การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 70
ตอนที่ ๗๐
ฉู่ชิงหนิงรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาฉับพลัน เขาจ้องมองริมฝีปากที่โค้งน้อยๆ ของซูหลี่ แม้สีหน้าของนางจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาก็รู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าเขาคือนางมารน้อยที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้มากกว่าจะเป็นหญิงสาวใจดี
ภาพลวงตางั้นหรือ?
ฉู่ชิงหนิงส่ายหน้าและมองซูหลี่ที่ไม่แม้แต่จะหัวเราะอีกครั้ง
เป็นภาพลวงตาจริง ๆ ด้วย
บ้านตระกูลซูที่ไม่มีซูหลี่เงียบสงบอย่างยิ่งและไม่มีการต่อสู้กันใด ๆ ซูหลี่ที่อยู่ในตึกไป๋เว่ยรู้สึกมีความสุขและเงียบสงบ แถมที่นี่ยังสะดวกต่อการแต่งตัวไปที่ไป๋เฉ่าถังมากกว่าด้วย
หลังจากอาการบาดเจ็บของจูเหยียนทุเลาลง ห้องของนางก็เต็มไปด้วยยาบำรุงที่ท่านยายตระกูลซูและฉุยนำมาให้
แต่นางไม่พอใจเลย!
นางพาแม่หมอมาแต่ก็เปลี่ยนแปลงได้แค่ที่อยู่ของซูหลี่ มันยังทำให้นางรู้ดีว่าหากนางไม่สามารถแยกซูหลี่ออกจากตึกไป๋เว่ยได้ นางก็ไม่สามารถขับซูหลี่ออกจากตระกูลซูได้ แต่ซูหลี่กลับใช้ทักษะการปรุงอาหารเป็นอาวุธ ซูฮ่วนหลี่จึงไม่สามารถปล่อยให้ซูหลี่ออกจากตึกไป๋เว่ยได้
“นังคนเจ้าเล่ห์! ข้าไม่เคยเห็นนางปรุงอาหารมาก่อนเลย ทำไมฝีมือการปรุงอาหารของนางจึงแข็งแกร่งนัก?”
จูเหยียนกัดริมฝีปากด้วยความเกลียดชัง นางเข้าตาจนในแผนการของนางแล้ว โชคดีที่ซูชิงถานจะกลับมาในอีกปีข้างหน้า นางจึงยังมีเวลาหาทางแก้ได้อยู่
เมื่อเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ซูหลี่ก็พัฒนาทักษะการเเพทย์ของนางอย่างต่อเนื่องขณะที่ฟ่างหยวนกับฉู่ชิงหนิงปลูกสร้างเรือนขึ้นมา
ทั้งเดือนนี้ไม่มีเหตุการณ์พิเศษอะไร ท้องของจูเหยียนพองขึ้น นางกลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในตระกูลซูไปในช่วงนี้ ท่านย่าตระกูลซูและฉุยให้การดูแลจูเหยียนแทบจะทุกวัน
ในระหว่างนี้ ซูหลี่ปลอมตัวเป็นบุรุษและทำธุรกรรมกับซูฮ่วนหลี่ที่สะพานซานเหออีกครั้ง มันเป็นธุรกรรมครั้งที่สามนับตั้งแต่ที่นางขโมยวัตถุดิบเครื่องปรุง หลังใช้เงินไปเก้าหมื่นชั่งในการสร้างเรือนและซื้อข้าวเหนียวขัดขาวกับวัตถุดิบอย่างอื่นมาขนานใหญ่ ตอนนี้นางก็เหลือเงินอยู่หกหมื่นชั่ง
ฉีเซี่ยนชิงยังไม่กลับมา ซูหลี่ไม่รู้ว่าเขาไปสนามรบไหน แต่สงครามมักกินเวลานานและไม่อาจสงบได้ในเดือนเดียว นางจึงประเมินว่าอาจารย์ของนางคงจะไปที่นั่นอย่างน้อยครึ่งปี
“ในชาติที่แล้ว ข้าทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของตระกูลซู ดังนั้นข่าวจึงถูกปิดไว้ ข้าไม่รู้ว่าเป็นแคว้นไหนที่กำลังต่อสู้กับแคว้นต้าฮั่นอยู่ในตอนนี้…”
ความคิดทั้งหมดผุดขึ้นมาในใจของซูหลี่ นางรู้ว่าเขตแดนของแคว้นต้าฮั่นไม่ได้เล็กและล้อมรอบด้วยสามแคว้น แคว้นชิงเหอตั้งอยู่ค่อนไปทางทิศใต้ของเเคว้นต้าฮั่น ติดกับแคว้นหนานเจียง แคว้นจูโช่วที่เป็นกองกำลังหนุนตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือและแคว้นเทียนเหอที่มีชื่อด้านทักษะการช่างตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ฟ่างหยวนกับฉู่ชิงหนิงต่างมาจากภัยพิบัติในแคว้นหนานเจียงทั้งคู่ พูดอย่างมีเหตุผลก็คือความวุ่นวายทั้งหลายจากสงครามน่าจะมีจุดกำเนิดมาจากแคว้นหนานเจียง แต่เมืองต้าซูอยู่ห่างไกลออกไปและสงบนิ่งอย่างยิ่ง ไม่มีบรรยากาศของสงครามเกิดขึ้นเลย ดังนั้นซูหลี่จึงประเมินเอาว่าศูนย์กลางของสงครามไม่ได้อยู่ที่นั่น
ยืนอยู่บนยอดตึกไป๋เว่ยและมองออกไปท่ามกลางราตรีไร้ขอบเขตจำกัดแล้ว ซูหลี่ก็ระบายลมหายใจเบา ๆ
หลังช่วงเดือนอันวุ่นวายและเงียบสงบ พลังยุทธ์ของนางก็ได้ไปถึงขุมที่เก้า และลมหายใจของนางก็สุขุมและลึกขึ้น นางต้องการเพียงขั้นสุดท้ายเพื่อเข้าถึงขุมจุดกำเนิด!
หากวิธีการฝึกวรยุทธ์เป็นวิธีสมบูรณ์ ก็มีเพียงเรื่องของเวลาที่จะต้องฝึกมันทีละขั้นจนกระทั่งถึงขุมพลังที่เก้า ใครบางคนที่มีฝีมือระดับธรรมดาอาจไม่สามารถบรรลุเข้าสู่ขอบเขตธรรมชาติได้ในชาตินี้และจะยังติดอยู่ในชีวิตที่มีขีดจำกัด
จากสมรรถนะของนางแล้ว นางย่อมไม่ติดอยู่ในเขตจำกัด ชีวิตชาติที่แล้วของนางต่อให้นางฝึกแบบสะเปะสะปะ นางก็ยังเข้าถึงสภาวะภายในและแม้แต่สภาวะที่สูงกว่านี้ ช่างน่าเสียดายที่ราคาที่นางต้องชดใช้นั้นสูงเกินไป อย่างน้อยนางก็ไม่ได้ระวังแผนการของซูจื่อเผยที่มีต่อนางและมีจุดจบที่น่าอนาถ
ในวันที่เจ็ดของการฝึกฝนเพื่อบรรลุสู่ขอบเขตธรรมชาติ ในที่สุดฉู่ชิงหนิงก็ได้มาหานาง
เรื่อนถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว!
เมื่อมาที่หุบเขา ซูหลี่ก็เห็นพื้นที่กว้างขึ้นเป็นสามเท่าและอดไม่ได้ที่จะชื่นชม นางยิ้มและหันกลับไปพูด “ดีมาก ในสองวันนี้พักผ่อนให้เต็มที่นะ”
ฉู่ชิงหนิงได้ยินคำพูดที่มีความหมายและอดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้ง เดือนที่ผ่านมาเขาถูกทรมาณจนเกือบตายด้วยแมลงพิษกัดกินใจ แต่เขาประหลาดใจนักที่พลังยุทธ์ของเขาก้าวหน้าอย่างเห็นชัดแทนที่จะถดถอย นอกจากนี้พื้นฐานพลังของเขายังแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย
เรื่องเหล่านี้ทำให้เขาสงสัยในเจตนาที่แท้จริงของซูหลี่ แต่เขารู้สึกว่าเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ ซูหลี่ไม่ใช่คนที่มาจากเเคว้นหนานเจียง ต่อให้นางได้ยินเรื่องแมลงพิษกัดกินหัวใจมานางก็ไม่ได้รู้ไปมากกว่าเขา
ซูหลี่ยืนอยู่ที่ประตูเรือน
เรือนนี้ใช้เงินบริสุทธิ์ไปนับหมื่นชั่ง วัสดุของมันเหนือกว่าและแพงกว่าเรือนจินหยวน พื้นที่ของมันกว้างขวางกว่าเรือนจินหยวนห้าเท่าตัว มันสามารถจุคนได้เป็นร้อย ๆ คนเลยทีเดียว
“ท่านพี่ซูหลี่!” ฟ่างหลิงวิ่งกระโดดมาหาซูหลี่ นางสวมกอดซูหลี่ไว้และเอ่ยถาม “เครื่องเรือนทั้งหลายในห้องข้าเป็นคนเลือกเอง ท่านชอบไหมเจ้าคะ?”
“ชอบสิ”
ซูหลี่ยิ้มอ่อนโยน นับตั้งแต่ฟ่างหลิงย้ายมาที่นี่ นางก็ได้รับสารอาหารมากพอที่จะเติบโต นางตัวสูงขึ้นและผิวเรียบเนียนมากขึ้น มีท่าทางหัวไวที่ดูแล้วน่าเอ็นดู
ซูหลี่คิดเรื่องนี้แต่ไม่ทันคิดว่าตอนนี้นางมีอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น แก่กว่าฟ่างหลิงเพียงสองหรือสามปี
“คุณหนู!”
“คุณหนูอยู่นี่แล้ว!”
เฮยตานและคนอื่น ๆ กรูเข้ามาในเรือน แม้พวกเขาจะทำงานหนักมาตลอดหนึ่งหรือสองเดือน พวกเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นแทนที่จะผอมแห้งราวกับไม้ซีกและมีผิวซีดเหลืองเหมือนเมื่อก่อน เป็นเพราะว่าพวกเขาอยู่ดีกินดีมากขึ้น
“พวกเขาเป็นอย่างไรบ้างล่ะ? ต่อให้พวกเขาไม่ได้ไปโรงเรียน พวกเขาก็ขยันมากนะ!”
ฉู่ชิงหนิงเดินตรงมาด้วยรอยยิ้ม
ซูหลี่พยักหน้าเล็กน้อยและเอ่ยตอบ “พวกเขานับว่าดีแต่ยังไม่บรรลุความต้องการของข้า เรานิ่งนอนใจมาหลายวันนี้ เจ้าสามารถฝึกวรยุทธ์ของตระกูลฉู่ต่อและเก็บสะสมของที่อยู่ในรายการให้มากขึ้น หากเจ้าสะสมพวกมันได้ทั้งหมดข้าก็สามารถชำระยาวิเศษเพื่อเร่งกระบวนการฝึกของพวกเขาได้”
คำพูดน้อยเกินจริงของซูหลี่ทำให้ดวงตาของฉู่ชิงหนิงเเทบถลนออกจากเบ้า!
“เจ้าสามารถชำระยาวิเศษได้หรือ?!” ฉู่ชิงหนิงชี้หน้าซูหลี่และเอ่ยขึ้นมาหลังจากนั้นครู่ใหญ่ “เจ้าเป็นปรมาจารย์พิษ แล้วเจ้าจะชำระยาวิเศษด้วยได้อย่างไร? เจ้าอ่อนวัยกว่าข้านะ!”
“นับตั้งแต่เวลาอันนมนาน ยาและพิษล้วนเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว” ซูหลี่มีท่าทางใจร้อนขึ้นมาเล็กน้อย “เวลามีจำกัด รีบฝึกวรยุทธ์ของเจ้าซะ!”
ขอทานน้อยเหล่านี้ยืนอยู่ในเรือนและมองซูหลี่พูดคุยกับฉู่ชิงหนิง พวกเขางงงันไปและไม่รู้ว่าบทสนทนาหมายความถึงพวกเขาอย่างไรบ้าง
“อาหลิง คราวหน้าสอนให้พวกเขารู้จักอ่านออกเขียนได้นะ การไม่รู้หนังสือนับว่าเป็นปัญหาโดยแท้”
ซูหลี่เอ่ยกับฟ่างหลิง ครั้งนี้เหล่าขอทานน้อยจึงเข้าใจ และดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกาย พวกเขาสามารถอ่านออกเขียนได้เหมือนกับเหล่าข้าราชการพวกนั้นงั้นหรือ?
เดือนที่แล้ว พวกเขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับการฝึกฝนดี ๆ แบบนี้เลย
หลังอธิบายสิ่งเล็ก ๆ แล้วซูหลี่ก็เริ่มทำธุรกิจ นางขอให้เฮยตานแบกกระสอบข้าวเหนียวขัดขาวเทลงไปในอ่างเพื่อล้างทำความสะอาด หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เมื่อฟ่างหยวนกลับมาจากตึกไป๋เว่ยและเห็นภาพนี้ เขาก็อึ้งไปในทันที
ซูหลี่ตั้งใจทำอาหารจานใหม่งั้นหรือ?
ทุกวันนี้เกือบทุกสิ่งในตึกไป๋เว่ยมีฟ่างหยวนเป็นคนจัดการ แม้เถ้าแก่อู่จะยังอยู่ที่นั่น แต่หลักฐานที่เขาแอบยักยอกเงินของตึกมาใช้ส่วนตัวก็คาตาซูหลี่ เพื่อไม่ให้ถูกส่งไปยังที่ทำการศักดินา เขาจึงได้แต่ฟังคำสั่งของซูหลี่เพื่อระงับการกระทำนั้นและช่วยปิดบังความจริงในภัตตาคาร
หลังจัดการเรื่องของเถ้าแก่อู่ได้ ตึกไป๋เว่ยก็อยู่ในความควบคุมของซูหลี่โดยสมบูรณ์ แต่ซูหลี่ก็ไม่ได้ทำรายการบัญชีปลอมและมอบผลกำไรทั้งหมดให้กับตระกูลซู ซึ่งทำให้ฟ่างหยวนรู้สึกสับสนยิ่งนัก
“เจ้าคิดอะไรอยู่? มานี่แล้วช่วยข้าหน่อยสิ”
ทันทีที่เขาได้ยินเสียงของซูหลี่ ฟ่างหยวนก็รีบวิ่งไปหานาง ซูหลี่โบกมือไปทางเฮยตานแล้วเอ่ยขึ้น “เรียนรู้วรยุทธ์จากพี่ใหญ่ของเจ้าเสียสิ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตามคนอื่นไม่ทันนะ”
เฮยตานรู้ว่าอะไรคือ วรยุทธ์ แล้วในตอนนี้ เขาจึงพยักหน้าทันทีและรีบวิ่งหนีไปอย่างลืมตัว
“ฉู่ชิงหนิงจะฝึกวรยุทธ์ของตระกูลให้กับเฮยตานกับคนอื่น ๆ หรือ? เจ้านั่นอยู่ในกฎของตระกูลมาตลอดเลยนะ..”
ฟ่างหยวนประหลาดใจ ซูหลี่ทำเพียงมองเขา
ฟ่างหยวนเงียบไปและระบายลมหายใจเบา ๆ ถูกแล้ว ตระกูลฉู่ถูกกวาดล้างไปแล้ว ฉู่ชิงหนิงไม่จำเป็นต้องรักษาความลับไว้อีก เขาจะสอนวรยุทธ์ตระกูลในหลุมศพงั้นหรือ? เขาเองก็เช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงฉู่ชิงหนิงเลย…
“ข้าจำได้ว่าวิธีฝึกวรยุทธ์ของตระกูลฉู่สามารถฝึกได้ทั้งชายและหญิง ซูหลี่ เจ้าน่าจะ…”
ซูหลี่ได้ยินและตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย จากนั้นนางก็ส่ายหน้าและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาหลิงสามารถเรียนรู้ได้ ข้าไม่จำเป็นต้องฝึกมันหรอก”
ฟ่างหยวนย่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้าไม่อยากเรียนรู้มันหรือ? แม้วิธีการฝึกวรยุทธ์ของตระกูลฉู่จะไม่ได้เข้าขั้นชั้นเลิศ แต่มันก็เป็นวิธีการฝึกวรยุทธ์ที่หายากเป็นอันดับสองของวงการยุทธภพเลยนะ หากเจ้าเรียนรู้มันและต่อให้เรียนรู้มันแค่ผิวเผิน เจ้าก็สามารถบรรลุขุมพลังขั้นแรกได้และไม่มีปัญหาในการรักษาตัวเองเลย”
ซูหลี่ยังคงส่ายหน้าและปฏิเสธที่จะพูดถึงมัน
ฟ่างหยวนรู้ว่าซูหลี่ดื้อมากเพียงใด เขาจึงทำเพียงลอบถอนหายใจและหยุดพยายามโน้มน้าวนาง สายตาของเขาเบนไปยังข้าวเหนียวขัดขาวที่แช่อยู่ในน้ำ
“เจ้าซื้อข้าวเหนียวขัดขาวกับส่าเหล้ามาเก็บไว้ในโกดังทั้งหลัง เจ้าเตรียมจะหมักเหล้างั้นหรือ?”
แต่ตลาดเหล้านั้นถึงจุดอิ่มตัวแล้ว มีร้านเหล้าอยู่มากมาย ต่อให้ซูหลี่ใช้ข้าวเหนียวขัดสีราคาแพงมากขึ้นในการหมักเหล้ามันก็ได้เหล้าที่ดีกว่าเหล้าพวกนั้นเล็กน้อย อีกอย่างหนึ่งราคาต้นทุนของมันก็จะสูงขึ้น พวกเขาคงขาดทุนมากกว่าได้กำไร
“อย่าถามข้านักเลย มาช่วยข้าเถอะ”
ซูหลี่ไม่อยากตอบคำถาม และฟ่างหยวนก็ชินแล้วกับการทิ้งท้ายไว้ให้เขาคิดของซูหลี่ เขาเดินตรงไปและสงข้าวเหนียวขัดสีออกมา แล้วเทมันลงไปในหวดไม้ไผ่นึ่งข้าวเหนียวที่มีผ้าฝ้ายรองอยู่และแผ่มันออกอย่างสม่ำเสมอกันตามคำสั่งของซูหลี่
เปรี๊ยะ!
เปลวไฟกำลังแผดเผาอยู่บนเตา เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นหอมเป็นครั้งคราวของข้าวก็โชยออกมา หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามซูหลี่ก็บอกให้ฟ่างหยวนหยุดนึ่งและยกหวดข้าวเหนียวทั้งหมดออกมาทำให้เย็นลง นางเติมส่าเหล่าลงไปคนอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นก็อัดมันลงไปในไหเล็ก ๆ และแผ่มันให้แบนด้วยมือ เป็นเวลาครู่หนึ่งนางก็อัดไหได้ห้าไห
“ต่อไป เจ้ากับฉู่ชิงหนิงต้องคอยสังเกตไหเหล้าให้ดี เมื่อเกิดเหล้าแล้วเจ้าต้องชิมมัน รสชาติของมันต้องไม่เปรี้ยวจนเกินไป เมื่อมันมีทั้งรสหวานและเปรี้ยวแล้วก็จงเรียกข้ามา”
ฟ่างหยวนรับฟังอย่างแข็งขันและไม่กล้าพลาดอะไรสักอย่าง แม้พวกเขาจะใช้ข้าวเหนียวขัดสีไปน้อยนิดในครั้งนี้ แต่มันก็มีค่าเท่ากับหลายร้อยชั่งเงิน เขาไม่ใช่คนสุรุ่ยสุร่ายหรอก
หลังจัดการกับไหเหล้าแล้ว ซูหลี่ก็ตรงไปยังไป๋เฉ่าถังและเริ่มพบคนไข้ แม้ในครั้งนี้จะช้ากว่าเวลาทั่วไป แต่คนไข้ก็สามารถรอคอยได้ ซูหลี่ยุ่งอยู่จนกระทั่งถึงเที่ยงคืน หลังจากคนไข้คนสุดท้ายออกไป นางก็เหยียดกายและมองไปทางความมืดด้านนอก จากนั้นนางก็เดินไปที่ประตูไม้กระดานและกำลังจะปิดประตูจากไป
ทันใดนั้นเอง!
กลิ่นคาวเลือดก็ลอยคลุ้งเข้าจมูก และแรงต้านที่ประตูก็ทำให้นางชะงักมือ ดวงตาของซูหลี่หดเกร็งและเหลือบมองลง
แล้วนางก็เห็นมือข้างหนึ่งโชกไปด้วยเลือดอยู่ตรงนั้น!
คอมเม้นต์