวซูหลี่ไว้แล้วนำนางกลับไปที่จวนว่าการ!”
เมื่อซูหลี่เห็นกองทหารกรูเข้ามาหานาง นางรีบถอยหลังแล้วตะโกนออกมา “ทำไมท่านถึงไม่ปล่อยตัวแม่บ้านหลี่? ผู้ปกครองบ้านเมืองอันทรงเกียรติก็ตระบัดสัตย์เหมือนกันหรือ?”
สีหน้าภาคภูมิของกุนซือแข็งค้างไป จากนั้นเขาก็โบกมืออย่างร้อนรนสั่งให้พวกเขาปล่อยตัวแม่บ้านหลี่
สาวน้อยผู้นี้มีชีวิตอยู่ใกล้ความตายแล้วแต่ยังกล้าเอ่ยวาจาโอหัง ท่านเจ้าเมืองจะต้องลงโทษนางอย่างสาหัสแน่หากพวกเขาไปถึงจวนว่าการ แล้วท่านเจ้าเมืองก็อาจจะใจดีพอที่จะให้ผลกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเขา!
คิดเช่นนี้แล้ว สายตาของกุนซือก็กวาดมองส่วนสัดเย้ายวนของซูหลี่พร้อมกับกำหนัดที่แรงกล้าขึ้น
“คุณหนู!”
แม่บ้านหลี่ถูกปล่อยตัวแล้วก็รีบถลาเข้าไปหาซูหลี่ทันที นางคว้าแขนเสื้อของซูหลี่ไว้พร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า ริมฝีปากสั่นระริก “ท่านไม่ควรมาที่นี่นะเจ้าคะ! พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกัน ถ้าท่านถูกจับท่านจะต้องตาย! ท่านไปไม่ได้นะเจ้าคะ!”
ซูหลี่ดึงมือแม่บ้านหลี่ออกด้วยท่าทางล่องลอยและกระซิบ “ไปอยู่กับพวกเขาเถอะ ข้าไม่เป็นไรหรอก”
แม่บ้านหลี่พลันตระหนักได้ว่าพวกเขายังมีฟ่างหยวนกับสหายคนอื่นๆ อีก “เจ้าค่ะ ข้าจะไปตามท่านฟ่างมาช่วยคุณหนู!”
นางรีบวิ่งฝ่าฝูงชนหายไปทันที คนรอบด้านต่างมีท่าทางเหยียดหยามพวกนาง
เหล่าทหารกรูเข้ามาหาซูหลี่และกำลังจะพานางไปจวนผู้ว่าการ ซูหลี่ย่นคิ้วและแค่นเสียงเย็นชา “อย่ามายุ่ง! ข้าเดินเองได้!”
กิริยาน่าเกรงขามอยู่ในทีของนางได้แสดงออกมาจนกลุ่มทหารอึ้งไปเล็กน้อย พวกเขายั้งมือไว้
เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น กุนซือก็รู้สึกโมโหขึ้นมา เขาตะโกน “ซูหลี่ เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูสองของตระกูลซูอยู่อีกงั้นหรือ? ในเมื่อเจ้าไม่อยากถูกลากตัวไป…งั้นก็ใส่ตะแลงแกงให้นางซะ!”
เคร้ง…
ทหารสองคนรีบมาพร้อมกับแผ่นไม้กระดานสองแผ่น เมื่อแผ่นไม้ทั้งสองประกบกัน มันก็ได้ขังลำคอและมือทั้งคู่เอาไว้ จากนั้นคน ๆ นั้นก็จะถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนเหมือนสุนัขที่ถูกคนอื่นลากจูง
กุนซือสั่งให้ซูหลี่สวมตะแลงแกงอันน่าอัปยศนี้!
เมื่อฉู่ชิงหนิงกับฟ่างหยวนเห็นดังนั้นในฝูงชน ดวงตาของทั้งคู่ก็พลันแดงก่ำและไม่อาจทนได้อีกต่อไป ในตอนนั้นพวกเขาก็พุ่งตัวออกไปหมายจะสังหาร!
แต่ทันใดนั้นเอง!
ถนนในเมืองพลันสั่นสะเทือนรุนแรง พร้อมกับเสียงม้าควบเหยาะดังขึ้นเรื่อย…
คอมเม้นต์