การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 26
ตอนที่ ๒๖
“นั่นคือพรสวรรค์! ชิงฮ่าว พี่สาวสองของเจ้ามีพรสวรรค์อย่างมากในการคัดหนังสือเท่าที่ข้าเคยเห็นเลย บางทีนางอาจเป็นนักคัดหนังสือได้ในภายภาคหน้าด้วยลักษณะของนางแล้ว เจ้าต้องเรียนรู้ให้หนักจากนางนะ”
ฉีเซี่ยนชิงตักเตือนพลางหัวเราะ และซูชิงฮ่าวก็จ้องมองลายมือของพี่สาวสองและนึกชื่นชมในใจ ช่างโชคร้ายที่สตรีไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนวรยุทธ์ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงท้าประลองกับพี่สาวสองแล้ว
“อาจารย์ฉี ท่านคงล้อเล่นแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นแค่ผู้เริ่มเรียนเท่านั้นและยังต้องเรียนรู้อีกมาก”
“พี่สาวสอง ท่านถ่อมตนเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านฝีมือดีพอๆ กับพี่ใหญ่ของเราเลยขอรับ…”
“ฮ่าๆ ชิงฮ่าว เจ้าเด็กน้อย…”
ทั้งสามคุยกันอย่างมีความสุข ทิ้งซูจื่อเผยไว้เพียงลำพังราวกับว่านางไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย ดวงตาของนางเป็นสีแดงก่ำอีกครั้ง
“ไม่เห็นเหมือนกับที่ท่านแม่บอกข้าเลย ท่านแม่บอกว่าข้ายอดเยี่ยมที่สุด แต่ทำไมพี่สาวสองถึงดีกว่าข้า ทำไมน้องชายสี่ถึงไม่ชื่นชมข้า? มันไม่เห็นเหมือนกับที่ท่านแม่บอกข้าเลย…”
“พวกท่านล้วนเป็นคนไม่ดี ข้าไม่อยากพูดกับพวกท่านอีกแล้ว ข้าจะไปหาท่านแม่ข้า!”
ซูจื่อเผยจากไปพร้อมกับร้องไห้ ทิ้งซูชิงฮ่าวกับซูเอ้อร์หยาที่มีใบหน้าฉายแววตะลึงงันทั้งคู่
ฉีเซี่ยนชิงลูบเคราขาวพลางคลี่ยิ้ม เขารู้ว่าซูจื่อเผยก็เหมือนกับแม่ของนาง นางยังเด็กแต่กลับต้องการฆ่าพี่สาวด้วยตัวเอง เห็นชัดว่าสันดานของนางเป็นคนโหดร้าย เขาจะสอนสาวน้อยอำมหิตแบบนี้ให้รู้วิชาได้อย่างไร? นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงบีบให้นางออกไป
“ท่านแม่…ท่านแม่เจ้าคะ!” ซูจื่อเผยร้องไห้และวิ่งเข้ามาจากด้านนอก เห็นจูเหยียนแล้วนางก็ร้องไห้งอแงหนักขึ้นและพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของมารดา
“เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ? ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้ใจเย็นเมื่อเกิดอะไรขึ้น ร้องไห้แล้วจะมีประโยชน์อะไร? กลั้นไว้!”
จูเหยียนตำหนินางอย่างแรงและถอนใจ ตอนนี้ทุกอย่างดูผิดเพี้ยนไปหมด เทพเจ้าต้องขัดขวางนางไว้แน่ ทุกอย่างที่นางต้องการให้สำเร็จกลับพังไม่เป็นท่าและยังพาปัญหามากมายมาให้นางอีกด้วย
“ท่านแม่ ท่านอาจารย์บอกว่าลายมือของข้าน่าเกลียดเหลือเกิน เขาก็เลยไม่อยากสอนข้า แล้วข้าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนด้วยเจ้าค่ะ”
ปั้งง!
จูเหยียนตบมือกับโต๊ะน้ำชาจนถ้วยชาสั่นเกิดเสียงกังวาน
“ฉีเซี่ยนชิง แกล้ำเส้นข้ามากเกินไปแล้วนะ!”
นางโมโหขึ้นมาและคิดในใจ “เห็นชัดว่าข้ายอมความแล้ว แต่แกก็ช่างตะกละเหลือเกิน แกคิดว่าจะท้าทายข้าได้ง่ายๆ งั้นเรอะ?”
จูเหยียนโมโหจัด นางลุกขึ้นและเดินออกไป เมื่อนางไปถึงประตู นางก็นึกถึงคำแนะนำของซูฮ่วนหลี่ขึ้นมา เมื่อจำได้ว่าช่วงเวลานี้นางไม่เป็นที่ยอมรับของตระกูลจู นางก็ชะลอฝีก้าวลงอย่างไม่รู้ตัว
เห็นมารดาหยุดอยู่ครึ่งทาง ซูจื่อเผยก็ถามไล่หลัง “ท่านแม่ ท่านจะไม่ช่วยทวงความยุติธรรมให้ข้าเหรอเจ้าคะ?”
จูเหยียนถอนหายใจยาว เพราะนางเป็นห่วงเรื่องนี้มากนัก นางนั่งยองลงลูบหน้าซูจื่อเผยและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “จื่อเผย ข้ามีเหตุผลของข้า พรุ่งนี้ข้าจะหาอาจารย์มาให้เจ้า จากนั้นข้าจะส่งเจ้าเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุด ดีไหมจ๊ะ?”
“ไม่ ไม่ดีเลยเจ้าค่ะ!”
ซูจื่อเผยพลันโมโหขึ้นมาและส่งเสียงกรีดร้อง “เทียบกับอาจารย์ฉีแล้ว อาจารย์คนอื่นสู้ไม่ได้เลย แล้วข้าจะเหนือกว่าพี่สาวสองได้อย่างไรเจ้าคะ? ท่านแม่ ท่านมันลำเอียง ข้าไม่ชอบท่านแล้ว!”
ด้วยความตกตะลึงและโกรธในสิ่งที่บุตรสาวพูด จูเหยียนก็ได้ตบหน้าจื่อเผยไปหนึ่งฉาด
เพี้ยะ!
ใบหน้าของซูจื่อเผยบวมช้ำอย่างรวดเร็ว นางกุมแก้มขวาที่ชาดิกพร้อมกับน้ำตารื้นคลอเบ้า นางตะโกนด้วยความเศร้าโศก “ท่านแม่ ท่านตบข้า!”
หัวใจของจูเหยียนเต็มไปด้วยความสำนึกผิดและนางก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นางจึงพยายามยื่นมือไปหาหวังจะปลอบ แต่ซูจื่อเผยที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังก็ปัดมือนางทิ้งด้วยมือข้างหนึ่ง
“ไม่ต้องมาดีกับข้าตอนนี้เลย! ท่านต้องการเปลี่ยนลูกสาวไม่ใช่เหรอ? ไปหาซูเอ้อร์หยาเสียสิ ข้าโมโหท่านแล้ว หึ!”
ซูจื่อเผยแค่นเสียงและจากไปอย่างไม่พอใจ จูเหยียนถอนหายใจยาวและรู้สึกเจ็บปวด
“ข้าวางแผนอย่างยากลำบากยิ่งและตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนี้… ทั้งหมดก็เพื่อเจ้านะ”
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครตระหนักว่ามันเข้าสู่ช่วงต้นฤดูร้อนแล้ว
ภายในซุ้มทางเดินของเรือนจินหยวน ซูเอ้อร์หยาเอนกายพิงเก้าอี้สาน ลมในห้องโถงพัดเย็นสบายอย่างยิ่ง ตั้งแต่ฉีเซี่ยนชิงขับไล่ซูจื่อเผยออกไปแล้ว นางกับซูชิงฮ่าวก็เป็นศิษย์เพียงสองคนที่เหลือในชั้นเรียน และดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องสนุกมากนัก
บาดแผลบนหลังสมานตัวได้ครึ่งเดือนแล้ว ต้องขอบคุณการรักษาของฉีเซี่ยนชิงที่ทำให้มันไม่เกิดรอยแผลเป็น แต่รอยแผลเป็นที่เหลือเมื่อก่อนหน้านั้นยังคงอยู่ การกำจัดพวกมันต้องเปิดเเผลออกอีกครั้ง ซึ่งซูเอ้อร์หยาไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะนางคิดว่านางไม่มีเวลาเหลือพอจะมาทำอะไรสูญเปล่า
“คุณหนู ข้าได้เบี้ยหวัดจากหอบัญชีน้อยลงในเดือนนี้เจ้าค่ะ”
แม่บ้านหลี่เดินเข้ามาจากลานด้านหน้าด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “เดือนที่แล้วข้าได้รับ 200 ชั่ง เดือนนี้มันเหลือเพียงสามสิบชั่ง ข้าคุยกับพ่อบ้านเฒ่าแต่เขาก็บอกว่าเขาให้เรือนจินหยวนไปสามร้อยชั่ง ข้าก็เลยสงสัยว่า…”
“แม่บ้านจ๊ะ อย่าเดาแบบไม่มีเหตุผลเลย ถ้าใครบางคนมาได้ยินเข้าเราจะมีปัญหาอีกครั้งนะจ๊ะ”
ซูเอ้อร์หยาลุกขึ้นกุมมือแม่บ้านหลีไว้และเอ่ยปลอบนาง “ข้ายังมีที่เหลือเก็บไว้เยอะอยู่ ซึ่งมันก็พอให้เราใช้ได้อีกหลายวันเลยจ้ะ”
แม่บ้านหลี่ถอนหายใจเบา ๆ กล่าวตำหนิตัวเองที่ไร้ประโยชน์ คุณหนูสองใจดีต่อนางถึงขนาดช่วยปลอบนางเลยทีเดียว
ความจริงก็คือคุณหนูสองไม่เคยทำสิ่งไม่ดีตั้งแต่ยังเด็กเลยสักนิด แต่ทำไมฮูหยินหนึ่งถึงปฏิบัติกับนางอย่างโหดร้ายตลอด? อะไรคือความเกลียดชังที่ไม่อาจสลายหายไประหว่างมารดากับบุตรสาวคู่นี้กัน?
คอมเม้นต์