การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 44
LS ตอนที่ ๔๔
ตึกไป๋เว่ยยังคงรุ่งเรืองอย่างที่เป็นเหมือนเมื่อวันก่อน ซูจื่อเผยอยู่ในภัตตาคารตลอดทั้งวันและไม่ได้หาข้ออ้างที่จะกลับจนกระทั่งถึงยามราตรี
เมื่อนางกลับมาถึงบ้านตระกูลซู ท้องฟ้าก็มืดมิดแล้ว ซูจื่อเผยมองไปยังเรือนจินหยวนที่อยู่ไกลออกไปและพบว่ามีผู้คุ้มกันอยู่ไม่มาก
นางซ่อนตัวอย่างระมัดระวังและอำพรางตัวด้วยดอกไม้ใบหญ้า หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็วิ่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับดวงตาเป็นประกาย
ในความมืดมิด ผู้คุ้มกันหนุ่มเห็นดังนั้นก็ลังเลที่จะเอ่ย “หัวหน้าขอรับ ข้าเพิ่งเห็นคุณหนูสาม…”
“เด็กน้อย ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเท่านั้น ไม่ต้องเอาตัวเองไปยุ่งกับเรื่องอื่น เข้าใจชัดไหม?”
ผู้คุ้มกันหนุ่มกุมศีรษะและไม่เข้าใจหมดนัก แต่เขาก็ไม่ได้โดดไปขวางทางคุณหนูสามไว้
“เป็นเรื่องง่ายเหลือเกินที่จะออกมา ดูเหมือนเอ้อร์หยาจะไม่ได้มีค่าต่อท่านพ่ออย่างที่ข้าคิดไว้” สงบสติตัวเองแล้ว ซูจื่อเผยก็เดินข้ามสนามอันเย็นเยือกไร้ชีวิตชีวาเข้ามาถึงห้องหนังสือ นางค่อยๆ เจาะหน้าต่างกระดาษดูความเป็นไปข้างใน แล้วก็พบเพียงห้องที่ว่างเปล่า
ซูจื่อเผยรู้สึกดีใจและเปิดประตูเบา ๆ
แอ๊ดด…
เกิดเสียงดังแว่วและประตูก็เปิดออก
ซูจื่อเผยเข้ามาและปิดประตูโดยที่ใจเต้นแรง ไม่มีเวลาที่นางจะมองไปรอบ ๆ ห้องหนังสืออันงดงามแล้ว นางคุ้ยหาบนชั้นหนังสือแล้วก็ไม่พบอะไร
“ไม่มีเหรอ? เป็นไปไม่ได้!”
ซูจื่อเผยร้อนใจเสียจนเหงื่อแตก และมือขวาของนางก็เผลอไปปัดกับม้วนกระดาษบนโต๊ะจนมันร่วงลงบนพื้น
บ้าเอ๊ย!
ซูจื่อเผยหยิบมันกลับ
โดยไม่ได้ตั้งใจ นางก็เห็นลายมือหนึ่งบนกระดาษ และพลันเบิกตากว้างก่อนคลี่ม้วนกระดาษออกมาดูใกล้ ๆ
ชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่นางพยายามจะหาอยู่ – สูตรไก่ขอทาน!
“ทีตอนร้อนใจหาแทบตายกลับไม่เจอ แต่พอถึงเวลาโชคดีดันหาเจอโดยไม่ทันได้มองหาด้วยซ้ำ” ซูจื่อเผยกำกระดาษในมือแน่นจนมือสั่นเล็กน้อย นางรู้สึกดีใจมากเสียจนแทบจะกระโดด
ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาหาจากด้านนอก ซูจื่อเผยก็รวบรวมความกล้าและกลบร่องรอยการค้นหาของนางในห้องหนังสือก่อนจะออกจากเรือนจินหยวนไปพร้อมกับสูตรอาหาร
นางไม่เห็นว่ามีดวงตาคู่หนึ่งที่ดำขลับราวกับยามราตรีกำลังส่องประกายอยู่เหนือศีรษะ มองนางตั้งแต่ต้นจนจบ ดวงตาคู่นั้นเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างชัดเจน แม้แต่สูตรอาหารที่ตกลงบนพื้นก็ตกลงอย่างมีเจตนา
เช้าตรู่ของวันต่อมา ซูเอ้อร์หยาตื่นตรงเวลาและฝึกวรยุทธ์อยู่หนึ่งชั่วยาม หลังจากนั้นนางก็รับประทานอาหารเช้าและก้าวออกจากเรือนจินหยวน นางบังเอิญเห็นจื่อเผยเดินผ่านด้วยสภาพมีรอยคล้ำใต้ตา ทั้งคู่ต่างอึ้งไปและไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันในเวลาเช่นนี้
“เจ้ากำลังไปที่ภัตตาคารหรือ? ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้นอนเลยนะ งานที่ภัตตาคารหนักหนาเกินไปสำหรับเจ้าหรือ?”
ซูเอ้อร์หยาแสดงความห่วงใยต่อน้องสาวก่อน ดวงตาดำและขนตายาวของนางดูไร้ที่ติ บริสุทธิ์สุกใสราวกับอัญมณี ดูเหมือนคำพูดทั้งหมดของนางจะเป็นจริงและซื่อตรง
สีหน้าของซูจื่อเผยเปลี่ยนไปทันทีราวกับแมวถูกเหยียบหาง นางเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด “อ้า! งานไม่ได้หนักเลยเจ้าค่ะ ในฐานะบุตรสาวตระกูลซูแล้ว ข้าเต็มใจที่จะทำงานให้กับครอบครัวของเรา ข้าจะว่างานนี้หนักหนาได้อย่างไรกัน? ตอนนี้ท่านจะไปพบท่านหมอฉีหรือเจ้าคะ?”
ซูเอ้อร์หยายิ้มบาง “มีคนไข้มากมายในไป๋เฉ่าถังของท่านหมอฉีในเช้าวันนี้ เขาก็เลยสั่งให้ชิงฮ่าวกับข้าเข้าเรียนในอีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง ข้าได้ยินมาว่าท่านแม่ได้อาจารย์คนใหม่มาสอนเจ้าแล้ว และเจ้าก็ต้องทำตามความคาดหวังของท่านแม่ด้วย”
“หึ ท่านแม่ข้าถูกเจ้าเรียกแบบนั้นได้อย่างไรกัน นางตัวดี?”
ซูจื่อเผยพึมพำด้วยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน นางไม่เต็มใจที่จะฟังคำสั่งสอนของซูเอ้อร์หยาเหมือนผู้ใหญ่สอนแล้วเดินหนี
ซูเอ้อร์หยายืนนิ่งและยิ้มกว้างขณะที่สีหน้าของนางไม่เปลี่ยนไป
“นางตัวดี…”
ฤดูร้อนในเมืองต้าซูเงียบสงบราวกับสายน้ำ
ซูเอ้อร์หยาไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอกหน้าต่างห้องของนาง นางอ่านหนังสือและทำอาหารทุกวัน ดูเหมือนว่านางจะไม่เคยกล่าวถึง ตึกไป๋เว่ย อีกเลย
แม่บ้านหลี่ถอนหายใจ รู้สึกสงสารนางนัก นางได้ยินว่าคุณหนูสามชนะการพิสูจน์ของพ่อครัวด้วยสูตรอาหารที่ขโมยไป นางยังทำงานได้ดีในการจัดการหลังยึดกิจการของตึกไป๋เว่ยได้และได้รับคำชมจากนายท่านอยู่เนือง ๆ
คุณหนูสองไม่ได้ทำอาหารจานใหม่ เป็นเวลานานทีเดียว…
มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในระหว่างหลายวันนี้ ซูฮ่วนหลี่เข้ามาขอให้ซูเอ้อร์หยาเขียนสูตรบ๊ะจ่าง เห็นชัดว่าเขากำลังจะขยายผลกำไร
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ายังจำได้ถึงสัญญาที่ท่านทำไว้กับเจ้าของที่ว่าตระกูลซูจะไม่เปิดเผยสูตรของบ๊ะจ่างให้กับใคร แม้แต่ข้าก็ไม่ทำมัน…”
“ไร้สาระ!” ด้วยรอยยิ้มที่นิ่งค้างไปอย่างฉับพลัน ซูฮ่วนหลี่ก็ตำหนิซูเอ้อร์หยา “เจ้ารู้อะไรบ้าง? อย่าเอาตัวเองเข้ามายุ่งกับธุระของผู้ใหญ่เลย อย่ามัวเสียเวลาแล้วเขียนสูตรอาหารมาซะ!”
ท่าทีของซูฮ่วนหลี่ย่ำแย่กว่าเดิม ช่างแตกต่างจากความใกล้ชิดกับซูเอ้อร์หยาในตอนที่เขาขอให้นางเขียนสูตรอาหารจานใหม่เมื่อไม่กี่วันที่แล้ว
รู้สึกน้อยใจขึ้นมา ซูเอ้อร์หยาเม้มปากแน่นและเขียนสูตรอาหารเงียบ ๆ
หลังจากนางเขียนเสร็จ ซูฮ่วนหลี่ก็ไม่รีรอที่จะคว้ามันไป หลังอ่านผ่าน ๆ แล้วเขาก็เดินจากไปอย่างมีความสุข
แม่บ้านหลี่ทนไม่ได้ที่จะเห็นเช่นนี้จึงเอ่ยขึ้น “คุณหนู นายท่าน…”
ซูเอ้อร์หยาส่ายหน้าเบา ๆ และค่อย ๆ นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับมือทั้งคู่ประสานกันก่อนมองออกไปทางหน้าต่างด้วยสายตาฉายรอยยิ้มสดใส
“ระวังความอยากอันไม่รู้จักพอของท่านก็แล้วกันนะเจ้าคะ ท่านพ่อผู้โง่เขลาของข้า…”
ซูฮ่วนหลี่หยิบสูตรอาหารและรีบตรงไปที่ตึกไป๋เว่ยจากประตูด้านหลัง เขาเห็นจื่อเผยบุตรสาวของเขากำลังง่วนอยู่กับการอบไก่ขอทานด้านหน้าเตาไฟ
ซูฮ่วนหลี่รู้สึกพอใจ “จื่อเผยดูมีเหตุมีผลขึ้น ดูเหมือนว่าต่อให้ไร้การช่วยเหลือจากเอ้อร์หยา จื่อเผยก็ทำไก่ขอทานได้ด้วยตัวเองแล้ว”
“นายท่าน ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะขอรับ?” เถ้าแก่เอ่ยถาม
“เรียกพ่อครัวที่เจ้าเพิ่งจ้างมาหาข้าโดยด่วน”
ซูฮ่วนหลี่ออกคำสั่ง และทันใดนั้นชายซื่อนามเหอชี่ก็ถูกเรียกตัวมา “นายท่าน เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”
ซูฮ่วนหลี่ขยิบตา และเถ้าแก่ก็รีบเดินมาหาและโน้มตัวใกล้กับหูของเขา “พ่อครัวถูกตระกูลจูจ้างมาขอรับ แต่เขาไม่ใช่คนจากตระกูลนั้น”
ซูฮ่วนหลี่ย่นคิ้ว ไม่อยากให้ตระกูลจูเข้ามายุ่งในฝ่ายการจัดการกำไรแม้แต่น้อย แต่เขาไม่มีเส้นสายที่จะหาพ่อครัวอย่างเหอชี่ได้
“ข้ามีสูตรอาหารอยู่ ช่วยข้าไขความกระจ่างที” ซูฮ่วนหลี่หยิบกระดาษออกมาและยื่นให้กับเหอชี่
เหอชี่รับมันด้วยสีหน้างุนงง เมื่อดวงตาของเขาเห็นตัวอักษรน่าดึงดูดแต่ดูขยุกขยิกเล็กน้อยแล้วเขาก็นิ่งค้างไป!
“เอ่อ? ใช้ใบไผ่รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนงั้นหรือ…”
“นี่มันช่าง…ยอดเยี่ยมไปเลย!”
เหอชี่ดูงุนงงไปพักหนึ่งและพลันเข้าใจกระจ่างขณะที่ซูฮ่วนหลี่กับเถ้าเเก่ร้านรู้สึกแปลกใจ เหอชี่คืนสติได้และยิ้มอย่างอาย ๆ “ขอโทษที่ข้าดูน่าขันนะขอรับ เวลาได้เห็นสูตรอาหารดี ๆ ข้าก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นน่ะขอรับ”
“ถ้างั้น สูตรอาหารนี่เป็นของจริงหรือ?” ซูฮ่วนหลี่เอ่ยอย่างตื่นเต้น เห็นท่าทีไม่เต็มใจของบุตรสาวคนที่สองแล้วเขาก็เป็นกังวลว่าจะได้สูตรอาหารผิดมา
“เป็นสูตรจริงขอรับ คน ๆ นั้นสามารถทำขนมได้ชาญฉลาดเหลือเกิน…ใครก็ตามที่เขียนสูตรอาหารนี้ได้จะต้องมีทักษะการทำอาหารในระดับที่ข้าไม่อาจจินตนาการได้เลย”
เหอชี่ยังคงเอ่ยชมอย่างไม่หยุดปาก “สูตรอาหารนี้เป็นการคิดค้นล่าสุดของคุณหนูสามหรือขอรับ? คุณหนูซูช่างมีพรสวรรค์จริง ๆ!”
ซูฮ่วนหลี่หน้าแดงจากคำชมและตื่นเต้นเมื่อคิดถึงผลกำไรที่จะได้รับ
ในตอนนี้เถ้าแก่ร้านก็หยิบสูตรอาหารไปจากมือของเหอชี่และอ่านมัน เขาย่นคิ้วครุ่นคิดแล้วก็พลันแสดงสีหน้ากระจ่างรู้ “นายท่าน นี่ไม่ใช่อาหารแนะนำขึ้นชื่อของตึกไป๋เว่ยที่ชื่อว่า ข้าวหอม หรือขอรับ?”
“ใช่แล้ว อันนี้แหละ!” ซูฮ่วนหลี่เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยอย่างภาคภูมิ “ข้าวหอมนี้ลูกสาวข้าเป็นคนคิดค้นเอง”
“อย่างนี้นี่เอง” เถ้าแก่เอ่ยอย่างดีใจเช่นกัน “ตอนนี้ก็มีอาหารแนะนำอีกจานหนึ่งในร้านของเราแล้ว ผู้ช่วยของเราคุ้นเคยกับกระบวนการทำข้าวหอมอยู่ ข้าจะส่งใครสักคนไปเตรียมวัตถุดิบ ส่วนการปรุงนั้นข้ามอบให้เป็นหน้าที่ของพ่อครัวเหอก็แล้วกัน”
เหอชี่พยักหน้าเคร่งขรึม “ข้าจะทำตามความคาดหวังของพวกท่านแน่นอนขอรับ!”
ภายใต้สถานการณ์ที่เป็นใจเช่นนี้ บ๊ะจ่างหม้อเเรกก็ถูกผลิตขึ้นในคืนนั้น ป้ายอาหารถูกเเขวนไว้ในตำแหน่งที่สะดุดตามากที่สุดบนโต๊ะแสดงรายการอาหาร เป็นรองก็เพียงไก่ขอทาน เพื่อดึงดูดความสนใจของแขกในทันที
“ดูสิ! นั่นมันข้าวหอมนี่ ตึกไป๋เว่ยมีอาหารขายดีอีกจานหนึ่งแล้ว”
“เยี่ยมไปเลย! รสชาติของมันเป็นเอกลักษณ์นัก ข้ายังจำมันได้อยู่เลย คิดว่าอาหารจานนี้จะหายไปหลังจากที่ตึกไป๋เว่ยเปลี่ยนเจ้าของแล้วเสียอีก!”
“เสี่ยวเอ้อร์ ขอข้าวหอมให้ข้าจานหนึ่ง!”
“ข้าด้วย!”
“…”
ทันใดนั้นภายในภัตตาคารก็เกิดเหตุการณ์ตอนสำคัญเล็กน้อย
หลังข่าวความนิยมของไก่ขอทานแพร่สะพัดออกไป บ๊ะจ่างก็เรียกแขกเข้ามา ตึกไป๋เว่ยเป็นที่ไร้เทียมทานในเมืองต้าซูอยู่พักหนึ่ง และชื่อเสียงก็ขจรขจายไปยังเมืองอื่นใกล้เคียง หลี่ซานเป่าที่วางแผนจะสร้างภัตตาคารแห่งใหม่ก็ได้ยินเรื่องนี้ด้วย
“สารเลว! ตาแก่ซูฮ่วนหลี่กลับคำพูดตัวเองแล้ว ข้าซื้อสูตรบ๊ะจ่างมาแต่เขากลับขายมัน!”
หลี่เว่ยโกรธเสียจนไขมันกระเพื่อม ระหว่างช่วงเวลานี้เขายุ่งเสียจนน้ำหนักลดลงไปมาก เขาคิดว่าอีกไม่นานจะสร้างตึกไป๋เว่ยได้อีกครั้ง แต่ตอนนี้ตระกูลซูไม่เพียงแต่ผลิตไก่ขอทานได้แต่ยังขายข้าวหอมอีกต่างหาก
หลี่ซานเป่ามีสีหน้าสงบนิ่งยกถ้วยชาขึ้นจิบ “ไม่เป็นไรหรอกที่ไอ้เด็กเวรตระกูลหยางนั่นจะทำตัวไม่เหมาะสม แต่ดูเหมือนว่าแม้แต่ตาเฒ่าอย่างซูฮ่วนหลี่ก็ไม่มีพฤติกรรมเหมาะสมเหมือนกัน ท่าทางข้าคงจะไม่ต้องไว้หน้าพวกมันแล้ว อาเว่ย เชิญเจ้าของภัตตาคารคนอื่นให้มาหาข้าลับ ๆ…”
บนถนนสายตะวันออกของเมืองต้าซูในวันต่อมา ตึกไป๋เว่ยก็มีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย มีแถวยาวอยู่ตรงด้านนอกภัตตาคารและบริกรทั้งหลายก็คอยจัดหาโต๊ะภายในภัตตาคารกันให้วุ่น
“โต๊ะนี้ว่างแล้ว ท่านที่เคารพ ทางนี้ขอรับ!”
“เข้ามาได้ แขกจากห้องสองบนชั้นสอง!”
“…”
มองดูที่ประตูครู่หนึ่งและเห็นว่าทุกอย่างปกติ เถ้าแก่ร้านก็คิดจะกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
และในขณะนั้นเอง…
เพล้งง!
จานกระเบื้องร่วงลงบนพื้นอิฐ ฟ่างหยวนจ้องมองนักธุรกิจผู้มีอันจะกินที่มีสายตาโกรธขึ้งตรงหน้า – เขากำลังผิดหวัง
“รสชาติอย่างกับโคลน นี่มันไม่ใช่อาหารคนแล้ว! ไก่ขอทานมีไว้ให้ขอทานกินจริง ๆ!”
“ใช่!”
“ไก่ขอทานช่างไม่สมกับชื่อเสียงของมันเลย เป็นเรื่องโกหกทั้งเพที่บรรดาแขกทั้งหลายหลงใหลมัน! อาหารจานไก่ขายเป็นเงินตั้งสิบชั่ง ทำไมไม่ปล้นข้าไปซะเลยล่ะ?”
เสียงก่นด่าดังอื้ออึงฉับพลันทำให้เถ้าเเก่ร้านยืนนิ่ง มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนเขาไม่อาจหยุดมันได้
คอมเม้นต์