การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 45
ตอนที่ ๔๕
แขกที่มาที่นี่เพื่อชิมไก่ขอทานมองพลางกอดอก พวกเขามีความคิดในแง่ดีเกี่ยวกับภัตตาคารไป๋เว่ยเมื่อก่อนหน้านี้ แต่หลังจากได้ยินเสียงก่นด่าอื้ออึงพวกเขาก็พลันเปลี่ยนใจ
“ข้าเองก็คิดว่ามันแพงเกินไปเมื่อดูจากพวกมันแล้ว…”
“ใช่แล้ว อาหารจานที่แพงที่สุดในตึกไป๋เว่ยเมื่อก่อนคือข้าวหอม แต่ตอนนี้ราคาไก่ขอทานสูงกว่าข้าวหอมตั้งสิบเท่าตัว”
“ข้ากำลังโดนพ่อค้าหน้าเลือดนี่โกงเสียแล้ว ตึกไป๋เว่ย เอาเงินข้าคืนมานะ!”
“ตึกไป๋เว่ย เอาเงินข้าคืนมา!”
“เอาเงินข้าคืนมา!”
ภายใต้การผลักดันของกลุ่มคนที่มีเจตนาลับ ฝูงชนก็แสดงอาการโกรธแค้น มันดังเกินกว่าที่แขกบนชั้นสองจะทานอาหารได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงจากไปด้วยความผิดหวัง
“ใจเย็นก่อนขอรับ! ใจเย็นก่อนขอรับ!”
เถ้าแก่ภัตตาคารกำลังถูกรุม ผลัก ทึ้งไปมาจากฝูงชน และไม่มีใครเห็นคนที่พากันโยนของเหลือมาให้เขา ไม่นานนักเขาก็ดูราวกับหนูจมน้ำที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวบนร่าง
“นี่มันความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง! ทุกอย่างเป็นปกติมาตลอดหลายวันนี้ ทำไมจู่ ๆ…”
เถ้าแก่คลานออกมาและเห็นฟ่างหยวนยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยอาการงงงวย เขาบังเกิดความคิดหนึ่งในทันที “เฮ้ย เจ้าหนู ไปเรียกนายท่านมาโดยด่วน เมื่อเจ้ากลับมาแล้วข้าจะให้ค่าแรงของเดือนนี้”
ด้วยสายตาดีใจฉายในดวงตา ฟ่างหยวนรีบไปที่ครัวและถามที่อยู่ของตระกูลซู หลังจากได้มาแล้วเขาก็รีบวิ่งไปที่บ้านตระกูลซู เขาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าตัวเองได้เผยความสำเร็จด้านวรยุทธ์ที่เขามักปิดบังไว้เสียแล้ว
ซูเอ้อร์หยาที่กำลังง่วนอยู่กับการฝึกวรยุทธ์ในเรือนจินหยวนพลันลืมตาขึ้นและเอ่ยพึมพำ “หือ? ร่องรอยนั่น…”
ด้านหน้าประตูสีแดงสด ฟ่างหยวนหอบหายใจและเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น “นายทวารขอรับ ข้าเป็นบริกรจากตึกไป๋เว่ย เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นที่นั่นขอรับ นายท่าน…”
สีหน้าของนายทวารทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะพูดจบ หนึ่งในนั้นรีบวิ่งเข้าไปข้างในและรายงานสิ่งที่เขาพูก
“ข้าหวังว่าเถ้าแก่จะไม่ผิดสัญญาเรื่องค่าแรงของข้านะ”
ฟ่างหยวนโล่งใจ และอดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงภาพที่น้องสาวของเขาเห็นเงินด้วยอาการประหลาดใจ
เขาไม่สนว่าตึกไป๋เว่ยจะรอดหรือจะร่วง กระดูกขาวในสนามรบดินแดนหนานเจียงกองสูงมากกว่าตึกไป๋เว่ยอีก เขารู้ว่าเขาต้องระวังตัว หากไม่ใช่เพราะเขาไม่มีเงินที่จะซื้ออาหาร เขาก็คงไม่เผยความสำเร็จด้านวรยุทธ์ออกมาหรอก
“วรยุทธ์นี้ไม่เป็นที่รู้จักในดินแดนต้าฮั่นและเมืองต้าซูก็อยู่ห่างไกลนัก ดังนั้นไม่น่าจะมีใครพบร่องรอยของข้า”
ขณะที่ฟ่างหยวนคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เหลือบมองขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ซูเอ้อร์หยาเดินออกมาจากประตูด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มพิสุทธิ์ของนางดูราวกับแสงตะวันพลันทำให้ฟ่างหยวนหลุดจากท่าทีสุขุมเป็นท่าทีกระอักกระอ่วน
ฟ่างหยวนไม่คิดเลยว่าแม่นางใจดีที่ช่วยเขากับน้องสาวจะเป็นบุตรสาวของตระกูลซู แต่…ตระกูลซูมีบุตรสาวแค่คนเดียวไม่ใช่หรือ? เขาพบซูจื่อเผยในร้านอาหารแล้ว แล้วแม่นางที่อยู่ตรงหน้าเขานี่เป็นใครกัน?
“เป็นเจ้านี่เอง…”
ซูเอ้อร์หยาเหมือนจะแค่ออกมาเจอฟ่างหยวน นางเดินมาหาเขาด้วยท่าทางปกติพร้อมกับกลิ่นหอมสดชื่น ฟ่างหยวนถึงกับหน้าแดงไม่รู้ตัวและก้าวถอยหลัง
“นางก็แค่สาวอวบอึ๋มคนหนึ่งเท่านั้น สตรีอย่างนางจำนวนมากล้วนตายในสนามรบ ทำไมข้าต้องใส่ใจด้วย…”
ฟ่างหยวนแค่นเสียงในใจ แต่หัวใจของเขากลับเต้นแรง
ในวันนั้นเขาเป็นแค่ขอทานธรรมดาข้างถนนเท่านั้น หลายวันผ่านไปแล้ว และแม่นางคนนี้ก็ยังจำเขาได้!
ซูเอ้อร์หยาเห็นฟ่างหยวนเงียบไปนางก็ไม่สนใจ นางยังคงยิ้ม “น้องสาวของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าไม่ต้องให้เงินห้าร้อยชั่งคืนข้านะ ทำไมเจ้าถึงสวมเสื้อผ้าแบบนี้กัน?”
ฟ่างหยวนจำได้ว่าเงินถูกขโมย เขาจึงรู้สึกอับอายเหลือแสนกับเรื่องนั้น เขาใจลอยในเรื่องที่เขาทำความผิดหวังไม่เพียงต่อน้องสาวของเขาแต่ยังรวมถึงแม่นางใจดีที่ยืนตรงหน้าเขาด้วย เขาจะอธิบายเรื่องนี้กับนางอย่างไรดี?
“เอ้อร์หยา ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?!” ใครบางคนเบื้องหลังนางเอ่ยขึ้น
ซูเอ้อร์หยาเหมือนจะตกใจ นางหันกลับไปและพบซูฮ่วนหลี่กับพ่อบ้านเดินมาหาอย่างเร่งร้อน
เมื่อฟ่างหยวนได้ยินซูฮ่วนหลี่เรียกซูเอ้อร์หยา เขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “แม่นางคนนี้งดงามนัก แต่ชื่อของนางกลับฟังดูธรรมดาเหลือเกิน ข้าเดาว่านางคงไม่ใช่บุตรสาวของตระกูลซูหรอก”
ซูเอ้อร์หยาค้อมศีรษะลงพร้อมกับยิ้มหวานหลายเท่าตัว “ท่านพ่อ ข้าแค่ออกมาเดินเล่นเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ทลายการคาดเดาในใจของฟ่างหยวน
ตระกูลซูมีบุตรสาวอีกคนหนึ่งจริง ๆ หรือ? แล้วนางเป็นใครกัน?
“ดีแล้ว อย่าเดินไปไกลนักแล้วกัน เจ้าเป็นบริกรจากตึกไป๋เว่ยงั้นหรือ?” ซูฮ่วนหลี่กวักมือเรียกฟ่างหยวนให้ขึ้นมาบนรถม้า “ขึ้นมาสิ ระหว่างทางมาคุยกัน”
“ขอรับนายท่าน!”
ฟ่างหยวนรู้สึกใจพองโต เขาปีนขึ้นรถม้า ก่อนที่พวกเขาจะจากไปเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองกลับมาหาซูเอ้อร์หยาที่ยังคงยิ้มให้พวกเขา ความรู้สึกลึกลับบางอย่างบังเกิดขึ้นในใจ
รักงั้นหรือ?
ฟ่างหยวนไล่ความคิดเหล่านี้พร้อมกับยิ้มแห้ง ตอนนี้เขายังมีหน้ามาพูดเกี่ยวกับความรักอีกหรือ? บางทีมันคงเป็นไปไม่ได้ในชีวิตของเขา…
ซูเอ้อร์หยามองรถม้าหายไปตรงมุมถนนใหญ่ จากนั้นก็เดินจากไปอย่างเชื่องช้า
นางไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มที่นางช่วยเหลืออย่างมีเจตนาจะฝึกวรยุทธ์ด้วย สิ่งต่าง ๆ ชักดูน่าสนใจขึ้นมาแล้ว
ฟ่างหยวนมาถึงไวอย่างยิ่ง แต่เมื่อซูฮ่วนหลี่มาถึง ตึกไป๋เว่ยก็ตกอยู่ในสภาพเละเทะ โต๊ะและเก้าอี้ทุกตัวพังกระจัดกระจาย และเงินในตู้ก็ถูกปล้นไปด้วย
ซูฮ่วนหลี่เดือดจัดเสียจนรู้สึกว่าแทบจะกระอักเลือดออกมา! เขาทำธุรกิจมาหลายปีและไม่เคยเห็นการกระทำอันป่าเถื่อนเช่นนี้!
เห็นซูฮ่วนหลี่แล้ว เถ้าแก่ร้านอาหารก็คุกเข่าบนพื้นด้วยสภาพสะบักสะบอมและตะโกนร้อง “เจ้านายอยู่ที่นี่แล้ว! เจ้านายอยู่ที่นี่แล้ว!”
คนนับสิบมองซูฮ่วนหลี่ ทำให้เขารู้สึกกดดัน
“ทุกคน!”
ซูฮ่วนหลี่ยืนอย่างสงบท่ามกลางห้องโถงราวกับนายพลอย่างไรอย่างนั้น “มีปัญหาอะไรกับตึกไป๋เว่ยงั้นหรือ? ทำไมพวกท่านถึงดูโกรธแค้นนัก? สุภาพชนคุยกันด้วยลิ้นไม่ใช่ด้วยกำปั้น เรานั่งลงคุยกันจะดีกว่านะ”
เห็นว่าเจ้านายอยู่ที่นี่ บรรดาวายร้ายที่ปลุกปั่นเรื่องนี้ขึ้นก็รีบลุกจากไปอย่างรวดเร็ว ฟ่างหยวนเห็นพวกเขาเดินออกไปแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
“เอาละ นายท่านซูคงจะรับผิดชอบได้แน่นอน!” ชายคนหนึ่งดูท่าทางธรรมดาเอ่ยอย่างซื่อ ๆ เขามีใบหน้ากว้าง ทำให้เขาดูเป็นคนใจเย็นและจิตใจดี
“ข้ามีคำถามหนึ่งเท่านั้น ทำไมราคาอาหารชั้นยอดของที่นี่ถึงไม่เคยเกินหนึ่งชั่งในขณะที่ราคาของไก่ขอทานเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าตัวหรือแม้แต่ห้าสิบเท่าตัว! ท่านไม่ละโมบเกินไปหรือ?”
คำพูดของเขาจี้ใจดำเข้าอย่างจัง แต่ซูฮ่วนหลี่เอ่ยอย่างใจเย็น
“ท่านขอรับ ท่านกล่าวผิดแล้ว ราคาอาหารชั้นยอดจานก่อนหน้านี้ของตึกไป๋เว่ยจะเทียบได้กับไก่ขอทานได้อย่างไร? ดูในเรื่องส่วนประกอบแล้ว ส่วนประกอบของไก่ขอทานถูกคัดแล้วคัดอีกทีละอย่างจากพืชป่าโดยลูกสาวข้า วัตถุดิบทุกอย่างล้วนสดใหม่ แม้แต่การเลือกไก่ยังมีมาตรฐานเข้มงวด ในตอนแรกข้าถึงกับส่งคนทั้งตระกูลออกไปตามหามันอยู่ครึ่งเดือน เมื่อเราพบตัวหนึ่งเราก็ใช้ไก่ตัวนี้เป็นมาตรฐานในการสร้างโรงเลี้ยงไก่เพื่อร้านอาหารแห่งนี้ ไก่ขอทานจึงมีอยู่แค่ที่ร้านอาหารของข้าเท่านั้น!
ได้ยินดังนี้ ชายคนนั้นก็รู้สึกว่าสถานการณ์ดูผิดปกติ
“ตระกูลซูใช้เงินและกำลังมหาศาลเพื่อทำอาหารชั้นเลิศเป็นเอกลักษณ์นี้ให้ทุกคน แต่ตอนนี้ท่านเรียกพวกเราว่าพวกขี้โกง นั่นเจ็บมากนะ”
ซูฮ่วนหลี่มีท่าทีสลดลง และคนส่วนมากก็พลันรู้สึกเห็นใจไปกับเขา
“ไม่แปลกเลย มีเรื่องราวภายในจำนวนมากที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เราเข้าใจตระกูลซูผิดไปแล้ว…”
“แถมเรายังพังร้านไปด้วย เรื่องนี้มันไม่ถูก!”
“ใช่ ๆ!”
ชายคนนั้นพลันเปลี่ยนสีหน้าและแค่นเสียง “นายท่านซูช่างเป็นนักธุรกิจโดยแท้ ท่านสามารถโน้มน้าวคนอื่นได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ แต่ไม่ใช่กับข้า! บุตรสาวท่านอายุเท่าใด? นางจะสามารถคัดเลือกวัตถุดิบและปรุงอาหารเลิศรสแบบนี้ได้เรอะ? ในความเห็นของข้าท่านต้องขโมยสูตรมาจากที่ไหนสักที่แน่ ๆ ท่านปั่นหัวพวกเราให้เชื่อว่ามีแม่ครัวอัจฉริยะอยู่ในร้านอาหารของท่านงั้นหรือ?”
“ไร้สาระ!” ซูฮ่วนหลี่เอ่ยอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “อาหารเลิศรสพวกนี้ล้วนเกิดจากการวิจัยด้วยตัวเองของบุตรสาวข้า ถ้าพวกมันไม่จริง ข้ายินดีโดนฟ้าผ่าตายเลยเอ้า!”
เห็นซูฮ่วนหลี่ตรงไปตรงมาและมั่นใจเพียงนั้น ชายคนนั้นก็พลันไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
ในครั้งนี้เสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมาจากฝูงชน
“ฮ่า ๆ ท่านเพิ่งพูดไปแต่ยังไม่ได้ทำมัน ในเมื่อท่านแน่ใจนักก็ให้ซูจื่อเผยปรุงไก่ขอทานด้วยตัวเอง บางทีเราอาจจะเชื่อก็ได้”
ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ทุกคนก็เอ่ยประสานกัน “ใช่ ซูจื่อเผยอาจทำไก่ขอทานต่อหน้าพวกเราด้วยตัวเอง เราจะขอให้ท่านโจวและพ่อครัวคนอื่น ๆ มาลองชิมดู หากพ่อครัวจำรสชาติอาหารได้ ตึกไป๋เว่ยก็สมกับชื่อเสียงของมัน!”
“เป็นความคิดที่ดี นายท่านซู ทำสัญญาเร็วเข้า!”
“สัญญากับเขาสิ!!”
ซูฮ่วนหลี่มีสีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน สูตรอาหารถูกคิดค้นโดยบุตรสาวของเขาจริง แต่เป็นซูเอ้อร์หยาไม่ใช่ซูจื่อเผย!
คนที่ดูเรียบง่ายซื่อตรงได้เตรียมตัวต่อสถานการณ์นี้แล้ว
“เป็นการไม่เหมาะสมนักที่คุณหนูซูจะทำอาหารในที่สาธารณะ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการให้คำอธิบายกับพวกเรา ท่านคิดอย่างไรหรือนายท่านซู?”
เมื่อชายท่าทางธรรมดาและซื่อตรงเอ่ยเช่นนั้น ซูฮ่วนหลี่ก็ต้องสัญญากับเขา ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของตึกไป๋เว่ยจะต้องตกต่ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เขาทำเพียงเอ่ยตอบเขาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม “วันนี้ข้าจะจัดสภาพร้านอาหารใหม่ และพรุ่งนี้ในยามอู่ ข้าจะเชิญท่านมาเป็นสักขีพยาน!”
“ตกลง! นายท่านซูช่างตรงไปตรงมาจริงๆ!”
ชายผู้ดูธรรมดาและซื่อตรงจากร้านอาหารไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ ฝูงชนที่เหลือต่างทยอยออกไปทีละสองสามคน เรื่องราวของภัตตาคารแพร่กระจายไปทั้งเมืองต้าซูอย่างรวดเร็ว
หลังจากทุกคนออกไปแล้ว เถ้าแก่ร้านอาหารก็สั่งคนรับใช้ให้เก็บกวาดร้านและเขาก็ทำท่าว่าจะออกไป ฟ่างหยวนย่นคิ้วและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็วิ่งไปดึงตัวเถ้าแก่ไว้ “เถ้าแก่ขอรับ ค่าแรงข้า…”
“เจ้ายังอยากได้ค่าแรงอยู่อีกเหรอ?”
เถ้าแก่ร้านอาหารสะบัดแขนเสื้อและเอ่ยเศร้าสร้อย “ภัตตาคารเกือบจะเจ๊งแล้ว! เจ้ายังอยากจะได้ค่าแรงอยู่อีก ถ้าเจ้าไม่อยากได้งานนี้ก็ลาออกไปเลย!”
ฟ่างหยวนโกรธเสียจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง หมัดที่กำอยู่ใต้แขนเสื้อแทบรอไม่ไหวที่จะซัดออกไปชกศีรษะคนตรงหน้า แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ทำอะไรและไม่เอ่ยอะไร
“เฮ้ย! ไอ้หนุ่ม ฉลาดหน่อย” เห็นฟ่างหยวนไม่มีอะไรที่จะพูด เถ้าแก่ร้านอาหารก็เอ่ยขึ้นและตบแขนเสื้อที่ถูกฟ่างหยวนดึงไว้ จากนั้นก็เดินตามหลังซูฮ่วนหลี่ออกไป
“นายท่านขอรับ ท่านจะให้คุณหนูซูปรุงไก่ขอทานต่อหน้าสาธารณชนจริงหรือขอรับ?” เถ้าแก่ร้านอาหารตามซูฮ่วนหลี่และเอ่ยถาม แต่ฝ่ายหลังกำลังหดหู่เสียจนสาดคำด่าทอใส่เขา
“เจ้ามาถามวิธีแก้จากข้าเรอะ ข้าสั่งให้เจ้าบริหารภัตตาคาร แล้วเจ้าก็บริหารร้านแบบนี้เรอะ? เกิดความวุ่นวายแบบนี้ได้อย่างไร? บอกข้ามาให้ชัด ๆ หรือไม่ก็ออกไปซะ!”
เถ้าแก่ร้านอาหารอึ้งไปกับคำดุด่าและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ในตอนนี้เองเหอชี่ก็เดินเข้ามาและเอ่ยขึ้น “นายท่านขอรับ ท่านจะตำหนิเถ้าแก่สำหรับเรื่องในวันนี้ไม่ได้หรอก ข้าเห็นคนของภัตตาคารอื่นจำนวนมากเช่นเดียวกับอันธพาลบางคนที่ชอบปั่นเรื่องเป็นประจำอยู่ที่นี่ด้วยขอรับ”
คอมเม้นต์