การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 102
LS ตอนที่ ๑๐๒
หลังหายจากอาการตื่นตระหนกแล้ว ซูฮ่วนหลี่ก็มองซูหลี่ต่างจากเดิม เขาดูมีความสุขและภาคภูมิใจนัก ด้วยไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ ซูหลี่จะมีหน้าที่การงานที่ดียิ่งกว่าพี่ชายคนโตของนาง
แต่แน่นอน หากเขารู้ว่าในครั้งนี้เขาถูกซูหลี่ขู่กรรโชกทรัพย์ไปหกแสนชั่งและที่ดินอีกสองผืน เขาก็คงจะอยากสังหารนางเป็นแน่
“อาหลี่ เมื่อเจ้าไปที่โรงเรียนสตรีชิงเหอแล้ว จงมานะอุตสาหะให้มากและอย่าทำให้ตระกูลซูของเราเสียชื่อนะ!”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ!”
ภาพในเรือนจินหยวนดูช่างกลมเกลียวยิ่งนัก ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องเข้าใจผิดระหว่างบิดาและบุตรสาวแล้ว
เมื่อข่าวแพร่กระจาย ผู้คนในเมืองทุกคนต่างก็รับรู้ว่าซูหลี่ได้เป็นอาจารย์หญิงแห่งโรงเรียนสตรีชิงเหอ หลี่ซานเป่าถูกควบคุมตัวเป็นการชั่วคราว หนิงฉิงแปะกฤษฎีกาจากเจ้าผู้ครองมณฑลไว้บนป้ายประกาศ ทุกวันจะมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนแม้กระทั่งคนจากเมืองใกล้เคียงแวะเวียนมาดู!
เจ้าผู้ครองมณฑลนับว่ามีตำแหน่งสูงที่สุดในมณฑลชิงเหอ ผู้คนทั้งหมดต่างอยากมาดูกฤษฎีกาที่เขาเป็นผู้เขียน!
ด้วยกฤษฎีกานี้เอง ชื่อเสียงของซูหลี่ก็ขจรขจายไปไกล ตระกูลเม่ยเองก็ได้รับข่าวในเย็นวันนั้น
“คุณหนู! คุณหนู! ข่าวดีเจ้าค่ะ!”
อากั่ววิ่งมาจากด้านนอกเรือนด้วยอาการลิงโลดสุดขีด
เม่ยรั่วหานย่นคิ้วและเอ่ยถาม “เรื่องนี้เกี่ยวกับหลี่หรือเปล่า?”
สำหรับนางแล้ว ข่าวดีที่ไม่เกี่ยวข้องกับซูหลี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ตระกูลหยางช่างชั่วช้าจนกระทั่งกิจการของครอบครัวนางได้รับผลกระทบ ตระกูลหยางต้องการบีบให้นางยอมรับผิด นางไม่ยอมรับว่าตัวนางผิด ทำให้หลายคนในตระกูลของนางรู้สึกไม่พอใจ
ตอนนี้ซูหลี่เป็นอย่างไรบ้างนะ? ตระกูลซูคงไม่ได้ปกป้องนางแน่…
“คุณหนู เป็นเรื่องของคุณหนูซูหลี่เจ้าค่ะ!”
อากั่วเอ่ยอย่างตื่นเต้น สีหน้าของเม่ยรั่วหานสดใสด้วยความตื่นเต้นทันที นางเอ่ยตอบ “ข่าวดีเรื่องอะไรหรือ? บอกข้าตอนนี้เลย!”
ขณะที่อากั่วกำลังจะบอก เสียงหวานเสียงหนึ่งพลันดังจากประตู
“อาหาน ข่าวดีจ้ะ!”
สตรีผู้ดูงดงามร่ำรวยปรากฏตัวจากด้านนอก นางเอ่ยด้วยท่าทางใจดี “ซูหลี่สหายของเจ้าได้เป็นศิษย์ของโรงเรียนสตรีชิงเหอแล้ว นางโชคดีเหลือเกิน”
“ท่านป้าสี่”
เม่ยรั่วหานยืนขึ้นทำความเคารพ แต่ดวงตาฉายแววรังเกียจเล็กน้อย นางจำได้ว่าไม่กี่วันมานี้ ท่านป้าสี่กล่าวว่านางได้ผูกมิตรกับคนชั่วและไม่ได้มีสายตากว้างไกล อีกทั้งนางยังเป็นคนบาปของตระกูลเม่ย ช่างรวดเร็วเกินไปนักที่ท่านป้าสี่กลับคำพูดตนเอง
“นายหญิง ท่านพูดผิดแล้วเจ้าค่ะ!” อากั่วเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้าได้ยินชัดเจนว่าซูหลี่เป็นอาจารย์ของโรงเรียนสตรีชิงเหอ เหตุใดนางถึงกลายเป็นศิษย์โรงเรียนสตรีชิงเหอไปล่ะเจ้าคะ?”
สตรีท่าทางร่ำรวยพลันรู้สึกโมโห นางเอ่ยแหว “อย่าขัดข้า! อาหาน ดูสาวใช้เอาแต่ใจของเจ้าสิ บางทีสักวันหนึ่งนางคงจะเหยียบหัวข้าได้แล้ว เจ้าต้องลงโทษนางนะ”
เม่ยรั่วหานยกยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยเสียงเย็น “สาวใช้ของข้า ข้าจัดการเองได้เจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องพูดเรื่องนี้หรอก”
สีหน้าของท่านป้าสี่เปลี่ยนไปเล็กน้อยและนางก็รีบเอ่ยขึ้นมา “ช่างเถอะ นิสัยเจ้าเหมือนกับพ่อเจ้าไม่มีผิด ข้าไม่สนเจ้าหรอก ข่าวลือก็ว่าเกินไป ซูหลี่เป็นแค่สาวแรกรุ่น นางไม่อาจเป็นอาจารย์ของโรงเรียนสตรีชิงเหอได้หรอก เป็นไปไม่ได้!”
ท่านป้าสี่แสร้งทำเป็นหดหู่และเอ่ยขึ้น “นางประสบความสำเร็จขนาดนี้ แต่ดูเจ้าสิ? เรื่องที่เจ้าถูกไล่ออกจากโรงเรียนสตรีมู่หยางยังไม่จบนะ หากเจ้าไม่ยอมขอโทษ ตระกูลเม่ยของเราก็จะเดือดร้อนไปกับเจ้าด้วย เจ้าต้องคิดเรื่องนี้ให้ดี ๆ”
“ข้าไม่ผิด ทำไมข้าจะต้องขอโทษด้วยล่ะเจ้าคะ?” เม่ยรั่วหานเอ่ยเคืองขุ่น “แม้แต่ท่านพ่อก็ยังสนับสนุนข้า แต่ท่านกลับกระตือรือร้นที่จะมาที่นี่ถึงเพียงนี้ ท่านได้ผลประโยชน์บางอย่างจากตระกูลหยางมาหรือเปล่าเจ้าคะ?”
สีหน้าของท่านป้าสี่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน นางเอ่ยตอบ “จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ? อาหาน เจ้าจะกินอะไรก็ได้แต่เจ้าจะพูดจาเพ้อเจ้อไม่ได้นะ! ข้าเป็นห่วงตระกูลของข้ามากนัก และข้าก็ไม่เคยช่วยเหลือคนอื่น”
ในตอนนี้ พ่อบ้านเก่าแก่ได้เดินมาจากเรือนและเอ่ยรัวเร็วด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข “คุณหนู ตามข้าไปที่เรือนใหญ่เถิดขอรับ คนจากทางการมณฑลชิงเหอมาที่บ้านของเราแล้ว!”
ดวงตาคู่งามของเม่ยรั่วหานเบิกกว้าง นางเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออกจากนั้นก็มีท่าทางยินดี และรีบเดินออกจากห้องในทันที
“ทำไมคนจากทางการมณฑลชิงเหอถึงมาที่บ้านของเราล่ะ? เป็นไปไม่ได้ ข้าต้องไปดูแล้ว!”
ท่านป้าสี่ตะลึงไปและรีบเดินตามพวกนางไปอย่างเร็วรี่
ภายในเรือนใหญ่ หัวหน้าตระกูลเม่ยมองดูเหล่าคนหนุ่มที่มาหาอย่างไม่คาดคิดด้วยรอยยิ้ม เขาเป็นคนรอบรู้และรู้จักตัวตนของชายหนุ่มเหล่านี้ตรงหน้าเขา พวกเขาจะต้องเป็นคนสนิทที่ไว้ใจได้ของเจ้าผู้ครองมณฑลและมีฐานะน่านับถือ แต่ตอนนี้พวกเขากลับมาที่บ้านของเขาอย่างกะทันหัน…
เขาเพิ่งได้รับข่าวจากเมืองต้าซู แต่คนเหล่านี้กลับมาหาก่อนที่เขาจะได้รับข่าวเสียอีก เมื่อถามถึงความประสงค์ในการมาเยือน ก็ไม่มีใครสนใจเขาเลย พวกเขากลับกล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่าว่าต้องการพบบุตรสาวของเขา เม่ยรั่วหาน
เขาเดาว่าจะต้องเกิดเรื่องราวบางอย่างและเป็นเรื่องที่ดี เขาเกรงว่าหลังจากเเสดงความรู้สึกออกไปแล้ว ตนเองคงจะผิดหวัง
ในตอนนี้ เม่ยรั่วหานก็ได้เข้ามาในเรือนและเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
หัวหน้าตระกูลเม่ยรีบลุกขึ้น เขากุมมือนางไว้และกล่าวตอบ “อาหาน มานี่และทำความเคารพเจ้าหน้าที่ทางการชิงเหอเสีย!”
ผู้เป็นหัวหน้ายืนขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูเม่ยไม่จำเป็นต้องทำความเคารพเราหรอกขอรับ เรามาที่นี่เพื่อรายงานข่าวของท่านอาจารย์ซู”
ซู…ท่านอาจารย์ซู?
เม่ยรั่วหานตกตะลึงไปและอีกไม่นานก็รู้สึกดีใจ นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ซูหลี่?! นางได้เป็นอาจารย์ของโรงเรียนสตรีชิงเหอแล้วจริง ๆ หรือ?”
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวต่อ “อาจารย์ของโรงเรียนสตรีชิงเหอจะรับศิษย์เพียงตำแหน่งเดียวในทุกปี หลังจากที่ท่านอาจารย์ซูรู้ข่าวแล้ว นางก็แนะนำคุณหนูเม่ยในทันที จงเตรียมตัวให้พร้อมในสองสามวันนี้เถอะขอรับ หลังจากนั้นสามวันท่านจงไปโรงเรียนสตรีชิงเหอกับเรา หากมีสิ่งใดไม่สะดวกใจก็โปรดอย่าลังเลที่จะบอกข้าเลย”
เม่ยรั่วหานงุนงงในทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่งดวงตาของนางก็พร่ามัว นางร้องไห้กอดเอวของหัวหน้าตระกูลเม่ย
หัวหน้าตระกูลเม่ยถอนหายใจเบา ๆ และยิ้มด้วยความโล่งใจ ตอนนี้สาวน้อยของเขาได้รับแรงกดดันมากเหลือเกิน
ชายหนุ่มหัวเราะออกมามากขึ้น เขาคิดว่านี่เป็นนิสัยของสาวน้อยแรกแย้ม ส่วนซูหลี่นั้น…ยามที่เขานึกถึงสีหน้าสงบนิ่งของอีกฝ่ายหลังได้รับข่าวดี เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ให้ชายสองคนเป็นผู้คุ้มครองของเม่ยรั่วหาน จากนั้นเขาก็เดินออกไป ท่านป้าสี่ได้ยินพวกเขาคุยกันอย่างชัดเจนที่ประตูแล้ว นางก็ยืนนิ่งด้วยอาการงงงันและความรู้สึกซับซ้อน
ข่าวลือกลับกลายเป็นเรื่องจริง สาวน้อยอายุสิบห้าปีไม่เพียงแต่ได้เป็นอาจารย์ของโรงเรียนสตรีชิงเหอทั้งยังรับเม่ยรั่วหานเข้าศึกษา เรื่องดีเช่นนี้ ทำไมไม่เกิดขึ้นกับอาหนิงบุตรสาวของนางนะ?
เมื่อนึกถึงสัญญาระหว่างนางกับโรงเรียนสตรีมู่หยาง นางก็รู้สึกเศร้าใจ เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะส่งอาหนิงเข้าโรงเรียน
สามวันถัดมา ซูหลี่อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลซูและไม่ออกไปไหน ฐานะของนางในไป๋เฉาถังไม่อาจถูกเปิดเผยได้ หากฉีเซี่ยนชิงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยจะต้องเกิดปัญหาหลายอย่าง เรือนในหุบเขาก็ไม่อาจถูกเปิดเผยได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นแล้วสิ่งที่นางทำก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป
โชคดีที่พวกเขามีที่พักอาศัยในมณฑลชิงเหอ ฉู่ชิงหนิงกับฟ่างหยวนจึงสามารถซ่อนตัวในหุบเขาได้และขนสมบัติทั้งหมดของพวกเขาไปที่มณฑลชิงเหอเพื่อตามหานาง
ในเช้าวันที่สี่ รถม้าขนาดใหญ่ได้จอดอยู่ตรงหน้าเมืองต้าซู คนจำนวนมากตื่นแต่เช้าเพื่อมาส่งซูหลี่ พวกเขามีความรู้สึกผิดเต็มอกแต่ไม่รู้ว่าจะขอโทษนางอย่างไร พวกเขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะขอโทษและทำได้เพียงเอ่ยอำลากับซูหลี่
เม่ยรั่วหานปีนลงจากรถม้า นางไม่เห็นหน้าซูหลี่ไม่กี่วัน แต่กลับให้ความรู้สึกว่ายาวนานนัก เมื่อนางเห็นซูหลี่ยิ้ม นางก็ร้องไห้ออกมาทันที อากั่วเองก็ร้องไห้เช่นกัน
ซูหลี่ลูบศีรษะเล็กของเม่ยรั่วหานและยิ้มหวาน เมื่อนางยิ้ม ก็ดูราวกับว่ามวลผกากำลังเบ่งบานเต็มที่ บรรดาทหารชั้นสูงทั้งหมดต่างตกอยู่ในมนต์สะกดจนเหงื่อไหลโซมกาย
พวกเขาทั้งหมดรู้ว่าซูหลี่เป็นผู้รอบร้อ แต่ไม่ได้คิดว่านางมีความงามถึงเพียงนี้ พวกเขาต่างหลงใหลไปกับรูปโฉมของนาง
“ไปกันเถอะ”
หนิงฉิงเหลือบมองผู้คนจากเมืองต้าซูและกระทุ้งเท้าเข้ากับท้องม้าเบา ๆ จนมันส่งเสียงร้องในทันที
เมื่อรถม้าเคลื่อนจากไป ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังมาจากฝูงชน
“แม่นางซูหลี่ เดินทางปลอดภัย!”
“แม่นางซูหลี่ ข้าขอโทษ!”
“เรา…จะไม่เชื่อข่าวลืออีกแล้ว!”
“แม่นางซูหลี่ รักษาตัวเองด้วย!”
“…”
เสียงเบื้องหลังพวกนางลอยไกลออกไปและดังมากขึ้น จากนั้นมันก็ทุ้มแผ่วลงเรื่อย ๆ ดวงตาของเม่ยรั่วหานเปียกชื้น นางกุมอกแน่นด้วยคลื่นอารมณ์หลากหลาย ราวกับมีลาวาร้อนไหลอยู่ในใจ
ซูหลี่หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาของนางไม่เปลี่ยนไปเลย และนางก็ค่อย ๆ เลิกม่านขึ้นมองทัศนียภาพด้านนอกที่ผ่านตา
ในที่สุดก็คงเริ่มแผนการขั้นแรกได้แล้ว!
…
หนิงฉิงรู้ว่าซูหลี่กับเม่ยรั่วหานเป็นคนธรรมดา พวกเขาจึงเดินทางอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งถึงเที่ยงวันของวันถัดไปพวกเขาจึงได้มาถึงหน้าประตูมณฑลชิงเหอ เมื่อทหารรักษาการณ์เห็นสัญญาณของมณฑลชิงเหอ พวกเขาก็รีบเปิดประตูให้
เม่ยรั่วหานเอนกายพิงหน้าต่างและมองไปรอบ ๆ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นจนเอ่ยขึ้น “หลี่! เมืองชิงเหอช่างใหญ่โตนัก มีชีวิตชีวามากด้วย! ดูที่ภัตตาคารสิ มันสูงเหลือเกิน มีตั้งห้าชั้นแน่ะ!”
ซูหลี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางเห็นตราสีทองบนชั้นห้า เป็นตราบ้านเทียนหยา!
เม่ยรั่วหานพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ชายหนุ่มข้างรถม้าถึงกับลอบหัวเราะในใจ สาวน้อยนามเม่ยรั่วหานคนนี้ช่างน่ารักยิ่งนัก
รถม้าเคลื่อนผ่านเมืองชิงเหอและหยุดอยู่ตรงหน้าประตูโรงเรียนชิงเหอทางทิศตะวันตกของเมือง ในการเป็นสถานศึกษาที่สำคัญที่สุดของมณฑลชิงเหอ บริเวณโรงเรียนชิงเหอจึงกินพื้นที่เมืองทางตะวันตกไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือเมืองบริวารที่ตั้งอยู่ในใจกลางของโรงเรียนชิงเหอ ผู้อาศัยส่วนใหญ่ของที่นี่ล้วนเป็นศิษย์ของโรงเรียน พวกเขากำลังเข้าโรงเรียนหรือไม่ก็ทำบททดสอบแรก
ซูหลี่เหลือบเห็นโรงเตี๊ยมและโรงแรมผ่านหางตา ความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในใจ นางคิดว่าเมื่อสิบเดือนก่อน พี่ชายคนโตของนางก็น่าจะอาศัยอยู่ในโรงแรมเหล่านี้สักแห่งเพื่อรอบททดสอบแรกเช่นกัน
หลังจากรถม้าหยุดเคลื่อนที่ บรรดาทหารชั้นสูงก็จากไปจนเหลือแต่หนิงฉิง ซูหลี่ แม่บ้านหลี่ และอากั่วเท่านั้น แม่บ้านหลี่กับอากั่วถือสัมภาระของพวกนางพลางมองอักษรสีทองที่เขียนว่า โรงเรียนชิงเหอ ขนาดสูงหลายจั้งด้วยความรู้สึกซับซ้อน
“ต้องขอบคุณแม่นางซูหลี่นะเจ้าคะ ข้าถึงสามารถมาถึงสถานที่แห่งนี้ได้ในวันหนึ่ง ข้าไม่ได้คาดฝันเลย” อากั่วตกอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้มและพลันมองแม่บ้านหลี่ข้างกายนาง สีหน้าของแม่บ้านหลี่ดูแปลกไป
สีหน้าของแม่บ้านหลี่ดูแปลกไปนัก! ดูเหมือนนางกำลังมองไปที่บางสิ่งบางอย่าง นางเคยมาที่นี่แล้วงั้นหรือ?
ดวงตาของแม่บ้านหลี่คลอหยาดน้ำตา หัวใจเต้นแรงจนดูเหมือนจะกระดอนออกมา
“อดีตนายหญิง ข้าไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง อดีตนายหญิง ข้าเสียใจจริง ๆ เจ้าค่ะที่สูญเสียคุณหนูน้อยไป…”
หนิงฉิงเดินนำซูหลี่และคนอื่น ๆ ไปยังประตูข้างประตูบานหลัก เมื่อทหารรักษาการณ์เห็นหนิงฉิง พวกเขาก็รีบค้อมศีรษะลงทำความเคารพ “อาจารย์หนิง”
ซูหลี่ประหลาดใจ
“ดูแปลกนักหรือ?” หนิงฉิงเอ่ยถามโดยไม่หันหลังกลับมามอง “เดิมข้าเป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ เป็นเพราะบิดาข้า ข้าจึงไปอยู่ที่โรงเรียนมู่หยาง ต้องขอบคุณเรื่องนี้แท้ ๆ ไม่เช่นนั้นข้าก็ยังคงอยู่ที่เมืองมู่หยางแล้ว”
ซูหลี่กระพริบตาและเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์หนิง…มีตำแหน่งอะไรที่นี่หรือเจ้าคะ?”
หนิงฉิงยิ้มบางและเอ่ยตอบ “แล้วเจ้าจะรู้ในภายหลังเอง ไปกันเถอะ ข้าจะพารั่วหานเข้าสู่กระบวนการสอบเข้า”
เม่ยรั่วหานรู้สึกประหลาดใจและกระวนกระวายเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงการบ้านที่นางทำเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ดวงตาของนางก็ฉายแววมั่นใจอีกครั้ง
เมื่อผู้คุมแผนกคุมสอบเข้าผู้มีใบหน้าซีดมองเห็นหนิงฉิงเดินมา เขาก็พลันยิ้มและเอ่ยขึ้น “อาจารย์หนิง ไม่ได้พบท่านเสียนาน ท่านพานักเรียนชั้นเยี่ยมกลับมาอีกสองคนด้วยหรือ? เป็นเรื่องที่ผิดกฎนะขอรับ กฎย่อมเป็นกฎ ท่านฝากศิษย์ได้เพียงคนเดียวต่อปีนะขอรับ”
หนิงฉิงชี้ไปที่ซูหลี่แล้วเอ่ยตอบ “ท่านผิดแล้ว นางคือนักเรียนที่อาจารย์ซูจะขอฝากเข้า นางไม่คุ้นเคยกับระบบสอบ ข้าจึงมาช่วยนาง”
คอมเม้นต์