การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 42
ตอนที่ ๔๒
เวลาผ่านไปขณะที่ซูเอ้อร์หยาเรียนไม่มีอะไรประหลาด
ในที่สุดตึกไป๋เว่ยที่ตกแต่งด้วยโคมไฟและพู่ระย้าก็พร้อมแล้วกับการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อบริกรเปิดประตู กลุ่มลูกค้าจำนวนมากก็หลั่งไหลเข้ามา!
ทั้งตึกไป๋เว่ยมีแผนผังแตกต่างกัน หลังจากถูกบูรณะใหม่ภายใต้การร่วมมือของสามตระกูลใหญ่ สัญลักษณ์ขนาดใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะของเถ้าแก่ก็เตะตาผู้คนมากที่สุด
“ไก่ขอทาน!”
“อาหารชั้นเลิศชนิดใหม่งั้นหรือ?!”
“ชื่อแปลกจัง”
แขกเหรื่อพากันนั่งลงและพูดคุยกัน เห็นใต้สัญลักษณ์นั้นแล้วใครบางคนก็พลันกรีดร้องออกมา “ล้อข้าเล่นหรือเปล่า?! ไก่ขอทานจานหนึ่งราคาห้าสิบชั่งเชียวหรือ? เถ้าแก่ ทำไมท่านไม่ไปปล้นคนอื่นเลยล่ะ?”
เสียงร้องนี้ดึงดูดความสนใจของแขกคนอื่น ๆ เช่นกัน เสียงประท้วงดังขึ้นเรื่อย ๆ แขกคนอื่น ๆ ก็เริ่มบ่นกันหึ่ง
“ไก่อะไรราคาตั้งห้าสิบชั่ง? ราคามันไม่น่าจะมากเท่าเงินที่เอาไปเที่ยวหอนางโลมครึ่งเดือนนะ!”
“นี่มันหยามกันนี่หว่า ใครจะไปทนได้? ท่านเห็นพวกเราโง่เรอะ?”
“หึ…ภัตตาคารห่วยแตก ลาก่อนล่ะ!”
“…”
In the blink of an eye, the number of guests halved. The remaining guests were suspicious. The shopkeeper wiped his cold sweat and quickly explained:
ในชั่วพริบตาเดียว จำนวนแขกก็ลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง แขกที่เหลืออยู่ต่างพากันสงสัย เถ้าแก่ถึงกับปาดเหงื่อและรีบอธิบายเร็วรี่
“ลูกค้าขอรับ ทั้งส่วนผสมหลักและส่วนผสมรองที่ใช้ในไก่ขอทานล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เจ้านายของพวกเรายังทำแม้กระทั่งเปิดโรงเลี้ยงไก่เองเพื่อนำมาใช้ทำไก่ขอทาน วันนี้ภัตตาคารของเราเปิดและเสนอไก่ขอทานให้พวกท่านทานโดยไม่คิดเงิน หากพวกท่านพอมีเวลาก็รอสักครู่นะขอรับ”
หลังจากนั้นบรรดาแขกที่กำลังจะออกไปก็หยุดนิ่งและคนจำนวนมากที่ออกไปแล้วก็ได้กลับเข้ามา ไม่มีแขกคนใดอยากพลาดการได้กินไก่ขอทานโดยไม่ต้องจ่ายเงิน โดยเฉพาะจานที่มีราคาถึงห้าสิบชั่ง ไม่มีใครอยากพลาดข้อเสนอเช่นนี้หรอก
ด้วยความคิดเช่นนี้ในใจ แขกจำนวนมากก็นั่งลง สั่งอาหารเคียงบางอย่างมาและรอคอยอย่างอดทน
แม้หลี่ซานเป่าจะไล่พ่อครัวออกไปแล้ว ผู้ช่วยพ่อครัวก็ยังอยู่ และไม่ใช่ปัญหาเลยที่พวกเขาจะปรุงอาหารเคียงธรรมดาบางอย่างได้
ซูเอ้อร์หยาใช้เวลาหลายวันในการลงรายละเอียดของไก่ขอทาน สั่งให้ผู้ช่วยพ่อครัวแต่ละคนทำหน้าที่คนละขั้นตอน อย่างเช่นการเตรียมไก่ การใส่เครื่องปรุงรส การก่อเตาถ่าน เป็นต้น
ด้วยวิธีนี้ ผู้ช่วยพ่อครัวทั้งหลายจึงมีความเชี่ยวชาญในขั้นตอนแต่ละอย่าง แม้ไก่ขอทานที่ทำตามลำดับขั้นตอนนี้จะไม่อาจสู้กับจานที่ซูเอ้อร์หยาทำได้ แต่รสชาติของมันก็ยังไม่เลวร้าย
ซูจื่อเผยที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องครัวได้แต่มอง แม้นางจะจดจำกระบวนการทำไก่ขอทานได้ดีแล้ว นางก็ยังรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
ยิ่งกว่านั้นเมื่อมองโต๊ะห้องครัวอันเลอะเทอะมันหยดแล้ว ซูจื่อเผยก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาและอยากจะกลับไปที่บ้านในทันที
“เจ้าคือซูจื่อเผย ผู้คิดค้นไก่ขอทานงั้นหรือ?”
เสียงใสกระจ่างดังมาจากด้านหลังของซูจื่อเผย นางหวาดกลัวเสียจนแทบสะดุ้ง ชายร่างใหญ่วัยกลางคนในชุดพ่อครัวกำลังมองนางด้วยรอยยิ้ม ในสีหน้าของเขามีความมุ่งมั่นและชื่นชมอย่างแรงกล้า
เขาเป็นพ่อครัว!
ซูจื่อเผยหันหน้าที่แดงซ่านเล็กน้อยและไม่แสดงท่าทีก้าวร้าวเหมือนยามทั่วไป นางรีบเอ่ยขึ้น “ข้าคือซูจื่อเผย ท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ?”
“ฮ่า ๆ เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว ข้าคือเหอชี่ หัวหน้าพ่อครัวคนใหม่ ข้าเพิ่งมาใหม่น่ะ หวังว่าข้าจะสามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าได้ในอนาคตนะ”
เห็นซูจื่อเผยปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพ เหอชี่ก็รู้สึกสบายใจ เขาคิดว่าเขาเป็นผู้เปลี่ยนงานบ่อยที่ชาญฉลาด ในภัตตาคารที่เคยทำงานอยู่เขาไม่ได้มีสถานะเช่นนี้เลย
“ไม่ขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ ข้ายังเด็กและด้อยประสบการณ์ ข้าคงต้องขอความช่วยเหลือจากท่านลุงเหอแล้วเจ้าค่ะ” ซูจื่อเผยรู้สึกเป็นกังวล หากเหอชี่ถามนางเกี่ยวกับไก่ขอทานมันคงจะเป็นเรื่องแย่แน่
“ไม่หรอก เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว”
ในคำพูดของเหอชี่มีความชื่นชมอยู่ เขาเอ่ยชม “ไก่ขอทานที่เจ้าคิดค้นขึ้นช่างหายากยิ่งนัก! แม้แต่พ่อครัวในเมืองหลวงยังไม่สามารถปรุงมันได้ ยิ่งกว่านั้นเจ้ายังลงรายละเอียดการปรุงในแต่ละขั้นตอน ช่างน่าประทับใจนัก! วิธีการของเจ้าจะต้องถูกภัตตาคารอื่นทำเลียนแบบในภายหน้าแน่นอน!”
“ฮ่า ๆ …ท่านลุงเหอ ท่านช่างสุภาพยิ่งนัก” ซูจื่อเผยยิ้มฝืดขณะที่หน้าผากของนางมีเหงื่อผุดเต็ม
โชคดีที่เหอชี่ผู้เป็นพ่อครัวเพียงคนเดียวในภัตตาคารถูกร้องขอให้ทำงานต่อไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่มีเวลาถามคำถามอีก ซูจื่อเผยยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งและพยายามจะพัดไล่กลิ่นเหม็นออกไป
เห็นว่าทุกคนกำลังยุ่ง ซูจื่อเผยก็พลันรู้สึกหายใจไม่ออก
ซูเอ้อร์หยามีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
ซูเอ้อร์หยาเป็นคนน่าเกลียดที่ไม่มีอะไรดีเลย นางกลายมาเป็นคนดังขนาดนี้ได้อย่างไร? อาหารพวกนี้ซูเอ้อร์หยาไม่น่าจะคิดทำขึ้นมาได้ พวกมันต้องถูกนางขโมยมาแน่
“ใช่แล้ว นางขโมยมันมาจากคนอื่น!”
ดวงตาของซูจื่อเผยพลันสุกสว่าง ราวกับว่านางหาคำตอบที่ถูกต้องเจอ “พี่สาวสองของข้าต้องขโมยสูตรอาหารมาจากคนอื่นแน่ นางแค่ปรุงอาหารตามสูตรที่ได้มา ความจริงแล้วนางไม่มีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารเลย! ถ้าข้าได้สูตรอาหารมา ข้าก็จะแทนที่ซูเอ้อร์หยาได้แล้วกลายมาเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงแน่!”
ซูจื่อเผยรู้สึกตื่นเต้น
แขกทั้งหลายรออยู่ในภัตตาคารเป็นเวลาสองชั่วยามตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง แต่จำนวนแขกกลับไม่ลดลงเลยมีแต่จะเพิ่มขึ้น ในตอนกลางวันเป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี คนที่เดินผ่านไปจำนวนมากต่างตามฝูงชนเข้าไปและยืนรอหลังจากเห็นว่าตึกไป๋เว่ยเต็มไปด้วยแขกจำนวนมาก
เหล่าคนที่ผ่านไปมาบางคนรับรู้เรื่องไก่ขอทานกันผ่านการเล่าสู่กันฟัง
“ส่งอาหาร!!”
เสียงดังมาจากในครัวพร้อมเพรียงกัน พร้อมกับบริกรนับสิบเดินออกมาจากด้านหลังพร้อมจานในมือ แต่ละจานมีก้อนดินขนาดใหญ่อย่างน้อยสองก้อนอยู่
แขกที่รออยู่นานแล้วต่างตกใจในทันที “นี่มันอะไรเนี่ย? ไก่ขอทานเรอะ?!”
“ท่านพูดถูกแล้ว!”
ชายหนุ่มเจ้าคารมพลันเอ่ยขึ้น “นี่คือไก่ขอทาน อาหารขึ้นชื่อของภัตตาคารเรา แต่ท่านยังไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริงของมัน โปรดรออย่างใจเย็นนะขอรับ”
บริกรต่างวางจานบนโต๊ะขณะที่เขาพูด หนึ่งจานต่อหนึ่งโต๊ะ มีแขกแปดคนนั่งรอบโต๊ะตัวหนึ่ง พวกเขาต่างมีท่าทีใคร่รู้เกี่ยวกับก้อนดินที่ส่งควันฉุย
“ถึงเวลาที่จะได้เห็นไก่ขอทานของจริงแล้ว โปรดดูให้ดี ๆ นะขอรับ!”
ชายหนุ่มหยิบค้อนขึ้นมาและทุบเบา ๆ ที่เปลือกโคลนด้านนอก ทันใดนั้นรอยร้าวก็ปรากฏขึ้นที่เปลือกผิว ในที่สุดเปลือกโคลนก็แตกออกจากตรงกลาง
แม้บริกรที่เหลือจะไม่ได้มีฝีมืออย่างชายหนุ่ม พวกเขาก็กะเทาะเปลือกโคลนให้แตกออกสำเร็จเช่นกัน
ทันใดนั้นภัตตาคารก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมฟุ้ง!
แขกเหรื่อทั้งหลายต่างสูดกลิ่นอย่างพร้อมเพรียงกัน กลิ่นหอมกำจายไปไกล ดึงดูดผู้คนที่สัญจรไปมาให้หยุดจ้องมอง ในครั้งนี้มีไก่ขอทานอยู่นับสิบตัว กลิ่นหอมจึงรุนแรงอย่างยิ่ง บรรยากาศในตอนนี้จึงคึกคักยิ่งกว่าคราวที่แล้วที่สามตระกูลลองทานอาหารจานนี้เสียอีก
“ว้าว มันอร่อยมากเลย! ข้าไม่เคยได้กลิ่นหอมมีเอกลักษณ์แบบนี้มาก่อนเลยในชีวิตนี้!” คุณชายแต่งตัวดีคนหนึ่งที่ดูสดใหม่ไร้ประสบการณ์เอ่ยขึ้น
ข้างกายเขาเป็นชายกลางคนที่ดูมีการศึกษากำลังพยักหน้าและให้ความเห็น “อาหารที่ดีต้องมีรูปลักษณ์ที่ดี กลิ่นหอม และรสอร่อย ตอนนี้เรื่องกลิ่นผ่านคุณสมบัติที่ว่าแล้ว ลองดูรูปลักษณ์และรสชาติหน่อยซิ”
“ขอรับ สิ่งที่ท่านโจวเอ่ยช่างมีเหตุผลนัก!”
“ท่านโจว นักชิมผู้มีชื่อเสียงก็มาที่นี่ด้วย เขาจะพลาดอาหารจานนี้ได้อย่างไร?”
ชายกลางคนที่มีชื่อว่าท่านโจวรู้สึกหิวมานานแล้ว เชาชี้ไก่ขอทานที่ห่ออยู่ในใบบัวและเอ่ยถาม “เสี่ยวเอ้อร์ ไก่ขอทานนี่ต้องกินกับใบบัวหรือไม่? ข้าชิมใบบัวแล้วรสชาติไม่ดีเอาเสียเลย”
“ท่านต้องล้อเล่นแน่ขอรับ”
ชายหนุ่มยิ้มสดใส เขาแก้เส้นฝ้ายแล้วแกะห่อใบบัวออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นไก่สีทองทั้งตัวก็เผยให้เห็น กลิ่นหอมที่ฟุ้งตลบในภัตตาคารยิ่งหอมหวนมากขึ้น
“ดี ๆๆ!”
ท่านโจวเอ่ยคำว่า ดี สามครั้งและให้ความเห็นต่อ “ไก่ทั้งตัวยังไม่กลมพอ แต่ก็พอรับได้หากคิดว่าเป็นเพราะมันเร่งทำในวันนี้ สีของไก่เป็นสีทองและผิวก็เรียบดี เห็นได้ว่าไก่ถูกเลี้ยงมาด้วยวิธีการพิเศษ ข้าไม่รู้ว่าในท้องไก่ยัดไส้อะไรไว้หรือไม่ แต่ถ้าไม่มีล่ะก็ไก่นี้ก็ธรรมดาเกินไป”
ขณะที่เขากำลังพูด แขกที่โต๊ะอื่นต่างเริ่มลงมือทาน เอ่ยพึมพำว่า อร่อยเหลือเกิน! แขกที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกับท่านโจวต่างน้ำลายไหลเป็นเวลานานแล้วแต่ก็ไม่กล้าทานเมื่อเห็นว่าท่านโจวยังไม่เริ่มทาน
ท่านโจวยิ้มเป็นเชิงขอโทษ เขาหยิบมีดขึ้นมาผ่ากลางตัวไก่ จากนั้นไส้สูตรเฉพาะที่ยัดไว้ก็เผยออกมา
“เยี่ยม! ช่างวิเศษจริง ๆ อาหารจานนี้สมแล้วกับที่เป็นอาหารแนะนำ ในที่สุดเมืองต้าซูของเราก็มีภัตตาคารชั้นยอดแล้ว ข้าดีใจจริง ๆ”
คนที่เหลือบนโต๊ะต่างเริ่มลงมือทานขณะที่เขากำลังพูด ท่านโจวไม่มีท่าทีตื่นตระหนกและคีบชิ้นไก่เข้าปาก ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขณะที่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างรวดเร็ว
แม้เขาต้องการจะแสร้งทำเป็นวางมาดผู้รู้ แต่ไก่นั้นอร่อยเหลือเกินจนเขาต้องรีบกินไก่ก่อนที่มันจะหมด
“ท่านทำอะไรน่ะ? ไก่ชิ้นนี้ของข้านะ!”
“ท่านเอาของข้าไป ท่านกินมากเกินไปแล้ว เหลือชิ้นนั้นให้ข้าไม่ได้เรอะ?”
“บ้าเอ๊ย! ไม่มีใครหน้าไหนได้อาหารของข้าไปทั้งนั้น อัดเขาซะ!”
“…”
การต่อสู้กำลังปะทุ แต่โชคดีที่ตำรวจผู้จับตัวคนร้ายได้ด้านนอกประตูได้พุ่งพรวดเข้ามาในภัตตาคารและหยุดการต่อสู้ไว้ได้ เถ้าแก่รู้สึกโล่งใจ คุณชายคนใหม่ช่างฉลาดนัก เขาคาดเดาการต่อสู้ได้ก่อนที่มันจะเปิดฉากเสียอีก
“ฟ่างหยวนฉลาดนัก โชคดีที่ข้าใจอ่อนและพาเขากลับบ้าน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์วันนี้ต้องดูแย่แน่”
เมื่อเถ้าเเก่เห็นเด็กชายตัวน้อยเคลื่อนผ่านฝูงชน เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ข้าได้ยินมาว่าเด็กนี่ต้องดูแลน้องสาวของเขา ข้าจะให้รางวัลเขาในวันนี้ล่ะ
“เถ้าแก่ ข้าขอไก่ขอทานอีกจานหนึ่ง ข้าอยากจะจ่ายเงินห้าสิบชั่ง!”
คุณชายคนรวยเอ่ยเสียงดังและหยิบเงินออกมาห้าสิบชั่งวางบนโต๊ะ แขกผู้ร่ำรวยคนอื่น ๆ ก็ทำตามเขา พวกเขาต่างหยิบเงินออกมาห้าสิบชั่งเป็นค่าไก่ขอทาน ซึ่งได้ชนะใจของพวกเขาไปเรียบร้อย
เหล่าแขกคนจนทำได้เพียงมองอย่างอิจฉาและดุด่าเจ้านายว่าหน้าเลือดอย่างไม่ได้นัดหมาย
เถ้าแก่ยิ้มและเดินออกมา เขาโค้งคำนับสุดตัวให้บรรดาแขกทั้งหลายและเอ่ยขึ้น “ก่อนที่ท่านจะสั่งอาหาร ข้าต้องขออภัยท่านทั้งหลายที่ต้องบอกว่านั่นไม่ใช่ไก่ขอทานของจริงหรอกขอรับ!”
คอมเม้นต์