การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 65
ตอนที่ ๖๕
“ไอ้เด็กเวร แกชักจะรังแกข้าแรงไปแล้วนะ!”หลังหยุดพูด จูเหยียนก็เอ่ยอย่างยากเย็น “แกต้องการเท่าไหร่?”
“แค่สามพันชั่งเท่านั้น ข้าถึงมั่นใจว่าทำคำสั่งของท่านสำเร็จ!” ฉู่ชิงหนิงโน้มตัวพลางถูมือ ดวงตาของเขาเป็นประกาย ทำให้จูเหยียนนึกถึงหมาป่าหิวโหยที่มีดวงตาสีเขียว
“สามพันชั่ง! บวกกับหนึ่งพันชั่งที่ข้าให้แกไปแล้ว แกกำลังขอสี่พันชั่งอยู่นะ” จูเหยียนหน้าแดงสลับซีด “ไอ้เด็กเวร แกคิดเหรอว่าข้าจะไม่สู้ยิบตา? ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง แกถูกรวบเข้าซังเตแน่!”
“ฮูหยิน ข้าเหนื่อยกับลูกไม้เล็ก ๆ ของท่านแล้ว” ฉู่ชิงหนิงแคะหูและดูไร้ความหวาดกลัว “ข้าเท้าเปล่าและอย่างเลวร้ายที่สุดก็วิ่งหนีได้ แต่ท่านต่างจากข้า พื้นฐานของท่านคือเมืองต้าซู เงินสามพันชั่งนับว่าถูกมากหากจะปิดเรื่องทั้งหมด ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“…แก!”
จูเหยียนโกรธจัด ไอ้ปีศาจน้อยนี่ต้องหาข้อมูลชีวิตของนางมาอย่างดีแล้วเป็นแน่ ไม่แปลกที่เขาจะเอ่ยจัดหนักขนาดนี้
“เด็กดี”
จูเหยียนขบฟันและหยิบธนบัตรสามใบออกจากอ้อมแขน “แกกล้าดีอย่างไร! ข้าอยากจะรู้นักว่าแกจะใช้เงินสามพันชั่งนี่อย่างไร”
ซูฮ่วนหลี่อยู่ด้านหลังพระพุทธรูป เขามองจูเหยียนส่งเงินสามพันชั่งให้กับฉู่ชิงหนิงอย่างจนปัญญา ดวงตาของเขาแทบถลนจากโทสะ
นี่มันเงินของตระกูลซู!
จูเหยียน นังสารเลว กล้าใช้เงินมากขนาดนั้นนอกตระกูลซูเรอะ?!
ซูฮ่วนหลี่ดิ้นรนบ้าคลั่งเพื่อให้หลุด ทันใดนั้นหินก้อนหนึ่งก็ตีที่ด้านหลังของเขา และโชคดีมันก็ทำเชือกขาด เขารู้สึกลิงโลดและกระชากเชือกทิ้งจากนั้นก็พุ่งตัวออกมาพร้อมกับคำราม!
“จูเหยียน! กล้าดียังไงถึงโกหกข้า?!”
เสียงคำรามสร้างความสับสนให้จูเหยียน นางยังคิดว่าตัวเองฝันร้ายเมื่อเห็นซูฮ่วนหลี่พลันปรากฏตัว นายใหญ่มาที่นี่ได้อย่างไรกัน?
“ยัยแก่ แกทำข้าเจ็บแสบจริง ๆ!”
ถูกเปิดโปงโดยฉับพลัน ฉู่ชิงหนิงก็รู้สึกประหลาดใจแกมรำคาญ พร้อมส่งเสียงคำรามหงุดหงิด เขาวิ่งหนีไปอย่างรีบร้อน แต่ก็ไม่ลืมหยิบเงินสามหมื่นชั่งไปด้วย
จูเหยียนมองฉู่ชิงหนิงหายไปในชั่วพริบตาและทิ้งให้นางอยู่กับซูฮ่วนหลี่ที่กำลังเกรี้ยวกราดเพียงลำพัง นางพลันตะลึงงัน
ทำไมเรื่องราวถึงเป็นแบบนี้ไปได้?
นายใหญ่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เขาไม่เชื่อใจนางแล้วติดตามนางมาตลอดทางงั้นหรือ?
“เพี้ยะ!”
ก่อนที่จูเหยียนจะคิดเรื่องนั้น นางก็เห็นฝ่ามือขนาดใหญ่กวาดมาหาต่อหน้านาง แล้วแก้มซ้ายของนางก็ปวดแปลบในชั่วขณะต่อมา “อ๊า!”
จูเหยียนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดขณะถูกตบคว่ำลงกับพื้น แก้มซ้ายของนางบวมเป่ง ซูฮ่วนหลี่ตบนางเต็มฝ่ามืออย่างไม่ปรานี
ซูฮ่วนหลี่ไม่เคยเกรี้ยวกราดขนาดนี้มาก่อน แม้จะเป็นเวลาหลายปีที่แต่งงานกับจูเหยียน แม้แต่ตอนที่เขารู้ว่าจูเหยียนได้นอกใจเขาแม้นางจะมีท่าทีปรองดองกับเขา เขาไม่คิดเลยว่าภรรยาในนามผู้นี้จะทำเรื่องเลวร้ายในที่ลับ
จูเหยียนยังทำร้ายลูกสาวของนางเองด้วย!
“นังสารเลว แม้แต่เสือร้ายก็ยังไม่กินลูกของมัน แกต้องการให้ซูหลี่แต่งงานกับขอทาน แกมีเจตนาอะไร?”
ซูฮ่วนหลี่ดึงผมของจูเหยียนแล้วก็ตบตีนางจนใบหน้าของนางฟกช้ำดำเขียว นางกรีดร้องอ้อนวอนขอความเมตตา “นายท่าน อย่าตีข้าเลย! ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว! เจ็บเหลือเกิน อย่าตีข้า! อ๊า!”
ซูฮ่วนหลี่ตกอยู่ในห้วงโทสะ เขาไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของจูเหยียน ดูเหมือนเขายังไม่ได้ระบายความโกรธจนสาแก่ใจจึงมองไปรอบ ๆ และเห็นโต๊ะหักตัวหนึ่ง เขารีบเดินตรงไปและหักขาโต๊ะออกมากำไว้ในมือ
เมื่อจูเหยียนเห็นดังนั้นนางก็มีหน้าซีดเผือดด้วยความกลัวในทันทีและพยายามจะตะเกียกตะกายหนี
ซูฮ่วนหลี่ฟาดขาโต๊ะเข้ากับหลังของจูเหยียน “แกกล้าดียังไงถึงทำร้ายคนอื่นและขโมยเงินของข้า! ข้าจะตีแกให้ตาย!”
—
ฉู่ชิงหนิงวิ่งเร็วมาก และเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ในตอนนี้เขาได้เงินสามพันชั่งและกลับไปที่หุบเขาอย่างมีความสุข เขาไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาแต่ยังข่มขู่ฮูหยินให้ส่งเงินมาให้เขาสามพันชั่งได้อีกด้วย
“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว!”
เห็นฉู่ชิงหนิงแล้ว เฮยตานก็วิ่งมาหาพลางปาดเหงื่อและเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ ดูบ้านที่เราสร้างสิ!”
“ตกลง!”
ฉู่ชิงหนิงลูบหัวเฮยตานที่เตี้ยกว่าเขาและเดินไปยังพื้นที่เปิดโล่งไม่ไกลจากตึกไม้ไผ่ของซูหลี่ จากนั้นเขาก็ย่นคิ้วเล็กน้อย
เฮยตานรู้ว่าพี่ใหญ่ของเขาคิดอะไรอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาและเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ แม้หุบเขาจะสงบเงียบแต่ก็มีพื้นที่เล็กมาก ข้าคุยกับโกวเฉิงมานานแล้ว เราทำได้เพียงสร้างรากฐานให้ใหญ่ขึ้น ไม่อย่างนั้นมันก็จะมีภูเขาหินขวางทางอยู่ ตึกไม้ไผ่ไม่สามารถสร้างได้สูงมากนัก”
“เจ้าพูดถูก” ฉู่ชิงหนิงลูบคางและเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง เป็นเวลาครู่ใหญ่เขาก็หันไปสั่งให้เฮยตานเรียกฟ่างหยวนมาที่นี่
ใช้เวลาไม่นานนักฟ่างหยวนก็ปรากฏตัวตรงหน้าฉู่ชิงหนิง ด้วยพลังยุทธ์และการเคลื่อนไหวกายจากการฝึกวรยุทธ์ เขาก็มาที่หุบเขาภายในห้านาที เร็วกว่านั่งรถม้ามาเสียอีก
“เจ้าต้องการอะไร?” ฟ่างหยวนเดินเข้ามาและเอ่ยถาม เขาพลันเห็นลานเล็ก ๆ บนพื้นแล้วก็เข้าใจในทันทีและเอ่ยด้วยท่าทางลังเล “เจ้ากำลังจะทำอะไรน่ะ?”
ฉู่ชิงหนิงยิ้มและกระซิบ “ข้าพาแมลงพิทักษ์พิษของตระกูลฉู่มาด้วยน่ะ คิดว่าข้าจะทำอะไรล่ะ?”
ฟ่างหยวนมีสีหน้าเปลี่ยนไปและเขาก็ตกใจ เขาไม่อยากจะเชื่อพลางเอ่ยออกมา “เป็นไปได้ไง? เจ้าเป็นหัวหน้าตระกูลเรอะ?”
ตระกูลใหญ่ที่มีความเป็นมายาวนานจะมีมรดกเฉพาะตัวอย่างแมลงพิษเป็นของตัวเอง ตระกูลฟ่างกับตระกูลฉู่ก็ไม่ได้เว้น แมลงพิทักษ์พิษถูกส่งต่อมาหลายชั่วคน และมีเพียงหัวหน้าตระกูลเท่านั้นที่สามาถรับมรดกนี้ได้
ฟ่างหยวนเป็นปรมาจารย์หนุ่ม ในภายภาคหน้าเขาจะได้รับมรดกแมลงพิทักษ์พิษของตระกูลฟ่าง โชคร้ายที่ตระกูลของเขาถูกกวาดล้างและก็ไม่ทราบว่าแมลงพิษตอนนี้อยู่ที่ใด
ฉู่ชิงหนิงลูบอกและดูเศร้าไป “ระหว่างทางที่ข้าหนี ข้าพบท่านพ่อข้า เขาปกป้องข้าอยู่ครู่หนึ่ง แล้ว…”
ฟ่างหยวนเม้มปากแน่น เด็กหนุ่มทั้งสองต่างไร้ซึ่งคำพูดและตกอยู่ในความเงียบอันยาวนาน
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ฉู่ชิงหนิงก็กลับจากความทรงจำ เขายิ้มและเอ่ยขึ้น “ช่างมันเถอะ ตอนนี้เป็นเวลาที่แมลงกัดใจพิษของตระกูลฉู่จะสำแดงความสามารถแล้ว!”
ฟ่างหยวนตากระตุกเอ่ยเยาะเย้ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าเจ้าปล่อยให้แมลงกัดใจพิษกินดิน พ่อเจ้าจะคลานออกมาจากหลุมและบีบคอเจ้าจนตายแน่”
ฉู่ชิงหนิงหัวเราะเสียงหลอนและเอ่ยตอบ “ท่านพ่อข้าไม่ตำหนิข้าในสถานการณ์นั้นหรอก ข้าจะคุยกับซูหลี่ก่อน หากข้าใช้แมลงกัดใจพิษจัดการหุบเขา มันก็จะเป็นสถานที่สันโดษที่ง่ายสำหรับอาศัยแต่ยากที่จะโจมตี!”
จากนั้นฉู่ชิงหนิงก็ออกจากหุบเขาไปอย่างว่าง่าย เขาปลอมตัวและเจอซูหลี่ในตึกไป๋เว่ย
“แมลงกัดใจพิษ?”
ซูหลี่ย่นคิ้ว เมื่อฉู่ชิงหนิงพยายามจะอธิบายการใช้แมลงกัดใจพิษ นางก็โบกมือห้ามเขาไว้
“แมลงกัดใจพิษเหรอ? ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเป็นทายาทแห่งหนานเจียง” ซูหลี่มองฉู่ชิงหนิงตั้งแต่หัวจรดเท้า “ข้าเพิ่งคิดได้ว่าหุบเขามันเล็กมาก เป็นเรื่องแปลกที่จะใช้แมลงกัดใจพิษขุดหิน แต่ถ้าเจ้าเต็มใจที่จะทำเช่นนั้นก็ลงมือเลย อย่างน้อยที่สุดก็ขยายหุบเขาให้กว้างเป็นสามเท่า หากสามารถสร้างเรือนใหญ่ได้สักหลังมันก็จะดีมาก”
ฉู่ชิงหนิงพลันมีสีหน้ามืดครึ้ม เขามาที่นี่เพื่อมาอวดและหวังว่าจะได้เห็นสีหน้าประหลาดใจของหญิงสาวที่มักจะเงียบขรึม
ไม่คาดคิด ซูหลี่รู้เรื่องแมลงกัดใจพิษมากเหลือเกิน นางรู้ทุกอย่างเลยหรือเปล่านะ?
ได้ยินว่าซูหลี่จะขยายหุบเขากว้างเป็นสามเท่า เขาก็สูดหายใจลึกและรู้สึกเจ็บหน่วง มันเป็นเรื่องยากที่จะบังคับแมลงกัดใจพิษด้วยระดับพลังยุทธ์ของเขา การขยายขนาดหุบเขาสามเท่านี่เขาต้องสละชีวิตครึ่งหนึ่งเลยหรือเปล่า?!”
ซูหลี่ยิ้มพลางเอ่ย “ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าทำนี่นา เจ้าไปถามเฮยตานกับคนอื่น ๆ ให้ช่วยสร้างบ้านขณะที่กำลังขุดก็ได้ จากนั้นเจ้าก็จะรู้สึกผ่อนคลาย”
ฉู่ชิงหนิงอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา เขายอมรับข้อเสนอของซูหลี่ พวกเขาสร้างบ้านเพื่อพวกเขาเอง แม้มันจะเป็นงานหนัก แต่พวกเขาก็ต้องจัดการ ในอดีตพวกเขาไม่มีโอกาสได้สร้างบ้านด้วยซ้ำ เงินทั้งหมดมาจากกระเป๋าของซูหลี่ล้วน ๆ
“อีกอย่างหนึ่ง เจ้าซื้อข้าวเหนียวขัดสีมาขณะที่ให้เฮยตานเก็บดอกกุ้ยฮวา เจ้าจะทำอะไรหรือ?”
ฉู่ชิงหนิงรู้ว่าซูหลี่มีฝีมือด้านการทำอาหาร แต่ข้าวเหนียวขัดสี…จะเอามาทำอะไร? ทำอาหารเหรอ?
“ขณะที่เจ้าสร้างเรือน เจ้าก็น่าจะรู้ ของที่ซื้อล้วนมาจากตลาดมืด เจ้าน่าจะรู้วัตถุประสงค์ของข้าดีนะ” ซูหลี่เอ่ยเตือนเขา
ฉู่ชิงหนิงสุขุมน้อยกว่าฟ่างหยวน นางจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยย้ำเขาสองรอบ
“ข้าเข้าใจละ” ฉู่ชิงหนิงชี้ตัวเอง “ข้าปลอมตัวอยู่ และตัวตนของข้าตอนนี้ก็อ่อนไหว ข้าจะเจอเจ้าให้สั้นที่สุดเท่าที่ทำได้แล้วกัน”
จากนั้นฉู่ชิงหนิงก็กระโจนเข้าไปในตรอกมืดและหายตัวไป
ซูหลี่มองตรอกมืดที่เหมือนจะร้างผู้คน และดวงตาของนางก็ดูล้ำลึกราวกับท้องทะเล ตอนนี้นางมีผู้ช่วยสองคนแล้ว แต่สิ่งที่นางจะทำในอนาคตอาจจะยังความสงสัยและไม่พอใจของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าความสัมพันธ์อันดีนี้จะอยู่ยืนยาวแค่ไหน
ซูหลี่ถอนหายใจเบา ๆ และหยิบผ้าคลุมขึ้นสวมพลางใช้วิชาไม่มีอะไรประหลาด นางรีบเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งไปที่ไป๋เฉ่าถังทันที
อากาศหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ลมเย็นพัดแรงจนเหมือนเกราะหนา และชายหนุ่มคนหนึ่งก็ยืนอยู่บนกำแพงสูงบนป้อม ร่างหยัดตรงของเขาไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย หอกบนหลังของเขาดูราวกับมังกรกำลังเหินสู่ท้องฟ้า
ดวงตาแข็งกร้าวมองไปที่แผ่นดินรกร้างไกลออกไป เขาดูเย็นชาราวกับหิมะที่ไม่ละลาย โดยมีไอเย็นแผ่ออกมารอบตัวเขา แม้แต่นายทหารคนสนิทยังไม่กล้าเข้ามาใกล้เกินไป
อีกครู่ต่อมา ชายกลางคนแต่งตัวเหมือนทหารคนสนิทก็เดินมาหาชายหนุ่มและรายงานเสียงทุ้ม “ท่านนายพลขอรับ หน่วยสอดแนมพื้นที่รกร้างบอกว่าพวกเขาไม่เห็นกองทัพใดๆ ของดินแดนหนานจิงเลย ดินแดนหนานจิงตกอยู่ในความปั่นป่วนภายในเป็นเวลาครึ่งปี และตระกูลแมลงพิษทั้งเจ็ดต่างสู้กันอย่างดุเดือด พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับเรื่องภายในของพวกเขาอยู่ ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่โจมตีที่นี่ขอรับ”
ท่านนายพล!
ชายหนุ่มคนนี้เหมือนจะมีอายุน้อยกว่ายี่สิบปี แต่เขาเป็นนายพลหนุ่มแห่งดินแดนต้าฮั่น! สถานะของเขาสูงส่งกว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหมดในดินแดนต้าฮั่น ในยุคที่เกิดสงครามบ่อย ๆ สถานะของนายทหารล้วนสูงกว่าสถานะข้าราชการพลเรือน
“
“ความคิดของเจ้าตรงกับสิ่งที่ดินแดนหนานจิงหวังไว้ไม่มีผิด”
ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “ข้าได้ข่าวมาว่ามีคนที่ระบุตัวตนไม่ได้เข้ามาในเมืองต้าซู สถานที่ที่ใกล้ป้อมปราการที่สุด ยิ่งกว่านั้นส่วนใหญ่ยังเป็นคนในวงการยุทธภพ ข้าได้ยินมาว่ามีทายาทกลุ่มหยินโม่อยู่ ข้าควรจะหลีกเลี่ยงการปะทะของคนเช่นนั้น ตอนนี้เจ้ากลับกล้าบอกว่าป้อมนี่จะปลอดภัยไร้กังวลงั้นหรือ?”
สีหน้าของนายทหารคนสนิทวัยกลางคนเปลี่ยนไปในที่สุด กลุ่มหยินโม่เป็นกลุ่มมารที่่มีประวัติมานานเป็นร้อยปี ทายาทกลุ่มมารจะมีลักษณะอย่างไรกัน? บางทีเขาอาจจะมีพลังเหนือระดับถือกำเนิดแล้ว…การทำลายพวกเขาเป็นเรื่องง่ายราวกับการเป่าฝุ่นผง
“นายท่าน สถานที่นี้อันตรายเกินไป และท่านก็ควรกลับไปที่อวิ๋นจิงนะขอรับ!”นายทหารคนสนิทวัยกลางคนไม่เรียกชายหนุ่มว่าท่านนายพลอีกต่อไป…เขารู้สึกกังวล
“บ้าเอ๊ย!” ชายหนุ่มตวาดเขาด้วยท่าทีเย็นเยือก “สมาชิกทั้งหมดของตระกูลหลิงต่างภักดี ท่านพ่อและพี่ชายข้าต่างตายในสนามรบ ข้าจะหนีไปตอนนี้ได้อย่างไร?”
เขาได้ยินมาว่าการตายของบิดากับพี่ชายคนโตเกี่ยวข้องกับกลุ่มหยินโม่ ด้วยความแค้นทั้งเก่าและใหม่แล้วเขาจะหนีไปได้อย่างไร?
นายทหารคนสนิทวัยกลางคนถอนหายใจยาวเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ย เขาจึงกล่าวต่อ “คุณชายสอง ไม่เป็นไรหรอกที่ท่่านจะไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง แต่ท่านต้องดูแลคุณชายสามนะขอรับ”
คุณชายสองเป็นเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลิง เนื่องจากคุณชายสามเกือบจะถูกสังหารและกลายเป็นคนพิการ เขาก็ได้ทอดทิ้งตัวเองกลายเป็นคนชั่วช้าและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำตัวเสเพล คุณชายสอง ท่านควรจะอยู่รอดปลอดภัย!
แต่ตำแหน่งนายทหารคนสนิทคงไม่อาจสู้กับคุณชายสองในด้านตำแหน่งและอำนาจได้ สิ่งที่เขาทำได้ทั้งหมดคือสละชีวิตเพื่อปกป้องคุณชายสองยามเผชิญอันตราย
เมื่อนายทหารคนสนิทวัยกลางคนเอ่ยถึง คุณชายสาม ชายหนุ่มก็ดูอ่อนโยนไปครู่หนึ่ง แต่ทันใดนั้นเขาก็มีท่าทีแข็งกร้าวอีกครั้ง เขาพร้อมที่จะสังหารแล้ว!
คอมเม้นต์