การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 47
ตอนที่ ๔๗
หลังจากอบมาสองชั่วยาม ทุกคนก็พากันงีบหลับแม้แต่ซูฮ่วนหลี่ก็หลับไปด้วยจิตใจอันสงบ มีเพียงหัวหน้าพ่อครัวทั้งเจ็ดและเหอชี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังครัวยังคงจ้องเขม็ง
ใบหน้าของเหอชี่ดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง พร้อมกับความรู้สึกถูกหลอกและอับอายผุดขึ้นในใจ เขายังเริ่มสงสัยอีกว่าเขาคิดถูกไหมที่ตอนแรกตัดสินใจจะเปลี่ยนงานใหม่
“ตึ้ง!”
ฟ่างหยวนเคาะฆ้องและกลอง และทุกคนก็ตื่นขึ้นในทันที ซูจื่อเผยยกตะแกรงขึ้นอย่างทุลักทุเลและนำไก่ขอทานที่อบสุกแล้วออกจากตะแกรงมาวางบนจาน
“ข้าทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ!” เผยรอยยิ้มน่ารักแล้ว เสียงใสของซูจื่อเผยก็ดังทั่วห้องโถง “เชิญชิมได้เลยเจ้าค่ะผู้อาวุโสทั้งหลาย”
ท่านโจวขยี้ตาและเห็นว่าสีของก้อนดินดูเข้มกว่าครั้งก่อนที่ทางร้านจัดให้ ดวงตาของเขาเป็นประกายในทันที “เร็ว แบ่งให้ทุกคนเร็วเข้า!”
“มาเดี๋ยวนี้แหละขอรับ!” เถ้าเเก่เร่งฟ่างหยวนขณะชี้ไปที่เขา ในหมู่บริกรทั้งหมดแล้วเขาเป็นคนฝีมือดีที่สุดในการกะเทาะเปลือกโคลน
ฟ่างหยวนเดินออกไปด้วยสายตาเย็น เขาหยิบค้อนบนโต๊ะขึ้นมาเเล้วเหลือบมองซูจื่อเผยที่มองเขาอย่างตำหนิและเต้มไปด้วยความมั่นใจ จากนั้นเขาก็กะเทาะมันด้วยค้อนในมือ
แกร๊ก!
เปลือกโคลนแตกแบะออกเป็นสองซีกจากตรงกลาง ฝูงชนที่มองภาพนี้ต่างลุกฮือ ตบมือกันเกรียวกราว พ่อบ้านชราที่ยืนอยู่ข้างกายนายท่านถึงกับมีดวงตาฝ้าฟางหดเกร็ง พร้อมกับมีแววตาเป็นประกาย
“กลิ่นหอมถูกต้อง นี่แหละไก่ขอทาน! มันเหมือนจะหอมมากกว่าเดิมอีก!”
“กลิ่นดียิ่ง ข้าอยากกินแล้ว!”
“…”
ขณะที่ผู้คนมองภาพความคึกคักต่างพากันกลืนน้ำลาย จานเนื้อไก่แล่เป็นชิ้นก็ถูกวางตรงหน้าผู้ตัดสินทั้งแปด ท่านโจวคีบกินคำใหญ่อย่างตะกละตะกลาม ขณะที่อีกเจ็ดคนที่เหลือหั่นเนื้อไก่ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และเอาเข้าปากตามลำดับ
ต่อมาสีหน้าของท่านโจวก็เปลี่ยนไป ซูฮ่วนหลี่คิดว่าเขากำลังจะเอ่ยคำชม แต่ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากและคายเนื้อไก่ที่กินเข้าไปออกมา
“แหวะ! เนื้อหยาบกระด้างนี่มันอะไรกัน? นี่ไม่ใช่ไก่ขอทานแล้ว!” ท่านโจวโกรธเสียจนตะโกนออกมา “นายท่านซู ข้าต้องการคำอธิบาย”
หัวหน้าพ่อครัวอีกเจ็ดคนที่เหลือต่างวางตะเกียบลงและให้ความเห็นทีละคน
“ไก่ไม่สุกและอบไม่ดี”
“ไก่อบสุกครึ่งเดียว ทักษะการอบแย่มาก!”
“ทักษะการเตรียมไก่ดีแต่ยังไม่เข้าขั้นเป็นเลิศ”
“มีส่วนผสมใหม่จำนวนมาก แต่ส่วนผสมไม่เข้ากันสมบูรณ์ ทักษะการปรุงอาหารของแม่นางคนนี้อยู่แค่ระดับพื้นฐานเท่านั้น ทำสูตรอาหารดี ๆ เสียของหมด”
“…”
ทุกครั้งที่หัวหน้าพ่อครัวทั้งเจ็ดเอ่ยคำพูดออกมา ใบหน้าของซูจื่อเผยก็ซีดลงจนกระทั่งไร้สีเลือดและนั่งนิ่งด้วยความอับอายสุดขีด
“ไม่นะ…เป็นไปไม่ได้ ข้าปรุงมันตามสูตรเป๊ะ ๆ ข้ายัง…ขโมยสูตรจากห้องของนางด้วยตัวเองด้วย!”
ฟ่างหยวนที่ยืนข้างกายนางถึงกับหูกระดิกและดวงตาเป็นประกาย
ตอนนี้แน่ใจแล้วว่าอัจฉริยะด้านการปรุงอาหารไม่ใช่นาง ถ้างั้น…
“เป็นไปไม่ได้! ทำไมข้าถึงเอาชนะนางไม่ได้?” ซูจื่อเผยพลันยืนขึ้นและกรีดร้อง ขว้างวัตถุดิบบนโต๊ะจนกระจัดกระจายอย่างบ้าคลั่ง ผมอ่อนนุ่มของนางยุ่งเหยิงในทันที และชุดเรียบกริบก็เต็มไปด้วยรอยยับ ดูน่าเกลียดยิ่งนัก
“ข้าดีที่สุด! ข้าดีที่สุด!”
ความเงียบงันน่ากลัวก่อตัวในห้อง ซูจื่อเผยเป็นคนเดียวที่ยังคงตะโกนร้อง และซูฮ่วนหลี่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร พ่อบ้านชราเดินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วและทุบคุณหนูสามจนสลบก่อนจะลากออกไป
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ…พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ในตอนนี้อันธพาลคนหนึ่งก็หยิบไก่ขึ้นมาจากพื้นและยัดเข้าปาก เขาเอ่ยพึมพำ “อืม มันก็อร่อยดีอยู่! แต่ปรุงไก่ไม่ดีเอาเสียเลย เมียข้าทำอร่อยกว่านี้อีก นางเป็นอัจฉริยะแน่หรือ? ฮ่า ๆๆ…”
ทุกคนระเบิดหัวเราะ และใบหน้าชราของซูฮ่วนหลี่ก็แทบจะแดงจัดด้วยความอับอาย หลังจากวันนี้ตระกูลซูคงกลายเป็นตัวตลกใหญ่ในเมืองต้าซู ร้านอาหารคงไม่อาจฟื้นตัวจากความพ่ายแพ้นี้ได้ แม้แต่ตระกูลจูกับตระกูลหยางก็จะพากันริบเงินมหาศาลจากเขาโดยใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง
เมื่อคิดถึงอนาคตข้างหน้าแล้ว ซูฮ่วนหลี่ก็พลันรู้สึกดวงตามืดลงและเกือบจะหมดสติ
“นายท่าน ตอนนี้สิ่งเร่งด่วนที่สุดก็คือการให้คุณหนูสองมา”
หลี่หยินเอ่ยเตือนสติซูฮ่วนหลี่ที่พลันตาสว่าง
ใช่ ข้ามีเอ้อร์หยาอยู่!
“พ่อบ้าน รีบไปรับเอ้อร์หยามา ข้าจะเอาใจท่านโจวก่อน”
หลังพูดจบแล้วเขาก็เหลือบมองซูจื่อเผยที่หมดสติไปพลางขบฟันด้วยความเกลียดชัง “นังสารเลว! พานางกลับไปหาแม่ของนางแล้วก็ไม่ต้องให้ข้าเห็นหน้านางอีกในวันข้างหน้า!”
หลี่หยินมองนายท่านอย่างระมัดระวังและจากไป
ซูฮ่วนหลี่ไม่มีเวลาจะคิดถึงความหมายในสายตานั้น เขาพยุงตัวขึ้นและเดินไปที่ห้องโถงด้วยท่าทีโกรธขึ้ง เห็นเขาออกมาแล้วฝูงชนที่รู้สึกถูกหลอกอยู่ลึก ๆ ก็มาห้อมล้อมเขา ชายคนที่ดูซื่อตรงเมื่อวานนี้ยืนขึ้นและเเค่นเสียง
“นายท่านซู ท่านต้องการจะพูดอะไรตอนนี้?”
ท่านโจวส่ายหน้า “นายท่านซู ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้ ข้าจะไม่มาที่ภัตตาคารนี้เพื่อมาทานอาหารอีกต่อไปแล้ว นี่เป็นความอับอายตลอดชีวิตของข้า”
“ธุรกิจต้องดำเนินไปด้วยความสุจริต นายท่านซู กลับโรงเรียนไปอ่านหนังสือให้มากกว่านี้สักหลายปีเถอะ!”
เจ้าของภัตตาคารที่เหลือเอ่ยคำพูดร้ายกาจทุกขณะออกมาทีละประโยค
ซูฮ่วนหลี่เหยียดมือและประสานคำนับด้วยสีหน้าซับซ้อน “สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ข้าไม่คิดว่าจื่อเผยจะหลอกข้า ข้าต้องเสียใจจริง ๆ ที่หลอกลวงท่านทั้งหลาย ความจริงแล้วข้ามีบุตรสาวอีกคนหนึ่ง จื่อเผยมีพี่สาวคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้จื่อเผยปรุงอาหารโดยใช้สูตรของพี่สาวนาง ข้าไม่คิดว่านางจะหลอกลวงญาติของนางเพื่อชื่อเสียงของตัวเองเช่นนี้”
ในช่วงเวลาสำคัญ ซูฮ่วนหลี่ก็ไม่ลังเลที่จะทรยศบุตรสาวของตัวเอง
ทันใดนั้นเองภัตตาคารก็ตกอยู่ในความเงียบ โดยไม่คาดคิด มันมีจุดพลิกผันในเหตุการณ์นี้ด้วย
“ข้าจำได้แล้ว! บุตรสาวคนหนึ่งของตระกูลซูขโมยสมบัติของตระกูลนางไปเมื่อปีที่แล้วเพื่อให้คุณชายหยาางได้รับการแต่งตั้ง เพียงเพื่อจะพบว่าการลงทุนเมื่อก่อนหน้านี้ของตระกูลซูเป็นเรื่องสูญเปล่าใช่หรือไม่?”
ใครบางคนในฝูงชนพลันตาสว่าง หลังจากจำได้ คนจำนวนมากก็จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ข้าจำได้แล้ว แต่นางไม่ได้ถูกขับออกจากตระกูลซูแล้วหรือ? แล้วทำไม…”
“ทำไมเหล่าบุตรสาวตระกูลซูถึงชอบทำอะไรลึกลับกันนะ? มันช่าง…”
สตรีบางคนอดไม่ได้ที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟ่างหยวนรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่พวกนางพูด เขาไม่เชื่อว่าซูเอ้อร์หยาจะทำเช่นนั้น
ซูฮ่วนหลี่ส่ายหน้าอย่างจนใจและเอ่ยเสียงดัง “เงียบก่อน ให้ข้าได้อธิบายเถอะ ตอนแรกมีข่าวอื้อฉาวในครอบครัวที่ไม่สามารถเล่าในที่สาธารณะได้ แต่ตอนนี้จื่อเผยได้แสดงพฤติกรรมแย่ๆ ออกมาแล้ว ข้าก็ไม่อาจปกปิดมันได้อีก ความจริงแล้วจื่อเผยเป็นขโมยเมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นนางก็ใส่ร้ายพี่สาวคนที่สองของนางและทำให้ข้าต้องตัดสินใจอย่างไม่น่าให้อภัย”
เรื่องนี้สิถึงอธิบายเรื่องราวทั้งหมด!
ฝูงชนต่างฮือฮา ชายคนซื่อมีท่าทางล่องลอยจากการเปิดโปงด้วยตัวเองอย่างฉับพลันของซูฮ่วนหลี่และไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ฟ่างหยวนไม่พูดอะไรขณะที่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“นายท่านซู ข้าไม่ได้ตั้งใจจะสอดนะ แต่ทำไมท่านถึงปกปิดความผิดของซูจื่อเผยแทนที่จะพูดออกมาตรง ๆ ล่ะ? เป็นสถานการณ์ย่ำแย่มากที่ท่านดึงบุตรสาวอีกคนเข้ามาด้วย!”
ท่านโจววิจารณ์ซูฮ่วนหลี่เสียงดัง ทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกอับอาย “ถูกแล้ว ท่านพูดถูก ข้าบอกพ่อบ้านให้พาบุตรสาวอีกคนหนึ่งมากแล้ว ท่านจะได้เห็นนางครั้งนี้แหละ เรามาตัดสินกันใหม่ดีไหม?”
ท่านโจวทำสมาธิครู่หนึ่ง เขาพยักหน้าและเอ่ยตอบ “ข้าไม่เป็นไร แต่คนอื่น ๆ อีกเจ็ดคนมีงานยุ่ง ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะรอได้อีกหลายชั่วยามหรือไม่”
หัวหน้าพ่อครัวที่มาสร้างปัญหาต่างส่ายหน้าและเอ่ยขึ้น “ไม่สำคัญหรอก เราเองก็อยากจะเห็นอัจฉริยะด้านการทำอาหารตัวจริงของตระกูลซูเหมือนกัน”
“จะว่าไปแล้ว” เหอชี่ปรากฏตัวในทันที “นายท่าน ข้ายังไม่รู้ชื่อของคุณหนูสองเลยขอรับ…”
“ใช่แล้ว คุณหนูสามชื่อจื่อเผย เดาเอาว่าชื่อของคุณหนูสองก็คงไม่แย่นะถูกไหม?”
ซูฮ่วนหลี่อึ้งไปในทันที เขาจะเอ่ยชื่อซูเอ้อร์หยาได้อย่างไรกัน?
“นายท่านซู ทำไมท่านไม่พูดล่ะ?”
ใบหน้าของซูฮ่วนหลี่แดงก่ำ และเมื่อเขาพยายามจะออกเสียง “ซูเอ้อร์หยา” เขาก็ได้ยินเสียงใสไพเราะดังออกมาจากครัวาราวกับนกกำลังร้องเพลง
“ซูหลี่!”
เดินเข้ามาในห้องโถงด้วยอาการสงบแล้ว ซูเอ้อร์หยาก็เอ่ยด้วยท่าทีสง่างาม “ข้าคือซูหลี่ ซูคือชื่อแซ่ของตระกูลซู และหลี่ก็มาจากวลีหลินหลี่ (เป็นอิสระจากเครื่องพันธนาการ) ข้าขอทำความเคารพผู้อาวุโสทั้งหลายในวงการอาหารเจ้าค่ะ”
ฟ่างหยวนอ้าปากค้างไปกับหญิงสาวในชุดขาว นางมีรอยยิ้มบริสุทธิ์เหมือนกับเมื่อก่อน ชายหนุ่มรู้สึกดีใจราวกับนกกระจาบ
ที่แท้เจ้าก็คือซูหลี่
ซูหลี่สวมชุดเรียบง่าย ไม่หรูหราเหมือนกับชุดของซูจื่อเผย แต่ทุกตารางนิ้วบนใบหน้าและร่างกายล้วนสมบูรณ์แบบ นางดูราวกับดอกบัวที่เพิ่งโผล่พ้นจากน้ำ เผยความสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติออกมา ราวกับราชวังบนพระจันทร์ที่ดูเย็นเยือกและไม่อาจเเตะต้อง
“ซูฮ่วนหลี่ทำบุญด้วยอะไรในชาติที่แล้วกัน? ทำไมเขาถึงได้มีบุตรสาวงดงามราวนางฟ้าเช่นนี้?”
ทุกคนต่างมีความคิดในแง่ดีพร้อมกันและลืมเรื่องอื้อฉาวของตระกูลซูเมื่อก่อนหน้าไปจนหมด เหลือเพียงร่างของซูหลี่ในสายตา แม้แต่หญิงกลางคนบางคนยังรู้สึกอิจฉา พวกนางไม่กล่าวถึงซูจื่อเผยอีกเลย
ดวงตาของซูหลี่ฉายรอยยิ้มและเอ่ยถามเสียงดัง “ข้าไม่ทราบว่าผู้อาวุโสทั้งแปดต้องการช่วยเหลือข้าทำไก่ขอทานอันล้ำค่าหรือไม่เจ้าคะ?”
ท่านโจวพลันได้สติและหัวเราะซ่อนความเขินอายไว้ “แน่นอนสิ คุณหนูซู เชิญตามสบาย เราจะนั่งอยู่ตรงนี้”
จากนั้นเขาก็กลับที่นั่งของเขาไปด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
“ท่านพ่อ พ่อบ้านบอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ปล่อยให้ข้าจัดการเอง” ซูหลี่เอ่ยอย่างอ่อนโยนและหันหลังไปสั่งผู้ช่วยให้เตรียมวัตถุดิบอีกครั้ง
เห็นซูหลี่ปลอบเขาโดยไม่ตำหนิใด ๆ ซูฮ่วนหลี่ก็รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหล เขาเอ่ยขึ้น “เอ้อร์หยา ข้าผิดไปแล้ว ถ้าเจ้าช่วยกู้ภัตตาคารได้ข้าจะมอบมันให้เจ้าเลย และข้าก็จะไม่เอ่ยความเห็นใด ๆ”
ซูหลี่ไม่มีท่าทีตื่นเต้นใด ๆ แต่เอ่ยเร็วรี่ “ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรน่ะเจ้าคะ? ภัตตาคารเป็นของตระกูลซูของเรา ไม่เกี่ยวหรอกว่าใครจะควบคุมกิจการ ขอแค่ท่านอย่าตำหนิข้าเรื่องเปลี่ยนชื่อเท่านั้น”
“ไม่เลย” ซูฮ่วนหลี่ปาดน้ำตาและเอ่ย “หากเจ้าคิดชื่อดี ๆ ไม่ออกในเวลาอันสั้น ข้าก็คงจะทำเรื่องโง่เขลาใส่ตัวอีก”
“ข้าเชื่อว่าท่านสามารถหาชื่อที่ดีกว่านี้มาได้เจ้าค่ะหากให้เวลาท่านสักหน่อย” ซูหลี่หยีตาและหัวเราะ ซูฮ่วนหลี่พลันโบกมือและปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้หรอก ชื่อของเจ้าถูกกล่าวออกไปแล้ว มันเปลี่ยนไม่ได้อีกแล้ว นับแต่นี้ไปเจ้ามีชื่อว่าซูหลี่ ดีกว่าซูเอ้อร์หยาหลายเท่า”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” ซูหลี่พยักหน้าอย่างน่ารัก ซูฮ่วนหลี่รู้สึกโล่งใจและกลับไปนั่งที่เดิม
คอมเม้นต์