การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 92
ตอนที่ ๙๒
คำถามที่สองของฮูหยินหยางสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนในที่นั้น
เนื่องเพราะคำตอบของมันง่ายเกินไป แม่นางกู่คือวีรสตรีแห่งแคว้นต้าฮั่น ดังนั้นคำพูดและการกระทำในสนามรบของนางจึงถูกบันทึกและบรรยายออกมาเป็นตำรา ขอเพียงผู้คนมีเวลาศึกษาไม่กี่ปี พวกเขาก็จะรู้คำตอบกันหมด
ฮูหยินหยางจงใจถามคำถามนี้เพื่อให้นางกลายเป็นเบี้ยล่างเสียเองงั้นหรือ?
คนหลายคนมีความคิดนั้นอยู่ในใจ เว้นแต่ซูหลี่ นางรู้ทันอย่างชัดเจนว่าฮูหยินหยาง/ฉุยต้องไม่ยอมแพ้แน่!
“สงครามเกิดขึ้นมานานกว่าสามสิบปีแล้ว”
ซูหลี่คิดถึงมันแต่เอ่ยคล้อยตามเจตนาของฮูหยินหยาง “แม่ทัพหลิงถูกข้าศึกล้อมไว้อย่างเหนียวเเน่น สถานการณ์ของสงครามล้วนขึ้นอยู่กับกำลังหนุนจากแม่นางกู่อย่างเต็มที่ ถึงอย่างนั้นแม่นางกู่ก็ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำ นางยังมีแม้กระทั่งเวลาที่จะเขียนจดหมายส่งไปที่บ้านโดยมีเนื้อความถามไถ่ถึงหลานชายคนโตของตระกูลหลิงที่อยู่ในครรภ์มารดามาสิบเดือนว่าถือกำเนิดอย่างปลอดภัยหรือไม่ ภายหลังสงครามแล้วมันก็ถูกเล่ามาปากต่อปากเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป”
หลังเอ่ยความหลังโดยสังเขปแล้ว ซูหลี่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ในหนังสือจะไม่ได้บอกว่าจดหมายถูกส่งไปหาใคร แต่ก็เป็นการง่ายที่จะคาดเดาว่าจดหมายนั้นถูกส่งไปหาฮูหยินเจียงเมิ่ง ผู้เป็นมารดาของหลานชายคนโตแห่งตระกูลหลิงเจ้าค่ะ”
คำตอบของซูหลี่ทำให้คนอื่นๆ ลอบพยักหน้า มันสมบูรณ์แบบไม่มีอะไรขัดได้ชนิดที่ว่าไร้ที่ติ ต่อให้พวกเขาเปิดหนังสืออ่านดูก็ไม่อาจจะให้คำตอบได้อย่างง่ายดายและหนักแน่นเหมือนกับคำตอบซูหลี่
“โชคร้ายที่หลานชายคนโตของตระกูลหลิงตายในสนามรบเมื่อมีอายุได้สิบเจ็ดปี หากเขายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็…”
คนบางคนด้านนอกประตูถึงกับถอนหายใจ หลายคนฟังเรื่องนี้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
สมาชิกทุกคนในตระกูลหลิงต่างเป็นนักรบ คนทั้งสามรุ่นต่างสิ้นชีพในสนามรบกันทั้งหมด ฮูหยินเจียงเมิ่งมีบุตรชายสี่คน บุตรชายคนโตสิ้นชีพในสนามรบ และบุตรชายคนที่สามก็ตายตั้งแต่ยังเล็ก นอกจากนี้บุตรชายคนที่สี่ยังพลาดดื่มพิษเข้าไปและกลายเป็นคนพิการ นางจึงเหลือเพียงบุตรชายคนที่สองที่ยังดำรงตำแหน่งในกองทัพเท่านั้น
แม่นางกู่ทุกข์ทรมานจากโศกนาฏกรรมที่ต้องสูญเสียความรักในวัยเยาว์ไป ไม่อาจรู้ได้ว่านางต้องทานทนความทุกข์ยากที่คนปกติไม่อาจทานทนได้มากขนาดไหน
ฮูหยินหยางได้ยินการถกเถียงกันต่าง ๆ นานาจึงค่อยๆ คลี่ยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “ซูหลี่ ข้าต้องบอกว่าเจ้าตอบคำถามได้ดีมาก แต่โชคไม่ดีที่เจ้าลืมไปว่าบททดสอบของข้าคือคุณธรรมของสตรี เจ้าตอบแต่เรื่องของฮูหยินเจียงเมิ่ง ซึ่งนั่นหาสาระไม่ได้เลยสักนิด!”
คนอื่น ๆ ต่างพากันสับสน พวกเขาคิดไปในทางเดียวกับซูหลี่ คำตอบมันจะผิดไปได้อย่างไร?
ซูหลี่ได้ยินก็เลิกคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “อาจารย์ฉุยเหมือนมีความคิดเห็นต่างออกไป โปรดชี้แจงพวกเราด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหยางดูสงบนิ่งและกล่าวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“ทุกคนต่างรู้ดีว่าฮูหยินเจียงเมิ่งได้รับการยกย่องให้เป็นสตรีสูงศักดิ์อันดับต้นของราชสำนัก สถานะที่นางมีเทียบเท่าได้กับขุนนางยศสูงในราชวงศ์ปัจจุบัน แต่สามสิบกว่าปีที่แล้ว ฮูหยินเจียงเมิ่งก็เป็นแค่สตรีเปี่ยมพรสวรรค์จากตระกูลต่ำต้อยที่แต่งงานเข้าตระกูลหลิง แม้ความรู้วิชาการของนางจะโดดเด่นกว่าคนในตระกูลหลายเท่า แต่นางก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่านางมาจากตระกูลต่ำต้อยได้!”
“คุณธรรมสตรีคือความดีงามของสตรี! บุรุษคือฟ้า สตรีคือผืนดิน บุรุษอยู่เหนือกว่า สตรีอยู่ต่ำกว่า มีเพียงการปฏิบัติตามเท่านั้นเราจึงจะทำให้วงศ์ตระกูลเจริญรุ่งเรือง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณธรรมสตรีถึงถูกส่งต่อมาจนถึงบัดนี้และไม่สูญสลายหายไปตลอดกาล! เจียงเมิ่งแต่งงานเข้าตระกูลหลิงก็เหมือนกับฟื้นขึ้นมาจากเปือกตม นางจึงต้องใส่ใจ อ่อนโยน และรู้จักปรนนิบัติต่อสามี นางต้องวางการตัดสินใจทั้งหมดของสามีไว้เป็นสิ่งแรกสุด”
“แม่นางกู่ส่งจดหมายไปที่บ้าน แม้นางจะถามถึงข่าวคราวของหลานคนโต แต่คนที่นางถามต้องไม่ใช่เจียงเมิ่งอย่างแน่นอน ต่อให้เจียงเมิ่งเป็นผู้รับจดหมายและเห็นว่าคนที่เขียนจดหมายเป็นตัวนางเอง นางก็จะต้องส่งมันให้สามีของนางในทันทีและรอคอยการตัดสินใจจากเขา!”
จากนั้นคนทั้งหมดก็เงียบกริบ
ฮูหยินหยางคิดว่าทุกคนกำลังตกตะลึงไปกับคำพูดของนางและนึกชื่นชมนางอยู่ นางจึงเกิดความรู้สึกอิ่มเอมขึ้นมาในใจ แต่ทันใดนั้นเองนางก็ได้ยินซูหลี่ปรบมือ
“ยอดเยี่ยม! คำพูดของอาจารย์ฉุยยอดเยี่ยมจริง ๆ เจ้าค่ะ!”
ฮูหยินหยางไม่คิดว่าซูหลี่จะเป็นคนแรกที่เอ่ยชมนาง นางจึงอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มและเอ่ยขึ้น “ซูหลี่ ต่อให้เจ้าจะยอมแพ้ในตอนนี้ ข้าก็ไม่ให้โอกาสเจ้าได้หนีหรอกนะ เจ้ายังต้องถูกขับไล่ออกจากโรงเรียน…”
“ไม่เจ้าค่ะ! อาจารย์ฉุย ท่านผิดแล้ว!”
รอยยิ้มของซูหลี่ค่อย ๆ ดูเย็นเยือกขณะที่นางเอ่ย “ท่านอาจจะบิดเบือนคุณธรรมสตรีในแบบนี้ก็ได้ ข้าเพียงรู้สึกถ่อมตัวและเอ่ยได้เพียงว่ามันฟังดูยอดเยี่ยม! ข้าเดาว่าอาจารย์ฉุยคงจะทำเช่นนี้มาตลอด ท่านกำลังลดตัวลงเป็นทาสในตระกูลหยางอยู่หรือเจ้าคะ?”
คำปรามาสของซูหลี่พลันทำให้ทุกคนหัวเราะดังลั่น ในตอนนี้เองคนทั้งหลายก็ได้มองมาที่ฮูหยินหยางด้วยความรังเกียจ
พวกนางรังเกียจคำพูดของฮูหยินหยางยิ่งนัก!
“ซูหลี่!”
ฮูหยินหยางถูกหัวเราะเยาะซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าแพ้แล้ว ทุกประโยคที่ข้าพูดล้วนเป็นแก่นแท้ของคุณธรรมสตรี มันไม่ผิด! ถ้าเจ้าไม่เชื่อมัน ก็เท่ากับเจ้าไม่เชื่อสามัญสำนึกของแคว้น! เจ้าต้องการต่อต้านคุณธรรมสตรีของเเคว้นต้าฮั่น เจ้าต้องการรับโทษมหันต์จนถึงตายงั้นหรือ?!”
ซูหลี่ยิ้มเรียบเฉยและเอ่ยตอบ “ฮูหยินเจ้าคะ คำพูดของท่านคือสามัญสำนึกแห่งเเคว้นนี้หรือ? ท่านคิดว่าตัวเองสูงส่งเกินไปแล้วเจ้าค่ะ คำพูดที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบของท่านเต็มไปด้วยช่องโหว่และไม่อาจตั้งอยู่ได้ ท่านกล่าวว่าบุรุษสูงส่งกว่า สตรีต้อยต่ำกว่า อีกทั้งทุกอย่างในบ้านหรือนอกบ้านล้วนขึ้นกับการตัดสินใจของบุรุษ งั้นข้าขอถามท่านหน่อยเจ้าค่ะว่า เมื่อนายพลหลิงจิงเหลยได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไม่สามารถพูดอะไรได้ แม่นางกู่ได้อยู่กับเขาและไม่ทำอะไรนอกจากยอมแพ้หรือไม่เจ้าคะ?”
คำพูดของซูหลี่ฟังราวกับไม้ฆ้อนยักษ์ทุบลงบนหัวใจของฮูหยินหยางจนนางหน้าซีดเงียบไปครู่ใหญ่
“ข้าถามท่านอีกครั้ง!” ซูหลี่เอ่ยด้วยดวงตาวาววับและก้าวไปข้างหน้า ฮูหยินหยางพลันเท้าสั่นและอดไม่ได้ที่จะก้าวถอย
“พูดถึงเรื่องตระกูลหลิงกันต่อเถอะเจ้าค่ะ! คนรุ่นเก่าของตระกูลหลิงเกือบสิ้นชีพในสนามรบ ตอนนี้มีเพียงแม่นางกู่ที่อายุเจ็ดสิบปีกับฮูหยินเจียงเมิ่งที่บริหารตระกูลอยู่! จากคำพูดของท่านแล้ว แม่นางกู่กับฮูหยินเจียงเมิ่งถึงกับต้องฆ่าตัวตายตามสามีของพวกนางแล้วทิ้งให้ตระกูลหลิงล่มสลายหรือไม่เจ้าคะ?!”
“วิถีของบุรุษก็คือวิถีหนึ่ง ทุกอย่างที่สตรีทำต้องกลายเป็นความดีความชอบของบุรุษทั้งหมดหรือไม่? สตรีไม่สามารถมีอิสระและศักดิ์ศรีได้เลยหรือเจ้าคะ?” เสียงของซูหลี่ดังกังวานมากขึ้น แล้วนางก็เอ่ยต่อ “ฮูหยินหยาง/ฉุย ข้าไม่รู้ว่าทำไมท่านจึงมีความคิดที่น่าขันเช่นนี้นะเจ้าคะ ท่านเป็นสตรี แต่ท่านกลับเต็มใจลดตัวลงแล้วยังภาคภูมิใจกับมันอีก ท่านทำให้ข้าตาสว่างจริง ๆ เจ้าค่ะ! แคว้นต้าฮั่นมีอาจารย์อย่างท่านนับว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียนัก!”
หลังซูหลี่พูดจบ ฮูหยินหยางก็มีใบหน้าซีดเผือดและแข้งขาอ่อนแรงจนทรุดนั่งลงกับพื้น
คอมเม้นต์