การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 75
LS ตอนที่ ๗๕
หลิงหลี่ตามซูหลี่ขึ้นไปบนชั้นสองของตึกไม้ไผ่ เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง เพียงพบว่าเขาไม่รู้จะอธิบายเกี่ยวกับตัวเองอย่างไรดี
เห็นหลิงหลี่ไม่พูดอะไรเมื่อเดินมาถึง ซูหลี่ก็ดูเย็นชาลง “ทำไมใต้เท้าไม่ตอบแทนน้ำใจของข้าที่ชั้นล่างล่ะเจ้าคะ? เหตุใดต้องตามข้ามาถึงชั้นบนด้วย?” นางเอ่ยประชดประชัน
หลิงหลี่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมาและเอ่ยตอบ “เป็นเรื่องจริงที่ข้าสอนให้พวกเขาฝึกวรยุทธ์เพื่อตอบแทนน้ำใจนี้ทั้งหมด ตอนนี้สมาชิกบางคนของเจ้าก็สามารถฝึกวรยุทธ์ได้แล้ว ทำไมเจ้าต้องโมโหขนาดนี้ด้วย?”
“ใต้เท้าล้อเล่นเเล้ว ข้าเป็นแค่สามัญชนจากเมืองต้าซูไม่กล้าขุ่นข้องหมองใจกับใต้เท้าหรอกเจ้าค่ะ”
หลิงหลี่มองแมงมุมสีในมือของซูหลี่ที่มีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นของเขา และเหงื่อเย็นก็ไหลท่วมกายในทันที
นางจะใช้โอกาสนี้ในการแก้แค้นงั้นหรือ?
“ทำไมหรือเจ้าคะ? ท่านไม่มีความกล้าทดสอบพิษในฐานะทายาทแห่งกลุ่มหยินโม่หรือ? หรือว่าท่านกลัวถูกข้าวางยา?”
แม้เขาจะรู้ว่าซูหลี่จี้ใจดำเขา แต่หลิงหลี่ก็รู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด เขาแค่นเสียงพลางนั่งลงข้างเตียงดูสงบอย่างยิ่งและเอ่ยเย็นชา “ทำเลย”
ในชีวิตชาติที่แล้ว เขาไม่เพียงแต่ประสบภัยอันตรายและความยากลำบากมากมายเช่นเดียวกับการต่อสู้ในสนามรบอย่างดุเดือด แต่เขาก็ลงนรกไปด้วยเช่นกัน เขาจะหวาดกลัวกับแค่แมงมุมพิษตัวเดียวได้อย่างไร?
ซูหลี่แปะไว้ที่ท้องของแมงมุมหลังเห็นหลิงหลี่พร้อมแล้ว ใยแมงมุมถูกพ่นออกมาในทันทีและทะลวงเข้าไปในลำคอของหลิงหลี่ราวกับงูตัวเล็กแหวกว่ายผ่านอวัยวะภายใน หลิงหลี่รู้สึกขยะแขยงอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นไม่ถึงสามนาทีมันก็สิ้นสุด ซูหลี่เรียกแมงมุมให้ชักใยกลับ ซึ่งมันเปลี่ยนเป็นสีขาวบริสุทธิ์เป็นสีดำดูแปลกตาอย่างมาก
หลิงหลี่รู้สึกหวาดหวั่นเต็มอก เขารู้เรื่องพิษน้อยนัก เลือดพิษในร่างของเขานี่มันอะไรกัน?
ซูหลี่ตัดเปิดใยออกและจับแมงมุมกลับเข้าไปในโหล หลังนางหยิบมีดออกมาลอกพิษออกอย่างระมัดระวังแล้ว พิษบางส่วนก็ถูกถ่ายลงไปในขวดแก้วใสและพิษสีดำก็เปลี่ยนเป็นสีหลากสีในทันทีหลังจากหยดของเหลวใสบางอย่างลงไป
ผู้เชี่ยวชาญย่อมเชี่ยวชาญในศาสตร์ของตน หลิงหลี่มีความรู้เกี่ยวกับพิษแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น แม้วรยุทธ์ของเขาจะดีกว่าซูหลี่หลายขุม แต่เขาก็ไม่อาจสู้ซูหลี่ในศาสตร์ด้านพิษและการสลายพิษได้ ผู้อาวุโสระดับถือกำเนิดผู้น่ากลัวสองคนนั้นแห่งหอชำระเลือดกลับถูกซูหลี่สังหารได้อย่างง่ายดาย
ซูหลี่หลุบตาลงและจ้องมองตาไม่กระพริบไปยังพิษที่ทำปฏิกิริยากับเซรุ่มอย่างต่อเนื่อง สีของมันเปลี่ยนไป บางครั้งดูขาวน่ากลัวราวกับกระโหลกขณะที่บางครั้งดูราวดอกไม้เลือดที่กำลังเบ่งบาน
หลิงหลี่สังเกตได้ต่อไปอีกว่าสีของขวดแก้วกำลังเปลี่ยนจากสีดำเป็นหลากสีสัน กลายเป็นสีแดง สีเหลือง ก่อนจะใสไร้สี
พิษถูกสลายแล้วหรือ?!
หลิงหลี่ตกใจเล็กน้อย ทันใดนั้นหมอกดำก็ลอยจากข้างใต้และเซรุ่มทั้งหมดก็กลายเป็นสีดำ มันเป็นฟองผุดฟู่ขึ้นมาและหายไปในทันที
ซูหลี่ส่งเสียงฮัมเย็นชาและรวบรวมควันมาไว้ด้วยกัน หลังจากของเหลวที่ตกลงมาเข้าไปแล้ว พิษก็สงบลงในทันทีราวกับเสียฤทธิ์ทั้งหมดของมันไป
โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ย หลิงหลี่รู้ว่าซูหลี่ล้มเหลว ริมฝีปากของเขาขยับ ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปลอบนาง ซูหลี่ก็หันกลับมาและเอ่ยเสียงเรียบ
“พิษเลือดของหอชำระเลือดมีคุณสมบัติเฉพาะตัวบางอย่าง มันถูกชำระจากดอกเซวียหยางเพื่อทำเป็นพิษหยางและแทรกผสมกับดอกไม้และหญ้าพิษอีกสี่สิบเก้าชนิดเพื่อสร้างเป็นพิษอันหลากหลายอีกหนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดชนิด เพื่อให้แน่ใจข้าต้องขอทดสอบพิษอีกหลายครั้ง”
คำพูดของหลิงหลี่ติดอยู่ในลำคอและเขาก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาครู่หนึ่ง น้ำเสียงของซูหลี่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
อีกอย่างหนึ่ง นางใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วยามเท่านั้นในการแก้ปัญหาพิษเลือด หลิงหลี่ก็พบว่าเขายังประเมินทักษะด้านพิษของซูหลี่ต่ำเกินไป
“ท่านอยู่ที่หุบเขานี้ได้แต่อย่าออกไป! อย่าแตะต้องของ ๆ ข้า! อย่าใช้วรยุทธ์ของท่านโดยพลการ!” ซูหลี่เอ่ย เป็นการดีกว่าที่จะกล่าวออกมาเป็นประโยคคำสั่งแทนประโยคร้องขอ
หลิงหลี่ฟังอย่างประหลาดใจและอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “แล้วข้าทำอะไรได้บ้าง?”
ซูหลี่เหลือบมองหลิงหลี่และเอ่ยตอบ “กินและนอน ใต้เท้าอยู่พักเฉย ๆ จะดีกว่านะเจ้าคะ”
จากนั้นซูหลี่ก็เดินจากไป
ในดวงตาอ่อนโยนของหลิงหลี่มีแววจนใจอยู่ เขาไม่รู้ว่าเขาไปทำให้นางโกรธตอนไหน…นางช่างดุร้ายและไร้เหตุผลเสียจริง
แม้ไม่รู้แน่ชัดว่าคำขอของซูหลี่เป็นเรื่องจริงจังหรือไม่ หลิงหลี่ก็ยังปกปิดวรยุทธ์ของเขาไว้อย่างระมัดระวัง คงเป็นเรื่องแย่หากการใช้เสวียนกงโดยไม่ระวังจะมีผลต่อการขจัดพิษของเขา
หลังแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในหุบเขาแล้ว ซูหลี่ก็กลับไปทำหน้าที่ท่านหมอและเดินทางไปยังไป๋เฉ่าถังเพื่อสะสางสถานการณ์อันยุ่งเหยิง
ไป๋เฉ่าถังถูกทำความสะอาดเรียบร้อยโดยเสมียนและคนทั่วไปในเมืองต้าซู แม้แต่ไม้กระดานประตูยังถูกเปลี่ยนใหม่ คนที่มารอคอยอยู่รอบร้านขายยาสมุนไพรต่างมารวมตัวกันทันทีที่เห็นซูหลี่
“ท่านหมอซูหลี่มาแล้ว!”
“เยี่ยมจริง! ท่านหมอซูหลี่ไม่ได้รับอันตราย!”
“…”
คนทั้งหมดที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นต่างเอ่ยออกมา
ซูหลี่ยกมือขึ้นด้วยรอยยิ้มและกดลงเบา ๆ จากนั้นทุกคนก็พลันหยุดพูดคุย ในใจของพวกเขาซูหลี่คือพระโพธิสัตว์เหมือนกันฉีเซี่ยนชิง พวกเขาย่อมฟังคำพูดของพระโพธิสัตว์อยู่แล้ว
“เมื่อคืนนี้ไป๋เฉ่าถังถูกปล้นและข้าเองก็ตกใจกับเรื่องนี้ โชคดีที่ไม่มีปัญหาใหญ่ ข้ามาช้าแล้วและอยากเริ่มตรวจคนไข้ของข้า”
ทุกคนต่างต่อแถวอย่างเชื่อฟัง ซูหลี่เริ่มหน้าที่แพทย์ในวันใหม่ แม้คนในเมืองจะเจ็บป่วยเพียงจากอาการป่วยเล็กน้อยและโรคเรื้อรัง นางก็สัมผัสได้ว่าพื้นฐานของวิชาวิปัสสนาหุบผาภูติของนางลึกซึ้งขึ้นในทุกครั้งที่นางสัมผัสชีพจรของผู้ป่วย
“วิชาวิปัสสนาหุบผาภูติช่างเป็นขุมทรัพย์แห่งวิชาการแพทย์จริง ๆ”
จากการฝึกฝนหลายวัน นางสัมผัสได้ว่ากำลังเข้าใกล้ขุมพลังถือกำเนิดมากขึ้นเรื่อย และมันก็มีเค้าลางซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งและพลันนั้นก็เหมือนจะอยู่เหนือกว่าขีดจำกัดของนางและทะลักออกมา
“จะมีการเปลี่ยนแปลงของวิชาวิปัสสนาหุบผาภูติหลังจากที่ข้าบรรลุขุมพลังถือกำเนิดหรือไม่นะ?” นางคิด
ในดวงตาของซูหลี่ฉายแววครุ่นคิดลึกซึ้ง ฉีเซี่ยนชิงไม่เคยคิดว่าซูหลี่จะประสบความสำเร็จด้านวรยุทธ์อย่างใหญ่หลวงเช่นนี้แน่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กล่าวถึงขุมพลังหลังจากขุมถือกำเนิด
ซูหลี่ไปมาหาสู่ระหว่างหุบเขาและเมืองต้าซูในแต่ละวัน เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงชั่วพริบตาเดียว ซูหลี่ไม่เคยกลับไปที่บ้านตระกูลซูเลยแม้แต่ครั้งเดียว
พิษของหลิงหลี่ถูกขจัดเหลือครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งก็อยู่ในกระบวนการกำจัด ซึ่งหมายความว่าซูหลี่ต้องทดสอบพิษอีกครั้ง
หลิงหลี่หน้าซีดอย่างยิ่งหลังได้ข่าว ทำให้ฉู่ชิงหนิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในใจ
ทั้งหมดเป็นเพราะวิธีการขจัดพิษอันน่ากลัวของซูหลี่ หลิงหลี่จึงต้องกลืนพิษนับสิบและไม่อาจทานอะไรได้เลยในระหว่างกระบวนการ รสชาติของวัตถุพิษไม่ดีเลย หลิงหลี่เรอออกมาหลายครั้งตลอดวันและกระเพาะของเขาก็กลายเป็นสนามรับของพิษทุกชนิด จากนั้นอวัยวะภายในของเขาก็ปวดแสบปวดร้อน ความทรมานในนรกไม่อาจเทียบกับสิ่งนี้ได้เลย
ฟ่างหยวนสาบานในใจว่าเขาจะไม่มีวันถูกวางยาในภายภาคหน้า ไม่อย่างนั้นเขาคงจะตายหลังจากการทรมานของซูหลี่อย่างแน่นอน ท่านชายหลิงหลี่มีสีหน้าซีดลงอย่งเห็นชัด
บนชั้นสองของตึกไม้ไผ่ หลิงหลี่ปิดหน้าต่างไม้ไผ่หลังเห็นซูหลี่หายเข้าไปในทางเข้าหุบเขาจากนั้นก็นอนลง ซูหลี่ไม่เคยอาศัยในตึกไม้ไผ่เลยตั้งแต่ที่เขามาที่นี่ นางคงจะกลับไปที่ตึกไป๋เว่ยไม่ว่าจะดึกเพียงใดราวกับไม่อยากอยู่ในสถานที่เดียวกับเขาเป็นเวลานานเกินไป
มองหลังคาต่ำของของตึกไม้ไผ่แล้วหลิงหลี่ก็จมอยู่กับสมาธิ หรือซูหลี่ถอนพิษให้เขาแล้วจริง ๆ?”
สีผิวของเขาตอนนี้ดูแย่กว่าแต่ก่อนและเขาก็รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง ฐานะของหอชำระเลือดด้อยกว่ากลุ่มเสวี่ยโหลว ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มหยินโม่เลย ทำไมพิษเลือดเฉพาะตัวของกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีชื่อด้านการชำระพิษในวงการยุทธภพถึงได้ขจัดยากเย็นเช่นนี้นะ?
เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยค่อย ๆ งอกในใจและหลิงหลี่ก็เริ่มคิดว่าซูหลี่กำลังทำอะไรบางอย่างลับ ๆ ในระหว่างการรักษา
“ซูหลี่ เจ้าเป็นศัตรูหรือเป็นมิตรกันแน่? ถ้าเจ้าต้องการวางยาข้าจริง เหตุใดเจ้าจึงช่วยชีวิตข้าไว้ในตอนแรกกัน?…”
หลิงหลี่หลับตาลงด้วยใจอันหนักอึ้ง เขาคิดว่าการได้เผชิญชีวิตทั้งสองชาติทำให้เขาสามารถเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์และเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเลยว่าสตรีอย่างซูหลี่จะทำให้สิ่งต่าง ๆ ดูไม่ชัดเจนนัก
หลังซูหลี่ออกจากหุบเขาไป นางก็มาถึงไป๋เฉ่าถังท่ามกลางลมและความเย็นจัดของปลายฤดูใบไม้ร่วง ฉีเซี่ยนชิงจากไปได้เกือบสองเดือนแล้วและคนทั่วไปในเมืองต้าซูก็คุ้นชินกับการมีอยู่ของแพทย์คนใหม่ไปแล้ว
เมื่อราตรียาวนานขึ้น คนไข้ก็ค่อย ๆ หายไป ซูหลี่ต้องไปพบคนไข้และเขียนใบสั่งยาหลังคนรับใช้ที่อยู่ในกะนั้นของไป๋เฉ่าถังออกไป ด้วยเหตุนี้เอง ประสิทธิภาพของนางก็ลดต่ำลง
ในครั้งนี้ คน ๆ หนึ่งก็ก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าเบาแต่มั่นคง
ซูหลี่เอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “นั่งลงตรงประตูรอจนกว่าข้าจะตรวจคนไข้ตรงหน้าท่านเสร็จนะ”
จากนั้นก็ไม่มีคำตอบเป็นเวลานาน
ซูหลี่สัมผัสถึงสิ่งผิดปกติและเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางหดเกร็งหลังเห็นใบหน้าของคนไข้ผู้มาใหม่
ตรงหน้าม้านั่งที่ประตู ชายหนุ่มเย็นชามีคราบเลือดเต็มตัวได้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น อกของเขากระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อยและพ่นควันขาวออกมาจากจมูกเป็นระยะ มือขวาของชายหนุ่มห้อยเละและมีเลือดหยดลงบนพื้นจนเกิดเสียงหยดติ๋ง
คนทั่วไปจำนวนหนึ่งที่เหลืออยู่เห็นอาการบาดเจ็บน่ากลัวของชายหนุ่มก็เงียบกริบด้วยความหวาดกลัว บางคนถึงกับลอบมองหาทางหนีทีไล่
ธรรมชาติของมนุษย์มักเห็นแก่ตัว ต่อให้ซูหลี่เป็นพระโพธิสัตว์มีชีวิต ก็ไม่มีใครสนใจชีวิตนางในสถานการณ์คับขันเช่นนั้น
ซูหลี่กลั้นหายใจเล็กน้อยและเอ่ยตอบ “ไหล่ขวาของท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ท่านยังไม่ตายในขณะหนึ่งหรอก โปรดนั่งตรงนั้นแล้วรอจนกว่าข้าจะตรวจคนไข้ที่เหลืออยู่เสร็จทุกคน”
แววประหลาดใจฉายบนใบหน้าของชายหนุ่ม ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่อเลยว่าซูหลี่ยังคงพูดอย่างใจเย็นได้ เขามองไปรอบ ๆ และลังเลครู่หนึ่งก่อนจะนั่งตัวตรงบนม้านั่งในที่สุด
คนทั่วไปที่เหลืออยู่พลันระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
“กลายเป็นว่าเขาเองก็เป็นคนไข้เหมือนกัน มันน่ากลัวจริง ๆ ตอนที่เขาเข้ามา…”
“เขามีบาดแผลทั่วทั้งตัวเลย เขาอาจถูกสัตว์ร้ายกัดมาก็ได้ และก็น่าสงสัยที่เขายังรอดชีวิตอยู่!”
“ตอนนี้มีเด็กบ้าระห่ำหลายคนที่ไม่สนใจตัวเอง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่มาจากไหน อี๋…”
คนไข้กระซิบกระซาบกันด้วยเสียงทุ้มต่ำและคิดว่าคนอื่นคงไม่ได้ยินพวกเขา แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นซูหลี่กับชายหนุ่มเย็นชาคนนั้นกลับได้ยินอย่างชัดเจน
คิ้วชายหนุ่มกระตุก เขาคิดว่าพวกเขาเป็นเพียงคนโง่งมจึงไม่รู้สึกโมโหพวกเขา!
คอมเม้นต์