การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 32
ตอนที่ ๓๒
ซูเอ้อร์หยาใช้เวลาสองวันในการตากแห้งเมล็ดงา จากนั้นนางก็หยิบข้าวเหนียวที่ใช้ทำบ๊ะจ่างครั้งที่แล้วออกมาโม่จนเป็นผงแป้งแล้วตากแห้ง ต่อมานางก็เริ่มแยกงาขาวกับงาดำออกจากกัน งาดำกับน้ำตาลจะใช้เป็นไส้ ขณะที่งาขาวจะถูกคั่วและแยกไว้
หลังจากที่แม่บ้านหลี่ต้มน้ำเชื่อม ซูเอ้อร์หยาก็เทผงแป้งข้าวเหนียวลงไปและกวนมันจนกลายเป็นก้อนแป้งข้าวเหนียวที่ไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป จากนั้นนางก็นวดมันจนเป็นรูปชามใบเล็ก ใส่ไส้จนเต็มแล้วปั้นเป็นก้อน ต่อมานางก็จุ่มก้อนแป้งข้าวเหนียวลงไปในน้ำและคลุกพวกมันในจานใส่งา
มองดูซูเอ้อร์หยาทำขนมอย่างมีทักษะ แม่บ้านหลี่ก็อึ้งไป
ในตอนที่คุณหนูสองยังเด็ก นางทำเพียงซักผ้ากับสับฟืนและไม่เคยเข้างานครัวเลย นางฝึกจนถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่านาง…เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์?
ซูเอ้อร์หยาทำขนมงาทอดทั้งหมดจนเสร็จ ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการทอด
“ทอดหรือเจ้าคะ? มันใช้น้ำมันมากเลยนะเจ้าคะ และยังอันตรายด้วย คุณหนู ให้ข้า…”
ซูเอ้อร์หยาส่ายหน้าและไม่ยอมนาง “เรากำลังจะขายขนมงาทอดพวกนี้ ถ้าเราคุมไฟได้ไม่ดี สิ่งที่ข้าทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า”
“ขายพวกมันหรือเจ้าคะ?” แม่บ้านหลี่ประหลาดใจ
“เมื่อคราวที่แล้วข้ามือไวไปหน่อยเลยให้เงินพี่ชายน้องสาวยากจนคู่นั้นไปห้าร้อยชั่ง แต่ข้าสามารถหาเงินได้ด้วยการขายของนะ” ซูเอ้อร์หยาเอ่ยขณะถือตะหลิวในมือ
“มันดูไม่เห็นจะอร่อยเลย ใครจะซื้อพวกมันกัน…” แม่บ้านหลี่รู้สึกกังวล แต่นางก็ไม่พูดอะไรที่จะบั่นทอนกำลังใจนาง
คุณหนูสองมีพรสวรรค์ก็จริง แต่เป็นไปไม่ได้ที่นางจะทำสำเร็จทุกครั้ง บ๊ะจ่างที่นางทำคราวที่แล้วดูน่าอัศจรรย์ แต่ในครั้งนี้ขนมงาทอดช่างดูเหมือนหน้าคนมีสิวเขรอะและไม่สวยงามแม้แต่น้อย
ซูเอ้อร์หยาเทน้ำมันสามถ้วยเล็ก ๆ ลงในหม้อขณะที่แม่บ้านหลี่ก่อไฟ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเมื่อน้ำมันมีอุณหภูมิราวสี่สิบองศา ซูเอ้อร์หยาก็พลันเทขนมงาทอดทั้งหมดลงไปในน้ำมันจนเกิดเสียงดังซู่ซ่าเป็นเวลานาน
ซูเอ้อร์หยาไม่ได้หวาดกลัวกับเสียงนั้น นางกดก้อนขนมงาทอดเบา ๆ ด้วยตะหลิวเมื่อน้ำมันมีอุณหภูมิราวหกสิบองศา หลังกดเป็นหลายครั้งแล้ว ขนมงาทอดก็พองตัวและไม่แบนราบ และสีของมันก็เปลี่ยนจากขาวซีดเป็นสีเหลืองทอง
นางตักขนมงาทอดอย่างระมัดระวังและวางพวกมันลงบนจาน แม่บ้านหลี่เหลือบมองและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชม “มันดูดีแบบนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ มันดูเหมือนทองแต่ก็เหมือนจะมองเห็นภายในได้ แล้วก็ยังกลมอย่างยิ่งราวกับไข่มุกสีทองเม็ดเบ้อเริ่มเชียวเจ้าค่ะ”
ซูเอ้อร์หยาซับน้ำมันบนขนมงาทอดด้วยรอยยิ้มและหยิบมันลงตะกร้าทีละลูก จากนั้นนางก็หยิบขึ้นมาอันหนึ่งและกัดกิน กลิ่นหอมหวานพลันลอยตลบอบอวล แม่บ้านหลี่มองซูเอ้อร์หยาทานขนมงาทอดพลางกลืนน้ำลาย
“แม่บ้านจ๊ะ ทานสักชิ้นแล้วนำที่เหลือไปขายในเมืองเถอะจ้ะ ถ้ามันเย็นแล้วมันจะไม่อร่อยนะจ๊ะ”
แม่บ้านหลี่โบกมืออย่างรวดเร็วและเอ่ยขึ้น “ข้าจะทานมันได้อย่างไรเจ้าคะ? ท่านทำเพื่อจะขายนี่”
ซูเอ้อร์หยายังคงยืนกราน นางจึงต้องหยิบมาลูกหนึ่งแล้วกัดกิน จากนั้นนางก็อดไม่ได้ที่จะทานหลังจากคำแรก นางรีบยัดขนมงาทอดทั้งหมดลงปากอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยเสียงเบา “อร่อยเหลือเกินเจ้าค่ะ! รสชาติดีมาก! คุณหนู ท่านต้องได้เงินจากการขายพวกมันแน่ ๆ เจ้าค่ะ!”
“งั้นก็จงขายพวกมันในเมืองเลยจ้ะ”
ซูเอ้อร์หยายื่นตะกร้าให้แม่บ้านหลี่และเอ่ยอีกสองสามประโยค จากนั้นแม่บ้านหลี่ก็ออกจากเรือนจินหยวนไป
ขณะเดียวกันหยางเว่ยก็มาที่บ้านตระกูลซูอีกครั้ง และตามมาด้วยกลุ่มคนรับใช้แบกหีบสินสอดทองหมั้นจำนวนมาก
“กลิ่นอะไรน่ะหอมหวานจริง?”
หยางเว่ยทำจมูกฟุดฟิดและรู้สึกว่าน้ำลายกำลังจะไหล ในตอนนี้เองแม่บ้านหลี่ก็ออกมาจากเรือนจินหยวนด้วยท่าทีล่องลอย หยางเว่ยตะโกนถามทันที “แม่บ้านคนนั้นใครน่ะ? มาหาข้าตรงนี้!”
แม่บ้านหลี่ไม่ได้ยินเขาแต่อย่างใด และรีบเดินจ้ำออกจากประตูบ้านตระกูลซูไป
หยางเว่ยโมโหเสียจนจมูกแทบจะหลุดจากใบหน้า ตอนนี้แม้แต่แม่บ้านตระกูลซูก็กล้าเมินเขาเรอะ?
“หึ! ในเมื่อไม่มีใครนำทางไป ข้าก็จะไปหาด้วยตัวเองล่ะ” หยางเว่ยหันหลังกลับและเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าเคลื่อนหีบพวกนี้ไปที่เรือนใหญ่ก่อน แล้วข้าจะตามไปภายหลัง”
หลังจากนั้นหยางเว่ยก็เดินตามกลิ่นไปตามทางเพียงลำพัง ทิ้งให้เหล่าคนรับใช้มองหน้ากัน
ขนมงาทอดเพิ่งจะถูกทอดเสร็จใหม่ และกลิ่นหอมก็ยังคงรุนแรงอยู่ มันจึงไม่ทำให้หยางเว่ยต้องใช้ความพยายามในการมาถึงหน้าประตูเรือนจินหยวนนัก
“แปลกนัก ข้าจำได้ว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่ หรือว่ามีแขกที่น่าเคารพในตระกูลซูอาศัยอยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
หยางเว่ยดูใคร่รู้และไม่ปล่อยให้คนอื่นรายงานการมาถึงของเขา เขาก้าวเดินเข้าไปในเรือนจินหยวนจากประตู เหล่าผู้คุ้มกันที่ประตูเห็นเขาและรู้ว่าเขาเป็นคุณชายหยางเว่ยจากตระกูลหยาง พวกเขาจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็นเขา
พวกเขาได้ยินมาว่าตระกูลหยางต้องการเป็นทองเเผ่นเดียวกันด้วยการแต่งงานกับตระกูลซู บางทีอีกไม่นานนักหยางเว่ยก็จะกลายเป็นเขยของตระกูลซู
เรือนจินหยวนได้รับการจัดผังอย่างระมัดระวังจากจูเหยียน และประดับไปด้วยต้นไม้ดอกไม้มีค่าอันงดงาม ทำให้ในเรือนดูงดงามและมีรูปลักษณ์ที่ยอดเยี่ยม หยางเว่ยรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเรือนและเอ่ยชมว่าตระกูลซูช่างร่ำรวยยิ่งกว่าตระกูลหยางเสียอีก ในตระกูลหยางไม่มีเรือนแบบนี้อยู่เลย
ตอนนี้หยางเว่ยรู้สึกอยากรู้มากขึ้นไปอีกว่าใครกันแน่ที่อาศัยอยู่ที่นี่
เดินผ่านซุ้มทางเดินอันอุ่นชื้น หยางเว่ยก็เดินมาถึงเรือนที่เต็มไปด้วยไม้เลื้อย เขายืนอยู่หน้าประตูและพลันตกตะลึงไปกับภาพตรงหน้าที่ดูราวกับภาพวาด
เขาเห็นโต๊ะหินและเก้าอี้สานตั้งอยู่ในสวนอันเงียบสงบ
สาวน้อยนางหนึ่งที่งดงามยิ่งกว่านางฟ้าบนสวรรค์กำลังเอนกายลงบนเก้าอี้สานขณะที่ชุดยาวลากระพื้น หญิงสาวหลับตาลงเล็กน้อยและมีหนังสืออยู่ในมือ ราวกับว่านางกำลังหลับอยู่
หยางเว่ยรู้สึกหลงใหลอย่างไม่อาจต้านทานไปกับรูปลักษณ์อันสมบูรณ์แบบของนาง ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากครอบครอง ทำให้เขาลืมจุดประสงค์เริ่มต้นที่มายังบ้านตระกูลซูไป
“เป็นหญิงสาวที่งดงามอะไรเช่นนี้ ถ้าข้าได้แต่งงานกับนางและใช้เวลาทุกคืนกับนาง ข้าก็ยินดีตายเพื่อนางแล้ว! ข้าเคยคิดว่าซูจื่อเผยดูงดงาม แต่ตอนนี้นางดูน่าเกลียดราวกับของไร้ราคาที่ข้าไม่แม้แต่จะลิ้มรสนาง!”
หยางเว่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แต่เขาไม่ได้บุกเข้าไปในสวน เนื่องเพราะกลัวว่านางฟ้าองค์นี้จะถูกเขารบกวนแล้วบินหนีไป แต่เสียงหายใจหนัก ๆ ของเขาก็ปลุกซูเอ้อร์หยาให้ตื่นจากการงีบหลับ
คอมเม้นต์