การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 87

อ่านนิยายจีนเรื่อง การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] ตอนที่ 87 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ ๘๗

 

หลังเลิกเรียนแล้วซูหลี่ก็ถูกอาจารย์ชราเรียกตัวไว้ด้วยตัวของเขาเอง​ สร้างความอิจฉาให้กับทุกคนในชั้นเรียน

 

พวกเขาเดินมาหยุดอยู่ที่โรงน้ำชาเปิดโล่งสี่ด้าน​ อาจารย์ชราผู้ดูเป็นมิตรปล่อยให้ซูหลี่นั่งลงแล้วเขาก็เอ่ยพลางหัวเราะ​ “สาวน้อย​ เจ้าคือซูหลี่สินะ?”

 

“เจ้าค่ะ​ ท่านอาจารย์” ซูหลี่นั่งลงอย่างสุภาพเรียบร้อยและตอบกลับเสียงนุ่มนวล​ “คนที่ท่านไล่ออกจากห้องคือน้องสาวของข้าเองเจ้าค่ะ​ นางถูกท่านแม่ตามใจตั้งแต่ยังเล็ก​ ดังนั้นอย่าได้ถือสานางเลยเจ้าค่ะ”

 

“ฮ่าๆๆๆ…”

 

ซูหลี่ช่างตรงไปตรงมาเสียจนอาจารย์ชราไม่อยากถามเรื่องตะกร้าหนังสืออีก​ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและเอ่ยถามขึ้น​ “ข้าเห็นคำอธิบายประกอบที่เจ้าเขียนลงบนพจนานุกรมต้าฮั่นแล้ว​ ทุกคำที่เจ้าเขียนล้วนมีความหมาย​ บางประเด็นก็เป็นสิ่งที่แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่เข้าใจ​ ดังนั้นเจ้าต้องมีอาจารย์ดีสอนเจ้ามาก่อนหน้านี้​ เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร?”

 

“อาจารย์ของข้ามีชื่อว่าเซี่ยนชิง แซ่ของเขาคือแซ่ฉี เขาเป็นท่านหมอแห่งไป๋เฉ่าถังในเมืองของพวกเรา แต่ข้าก็ไม่รู้ชัดเจนนักเจ้าค่ะว่าเขามาจากที่ใด”

 

ซูหลี่เอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก แต่นางก็ยังทำให้อาจารย์ชรารู้สึกอึ้งไป เขาถึงกับรำพึงออกมา “เป็นเขานี่เอง ข้าว่าแล้ว…”

 

อาจารย์ชราคืนสติได้และมีความคิดเปลี่ยนไปในทันที เขาถึงกับพูดด้วยคำพูดในระดับเท่าเทียมกัน “สหายน้อย เจ้าเรียกคน ๆ นั้นว่าอย่างไรหรือ เป็นท่าน…หรืออาจารย์?”

 

ซูหลี่ย่นคิ้ว ชายชราเหมือนจะรู้เรื่องมามาก แต่ตอนนี้นางไม่สามารถถามคำถามได้มากนัก ดังนั้นนางจึงได้แต่ตอบอย่างซื่อตรง “อาจารย์เจ้าค่ะ”

 

ฉีเซี่ยนชิง ชายชราคนนั้นคงไม่ปล่อยให้นางปิดบังเรื่องนั้น นางจึงบอกอาจารย์ชราไปในทุกสิ่งและในขณะเดียวกันก็ล้วงข้อมูลบางอย่างจากเขา

 

อาจารย์ชรายิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม เขามองซูหลี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับต้องการมองเบื้องหลังอันไม่ทราบที่มาของซูหลี่ให้ทะลุปรุโปร่ง

 

ซูหลี่เเสร้งทำเป็นสับสนก่อนจะกระซิบ “ท่านอาจารย์เจ้าคะ ท่านมองเช่นนั้นทำไมหรือ? บอกข้าได้ไหมเจ้าคะว่าอาจารย์ของข้าแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่และทำไมท่านถึงดูประหลาดใจนัก?”

 

อาจารย์ชราส่ายหน้าในทันที “ในเมื่ออาจารย์ของเจ้าไม่ได้บอก ข้าก็ไม่กล้าที่จะพูดมากกว่านี้ แต่อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ควรอยู่ที่นี่ ทำไมตอนนี้เจ้าถึงมาที่นี่ทั้งที่เจ้าเองก็เปี่ยมพรสวรรค์ภายใต้การชี้นำของเขาอยู่แล้ว?”

 

“ท่านอาจารย์ มีบางเรื่องที่ท่านอาจจะยังไม่ทราบ เป็นครอบครัวของข้าที่ส่งข้ามาที่นี่เจ้าค่ะ”

 

ซูหลี่ถอนหายใจเบา ๆ และเอ่ยต่อ “อาจารย์ข้าได้จากเมืองไปเมื่อสองเดือนก่อน และข้าก็ไม่รู้ว่าเขาเดินทางไปที่ไหนและเมื่อใดเขาจะกลับมา เมื่อข้าอ่านหนังสือที่เขาทิ้งไว้ให้จนหมดแล้ว ท่านย่าของข้าก็ได้ส่งตัวข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจึงอยากเห็นว่าหอสมุดของที่นี่จะดีแค่ไหนน่ะเจ้าค่ะ”

 

อาจารย์ชราหัวเราะอย่างขัดเขิน “ข้าเกรงว่าสหายน้อยจะต้องผิดหวังแล้ว หอสมุดโรงเรียนมู่หยางจะเทียบเท่ากับคลังหนังสือของราชครูอย่าง…ท่านฉีได้อย่างไรกันล่ะ?”

 

เขาคือราชครูฉี ไม่ใช่ท่านหมอฉีผู้มหัศจรรย์! ดูเหมือนว่าชายชราคนนั้นจะมีอีกตัวตนหนึ่ง

 

ซูหลี่รู้สึกพอใจกับสิ่งที่ได้รับรู้นัก นางสนทนากับอาจารย์ชราเป็นเวลาครู่หนึ่งก่อนจะผละจากไปเพียงลำพัง

 

หลังจากซูหลี่ผละออกไปแล้ว อาจารย์ชราก็ย่นคิ้วเข้าหากัน หากซูหลี่เสียเวลาไปกับที่นี่ เขาก็จะทำให้ฉีเซี่ยนชิงผิดหวัง!

 

“ท่านพ่อ ท่านคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”

 

ในตอนนี้เอง สตรีผู้หนึ่งก็ได้เข้ามา เป็นอาจารย์หนิงที่รวบรวมจดหมายเชิญตรงประตูใหญ่นั่นเอง

 

“อาฉิง เจ้ามาได้จังหวะพอดีเลย” อาจารย์ชรากวักมือเรียกนาง “วันนี้ข้าเห็นซูหลี่แล้ว นางเปี่ยมพรสวรรค์และเรียนรู้ได้รวดเร็ว ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะถามนางว่านางเรียนรู้วิชามาจากใคร ไม่คาดคิดเลยว่านางจะเป็นศิษย์คนล่าสุดของฉีเซี่ยนชิง”

 

หนิงฉิงเอ่ยอย่างประหลาดใจ “งั้นนางก็เป็นศิษย์น้องของท่านน่ะสิเจ้าคะ? เป็นไปไม่ได้ ราชครูฉียังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน? ท่านพ่ออายุสิบหกปีเท่านั้นตอนที่เขาเป็นอาจารย์ท่านและเขาก็มีอายุหกสิบปี ตอนนี้มันผ่านมาหกสิบปีแล้ว เขาจะมีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปีได้อย่างไรเจ้าคะ?”

 

อาจารย์ชรามีสีหน้าจริงจังทันที “อาจารย์คือผู้เป้นอมตะในหมู่เราอย่างแท้จริง เราจะสงสัยเขาได้อย่างไร?”

 

หนิงฉิงไม่เห็นด้วยกับเขา แม้บิดาของนางจะบอกนางนับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าราชครูฉีคือบุคคลอมตะของแท้และเขาก็เป็นคนเปี่ยมพรสวรรค์และรอบรู้มากที่สุดในทั่วทั้งแคว้นต้าฮั่น นางไม่เคยเห็นเขาด้วยตาของตนเอง ดังนั้นนางจะเชื่อเรื่องนี้ได้อย่างไร?

 

นางมักจะคิดแต่ว่าเป็นบิดาของนางที่เทิดทูนฉีเซี่ยนชิงมากเกินไปและบูชาเขาอย่างงมงาย

 

“ท่านพ่อ ท่านคือหนิงอวิ๋นจื่อผู้มีชื่อแห่งแคว้นชิงเหอ อาจารย์ใหญ่แห่งโรงเรียนมู่หยางนะเจ้าคะ สิ่งที่ท่านเพิ่งพูดกับข้า ข้ารู้แล้วจะไม่ถือสา แต่ได้โปรดอย่าแพร่งพรายเรื่องชวนหัวนี้ออกไปนะเจ้าคะ ขายหน้าโรงเรียนเราเปล่าๆ”

 

ได้ยินดังนั้น อาจารย์ชราก็ทำได้เพียงถอนหายใจอยู่ในใจและไม่เอ่ยอะไรออกมา

 

ซูหลี่เดินออกมาจากโรงน้ำชาและหลงทางในทันทีเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่นางมาอยู่ในโรงเรียนมู่หยาง หลังเลิกเรียนคาบแรกนางก็ถูกหนิงอวิ๋นจื่อเรียกตัวมาที่โรงน้ำชา จึงไม่มีเวลาทำความคุ้นเคยกับสถานที่นัก

 

“ซูหลี่ เจ้ามองหาอะไรอยู่หรือ?”

 

ซูหลี่ได้ยินเสียงใสไพเราะดังจากเบื้องหลัง นางจึงหันกลับไปและพบว่าเป็นเม่ยรั่วหานที่เพิ่งถูกจัดเข้าชั้นเรียนปิงเมื่อก่อนหน้านี้

 

“เป็นเจ้านี่เองเม่ยรั่วหาน คือข้าหลงทางน่ะ”

 

ซูหลี่ยิ้มอ่อนโยนและตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เม่ยรั่วหานถึงกับหน้าแดงและอายเกินกว่าจะพูดดังขึ้น

 

“สาวใช้ของข้าไปขอกุญเแจเข้าเรือนมาน่ะ ข้า…ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่นนะ!”

 

จากนั้นเม่ยรั่วหานก็เดินนำหน้าและเหลือบมองซูหลี่เป็นครั้งคราว นางเห็นซูหลี่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน นางจึงพลอยมีท่าทีผ่อนคลายลงอย่างไม่รู้ตัว พวกนางสนทนากันสั้น ๆ และเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น

 

“จริงสิรั่วหาน โรงเรียนมู่หยางสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรือ? ที่นี่อำนวยความสะดวกแม้กระทั่งทุกคนต่างก็มีเรือนนอนเป็นของตัวเองน่ะ”

 

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย!” เม่ยรั่วหานโบกมืออย่างรวดเร็ว “ถ้าเจ้าอยากจะอยู่ในเรือนแยก เจ้าต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่ข้าไม่รู้ว่ามันต้องจ่ายมากขนาดไหนในแต่ละเดือน ครอบครัวเจ้าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเจ้าหรือ?”

 

ซูหลี่หรี่ตาลงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงตามปกติ “ไม่เลย เราไปดูด้วยกันเถอะ”

 

ในดวงตาคู่งามของเม่ยรั่วหานปรากฏริ้วความสงสัย นางฉลาดเฉลียวจนตระหนักได้ถึงบางสิ่ง แต่ซูหลี่ช่างเปี่ยมพรสวรรค์และหัวดีนัก…ครอบครัวนางจะไม่ใช่ตระกูลมีฐานะได้อย่างไร?

 

เป็นที่รู้กันว่าครอบครัวคนทั่วไปไม่มีปัญญาจ้างอาจารย์ได้

 

จากนั้นไม่นานพวกนางก็เดินมาถึงบ้านที่มีหลังคาสีดำ ซูหลี่เห็นซูจื่อเผยที่กำลังรับกุญแจจากอาจารย์ฝ่ายปกครองอยู่ในเรือน

 

“คุณหนู ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะเจ้าคะ?”

 

สาวใช้ผู้น่ารักและมีท่าทีกระตือรือร้นในชุดสีเหลืองก่อนก้าวเดินมาหาพวกนางพร้อมกับกุญแจและเอ่ยขึ้น “คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้กุญแจมาแล้ว เราไปกันเถอะเจ้าค่ะ!”

 

เพียงมองสาวใช้ผู้กระตือรือร้น ซูหลี่ก็รู้ว่าเม่ยรั่วหานจะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดีเยี่ยมในยามทั่วไป เพราะนางดูไม่เหมือนสาวใช้แม้แต่น้อย

 

“อากั่ว รอครู่หนึ่งก่อนนะ ให้ข้าเข้าไปขอกุญแจให้ซูหลี่ก่อน”

 

เม่ยรั่วหานดึงตัวอากั่วหมายจะเดินเข้าไป ขณะเดียวกันซูหลี่ก็เดินมาอยู่ตรงหน้าและหยุดนางไว้ นางส่ายหน้ายามเห็นเม่ยรั่วหานมองนางอย่างสงสัย

 

“โอ้! พี่สาวสองที่รักของข้า ท่านมาทำอะไรที่นี่น่ะ?”

 

ซูจื่อเผยเดินออกมาจากประตูด้วยรอยยิ้มและเขย่ากุญแจในมือ ในอกเต็มไปด้วยความรู้สึกเดือดดาล นางไม่คิดเลยว่า…ไม่กี่เดือนเท่านั้นที่พวกนางไม่ได้เจอหน้ากัน ซูหลี่ก็หน้าด้านเสียจนทำให้นางได้รับความอับอายในชั้นเรียนคาบแรกและทำให้นางได้อยู่ชั้นกุ่ยที่มีไว้สอนเด็กสี่ห้าขวบ!

 

ช่างขายหน้าสิ้นดี!

 

ซูจื่อเผยที่เคยรังแกซูหลี่ต้องการเอาคืนนางในทันที แต่เมื่อนางนึกถึงแผนของท่านย่า นางก็ข่มความขุ่นเคืองไว้และแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

เม่ยรั่วหานมองซูจื่อเผยและซูหลี่ด้วยความประหลาดใจ นางเดาได้เพียงว่าระหว่างพวกนางมีเรื่องบาดหมางกันอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกนางจะเป็นพี่สาวน้องสาวกัน

 

ซูหลี่ไม่มีกุญแจเรือน แต่ซูจื่อเผยที่พฤติกรรมแย่ที่สุดกลับได้มันไป บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลซู…มีปัญหาเรื่องความคิดกันหรือเปล่านะ?

 

เม่ยรั่วหานมองซูจื่อเผยด้วยความรังเกียจฉายชัดบนใบหน้า นางดึงมือซูหลี่และเอ่ยขึ้น “ซูหลี่ มาอยู่กับข้าเถอะ เรือนของข้ากว้างขวางพอสำหรับคนสองคน และข้าเองก็อยากถามบทเรียนต่าง ๆ กับเจ้าด้วย”

 

ซูจื่อเผยโมโหขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ที่นี่มีคนอยู่มากมายเกินไปจนนางไม่อาจระบายโทสะออกมาได้ นางทำได้เพียงยั้งตัวเองไว้และเอ่ยอย่างภาคภูมิ “ซูเอ้อร์หยา! ท่านแม่บอกให้ท่านอยู่กับข้า ห้ามอยู่ในเรือนของนาง!”

 

เม่ยรั่วหานยั้งตัวเองไว้ กลายเป็นว่าสองพี่น้องนี้ถูกกำหนดให้อยู่ด้วยกัน นางกำลังจะปล่อยมือแต่เสียงเหนี่ยวรั้งของซูหลี่ก็ดังขึ้น

 

“พี่รั่วหาน เราไปกันเถอะ”

 

อะไรนะ?

 

เม่ยรั่วหานอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ตระหนักขึ้นมาได้ด้วยความตื่นเต้นและวิ่งไปพร้อมกับซูหลี่

 

นางหมกมุ่นอยู่กับการเรียนอย่างมาก อาจารย์ที่ทางตระกูลของนางจ้างมาได้สอนนางในเรื่องเบื้องต้น จากนั้นนางก็มีพรสวรรค์มากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากเขาได้อีกต่อไป นางจึงเดินทางมาที่โรงเรียนมู่หยาง และไม่คาดคิดว่าจะเจอหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันผู้มีความรู้มากกว่านาง ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจะใช้โอกาสนี้เรียนรู้จากนางหรือไม่!

 

ซูจื่อเผยมองพวกนางราวกับคนโง่และไม่รู้จะทำอย่างไรดี

 

ซูหลี่ไม่สนใจแม้กระทั่งฟังคำสั่งของมารดาพวกนางเลย!

 

เรือนที่เม่ยรั่วหานเช่าตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยม มันห่างจากโรงเรียนเพียงร้อยหลาเท่านั้นและตั้งอยู่ในที่สูง หากพวกนางขึ้นไปที่ชั้นสองและมองลงมาก็จะเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดของโรงเรียนมู่หยาง เมื่อมองจากระยะไกล พวกนางจะเห็นกำเเพงสูง ซึ่งเม่ยรั่วหานบอกว่าอีกฝั่งหนึ่งของกำแพงเป็นที่ตั้งของโรงเรียนชายล้วน

 

“คุณหนูซูหลี่ ท่านรู้ไหมเจ้าคะว่าโรงเรียนมู่หยางก็มีด้านมืดอยู่”

 

อากั่วผู้เป็นสาวใช้มองไปรอบ ๆ ก่อนจะแลบลิ้นเอ่ยออกมา “ค่าเช่าเรือนนี้จะขึ้นอยู่กับทำเลและระยะทางตั้งแต่หนึ่งร้อยชั่งไปจนถึงหนึ่งพันชั่งต่อเดือน ซึ่งคุณหนูของเราเช่าเรือนหลังที่ดีที่สุด เรือนหลังนี้มีราคาถึงสามพันชั่งต่อเดือนเลยนะเจ้าคะ!”

 

ซูหลี่รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ตระกูลของเม่ยรั่วหานจะต้องมีฐานะสูงส่งเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นแล้วแม้แต่เหล่าคหบดีก็ไม่อยากจ่ายค่าเช่าเรือนถึงสามพันชั่งต่อเดือนโดยไม่จำเป็น

 

“อากั่ว เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว”

 

เม่ยรั่วหานเอ็ดนางและเข้าใจสถานการณ์ของซูหลี่อยู่บ้าง นางกลัวว่าซูหลี่ได้ยินแล้วอาจจะไม่สบายใจ

 

“จริงสิซูหลี่” เม่ยรั่วหานอ้ำอึ้งก่อนจะเอ่ยถาม “น้องสาวเจ้าได้อยู่เรือนเดียวกับเจ้าไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าไม่อยู่กับนางล่ะ?”

 

จากนั้นเม่ยรั่วหานพลันรู้สึกว่ามันเป็นการไม่เหมาะสมและรีบโบกมือ “อ๋า…ข้าคงถามไปโดยไม่ทันยั้งคิดน่ะ ช่างมันเถอะนะถ้าเจ้าไม่อยากตอบคำถามข้า”

 

“ไม่เป็นไรหรอก” ซูหลี่ยิ้มบาง “หากข้าอยู่กับนาง ข้าก็จะอยู่ในเรือนไม้ ข้าไม่สนหรอกว่าข้าจะยากจน แต่ข้าแค่ไม่อยากเรียกปัญหาเข้าหาตัวน่ะ”

 

“อย่างนี้นี่เอง” เม่ยรั่วหานตกใจจนยกมือขึ้นปิดปาก “ตระกูลซูทำแบบนี้กับเจ้าได้อย่างไรกันเนี่ย? ถ้าเจ้าอยู่ในตระกูลข้า เจ้าต้องถูกยกย่องให้เป็นแก้วตาดวงใจของตระกูลและถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยล่ะ พ่อแม่ของเจ้าเป็นอย่างไรกัน? พวกเขาไม่ห่วงใยเจ้าเลยหรือ?”

 

“อาจจะนะ ใครจะรู้ล่ะ?”

 

ซูหลี่ตอบอย่างกำกวม แต่มันก็ทำให้เม่ยรั่วหานรู้สึกสลดลงมากขึ้น เทียบกับซูหลี่แล้ว ปัญหาของนางถือว่าเล็กน้อยไปในทันที

 

“พักเรื่องนี้กันเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากรู้เกี่ยวกับพจนานุกรมต้าฮั่น ข้าจะให้เจ้ายืมไปอ่านแล้วเจ้าค่อยคืนเมื่อข้าจากไปแล้ว ว่าอย่างไรล่ะ?”

 

“จริงเหรอ? ซูหลี่ เจ้าช่างใจดีจริง ๆ!”

 

พวกนางระเบิดหัวเราะเสียงใสไพเราะราวกับระฆังเงิน และเสียงหัวเราะนั้นก็ลอยออกจากเรือนเข้าไปในป่าก้องออกไปไกลแสนไกล

 

หนึ่งพันหลาไกลออกไปจากเรือน ซูจื่อเผยกำลังยืนอยู่คนเดียวในเรือน นางมองวัชพืชรกครึ้มและโกรธแค้นเสียจนอยากจะจามจอบในมือใส่ศีรษะของซูหลี่

 

“ซูหลี่ คอยดูเถอะ! ข้าจะทำให้เจ้าต้องทรมานกับความอับอายทุกอย่างและถูกไล่ออกจากโรงเรียนเหมือนหมาข้างถนนเลย!”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด