การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 98
ตอนที่ ๙๘
ธุรกรรม?
ซูฮ่วนหลี่ดูหวาดระเเวงและเอ่ยขึ้น “นอกจากการทำธุรกรรมตอนนี้แล้ว ยังมีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่มี” ซูหลี่หัวเราะอย่างไม่แยแสและเอ่ยตอบ “ดังนั้นข้าตัดสินใจที่จะขึ้นราคา!”
“ขึ้นราคาอีกแล้วหรือ?”
ซูฮ่วนหลี่กรีดร้องอย่างควบคุมไม่อยู่ “ตอนที่ข้าพบเขาครั้งแรก เขาก็ขึ้นราคาจากแปดร้อยชั่งเป็นหนึ่งพันชั่งต่อจิน ครั้งนี้เขาจะขึ้นราคาเท่าไหร่กัน?” เขาคิด
“หนึ่งพันสองร้อยชั่ง?”
“สองพันชั่งต่อจิน”
ซูหลี่เอ่ยอย่างเรียบง่าย แต่ซูฮ่วนหลี่กลับหวาดกลัวจนหัวใจหยุดเต้นฉับพลันพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด เขาเอ่ยขึ้น “เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่มีถึงหนึ่งแสนชั่งหรอกนะ ข้านับถือท่านเป็นผู้วิเศษแห่งเจียงหู อย่าทำเกินไปนักเลย!”
“นับถือข้า?”
ซูหลี่ยื่นหน้าอย่างเย้ยหยันและเอ่ยเยาะ “นายท่านตระกูลซู บางครั้งท่านก็ต้องคิดให้ดีก่อนจะพูดนะ ข้าขโมยของจากตระกูลซูมาแล้วขายกลับไป หากท่านมีความสามารถก็ควรฆ่าข้าเร็วกว่านี้! ท่านคิดหรือว่าข้าจะแสดงความเมตตายอมลดราคาลงหลังได้ยินอะไรที่ไม่รื่นหูเข้าน่ะ?”
ซูฮ่วนหลี่หยุดหายใจไปชั่วขณะและพูดอะไรไม่ออก
“ท่านบอกว่าข้าทำเกินไปงั้นหรือ?”
ซูหลี่หยัดกายตรงและกอดอกพลางเอ่ยต่อ “ใช่! ข้ากำลังรังแกท่านอยู่! ตระกูลซูรังแกสาวน้อยตัวเล็ก ๆ และเราต่างก็ทำเรื่องแบบเดียวกัน อย่ารังเกียจซึ่งกันและกันเลย!”
“…ท่าน! ท่าน!”
ซูฮ่วนหลี่โกรธจัดเสียจนหายใจหอบ เขาเอ่ยคำว่า ท่าน อยู่หลายครั้งโดยไม่จบประโยค
เขาอับท่านย่าซู/ฉุยคุมกิจการของตึกไป๋เว่ยอยู่ และพวกเขาก็วางแผนจะใช้วิธีของตระกูลหยางในการเพิ่มยอดขายไก่ขอทาน หากไม่มีเครื่องปรุงแล้วก็ไม่มีทางที่จะขายอาหารได้ ตระกูลหยางจะต้องโมโหเป็นแน่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาไม่อาจจะจินตนาการได้เลย!
ซูฮ่วนหลี่สูดหายใจลึกและโผงผางน้อยลง “ก็ได้…ข้าจะซื้อไปก่อนยี่สิบห้าจิน ให้เวลาข้าสามวันเพื่อหาเงินห้าหมื่นชั่งที่เหลือ จากนั้นข้าจึงจะค้าขายกับท่าน”
จากนั้นเขาก็หยิบเงินออกมาห้าหมื่นชั่งอีกครั้ง ซึ่งเขากำไว้แน่นจนเกือบจะบาดมือ
เมื่อพิจารณาจำนวนลูกค้าปัจจุบันที่หลั่งไหลเข้าไปในตึกไป๋เว่ย วัตถุดิบยี่สิบห้าจินสามารถหมุนกิจการได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น ระหว่างช่วงนี้เขาคงจะหาของทดแทนได้ ไม่อย่างนั้นแล้วยอดขายแปดส่วนจากตึกไป๋เว่ยจะต้องกลายเป็นของชายลึกลับ เขาจะยอมรับมันได้อย่างไร?
ซูหลี่ยื่นมือออกมารับธนบัตรไว้ในอ้อมแขน ฉู่ชิงหนิงมองและกุมท้อง เขารู้สึกสงสัย แม้ซูฮ่วนหลี่จะต้องโมโห แต่พวกเขาก็ไม่ปล่อยให้ตระกูลซูต้องตกระกำลำบาก การทำเช่นนั้นมีความหมายอะไรหรือ?
ในตอนนี้ซูหลี่ก็หยิบธนบัตรและหันหลังกลับ
ซูฮ่วนหลี่อึ้งไปทันทีและรีบตะโกนออกมา “เดี๋ยวก่อน! ท่านลืมให้วัตถุดิบกับข้างั้นหรือ?”
“อ้อ ใช่แล้ว”
ซูหลี่หันกลับมาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ามันความจำแย่จริง ๆ เกือบลืมบอกท่านแล้วว่าข้ามีวัตถุดิบอยู่สองร้อยจินที่สามารถหมุนธุรกิจของท่านได้จนกว่าท่านจะหาวัตถุดิบในปีหน้าได้ จะซื้อหรือไม่ซื้อ”
“เป็นไปไม่ได้!” ซูฮ่วนหลี่ตกใจขณะพูดตอบ “สองร้อยจินหมายถึงเงินสี่แสนชั่งเชียวนะ ข้าไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก”
“ไม่ใช่เรื่องของท่าน” รอยยิ้มของซูหลี่ดูชั่วร้ายและนัยเคลือบแฝงก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าไม่ได้พูดไปแล้วหรือ? ว่าข้าจะพูดกับนายท่านตระกูลซูเรื่องธุรกรรมใหม่ ภายในเที่ยงคืนสามวันหลังจากนี้ หากท่านไม่มา ข้าก็จะเอาวัตถุดิบทั้งหมดไปเลี้ยงหมูซะ อย่าหาว่าข้าไร้เมตตาแล้วกัน”
จากนั้นซูหลี่ก็สะบัดธนบัตรมูลค่าห้าหมื่นชั่งในมือพลางเอ่ย “นี่คือค่ามัดจำ ข้าจะจัดการวัตถุดิบพวกนั้นไว้ให้ท่านภายในสามวันนี้”
ซูฮ่วนหลี่จ้องมองซูหลี่ไม่วางตาด้วยอาการสั่นเทิ้มจากความโกรธ ทันใดนั้นเขาก็หลับตาลงและหมดสติไปเพราะเพลิงโทสะ
“นายท่าน!”
หลี่หยินอุทานและปราดเข้าไปประคองเจ้านายอย่างรวดเร็ว ซูหลี่หันหลังจากไปอย่างเย็นชา
ฉู่ชิงหนิงทานยาถอนพิษเพื่อกลับคืนสู่สภาพเดิมหลังกลับมาที่หุบเขาแล้ว เขามีเรื่องหลายเรื่องที่อยากจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดี เขาตามไปเดินเล่นกับซูหลี่และในที่สุดก็ถอนหายใจยาว “ซูหลี่ ข้าคิดว่าทักษะการแสดงของข้าดีมากแล้ว แต่เมื่อมาเห็นเจ้าในวันนี้…ข้าก็ต้องขอยอมแพ้อย่างเต็มใจ วันนี้เจ้าแสดงได้ดีเลิศนัก แม้แต่คนจากเจียงหูก็ไม่สามารถแสดงดีไปกว่าเจ้าได้”
ซูหลี่กลับสู่ร่างเดิมและเหลือบมองฉู่ชิงหนิงพลางเอ่ยตอบ “เจ้ากำลังชมข้าหรือดูแคลนข้ากันแน่? ท่านพ่อทำให้ข้าทุกข์ใจ ข้าก็จะทำให้เขาทุกข์ใจมากกว่า”
“แต่ว่า…” ฉู่ชิงหนิงเกาศีรษะและเอ่ยถาม “ตระกูลซูมีเงินมากขนาดนั้นจริง ๆ หรือเปล่า? ไม่อย่างนั้นแล้วไม่ใช่ว่าเราจะทิ้งวัตถุดิบไปอย่างเสียเปล่าหรือ?”
“ไม่หรอก!” ดวงตาของซูหลี่เป็นประกายวับวาวฉายปัญญาที่ไม่สามารถอธิบายได้ นางเอ่ยตอบ “หากท่านย่าของข้าฉลาดพอ นางจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นหรอก”
…
“อะไรนะ?”
ท่านย่าซู/ฉุยกระแทกไม้เท้าอย่างหนักหน่วงจนพื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย นางชี้หน้าบุตรชายที่กำลังงุนงงและเอ่ยขึ้น “เจ้าถูกรีดไถไปสองแสนชั่งเรอะ เจ้านี่มันลูกเลวจริง ๆ คิดจะทำให้ข้าโมโหหรืออย่างไร?”
“ท่านแม่ ข้าไม่มีทางเลือก….”
ซูฮ่วนหลี่อธิบายอย่างกระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น “ชายลึกลับคนนั้นรู้ชีวิตความเป็นอยู่ในตึกไป๋เว่ยเป็นอย่างดี หากข้าไม่ให้เงินเขาแล้ว สถานการณ์ดี ๆ ของตึกไป๋เว่ยก็คงอันตรธานหายไปในคราวเดียว!”
จากนั้นซูฮ่วนหลี่ก็มีสีหน้าบูดบึ้งและเอ่ยต่อ “แม้กำไรของตึกไป๋เว่ยจะดีมากในช่วงนี้ แต่มูลค่าทั้งหมดก็อยู่แค่สองแสนหนึ่งหมื่นชั่งเท่านั้น บวกกับกำไรร้านผ้าไหมและเงินหมุนเวียนในตระกูล เราก็สามารถเก็บได้สามแสนชั่ง ซึ่งยังขาดอีกหนึ่งแสนชั่ง ท่านแม่…”
เห็นสายตาจนปัญญาของบุตรชาย ท่านย่าซู/ฉุยก็แค่นเสียง “เจ้าคิดว่าโรงเรียนสตรีมู่หยางติดสินบนกันง่ายนักหรือไง? ข้าจ่ายไปมากกว่าหนึ่งแสนชั่งเพื่อติดสินบนตระกูลหยาง ตอนนี้เหลือเเค่ห้าหมื่นชั่งเท่านั้นล่ะ”
ซูฮ่วนหลี่ตะลึงงันทันทีและเอ่ยขึ้น “ยังขาดอีกห้าหมื่นชั่ง เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ?”
หลี่หยินยืนอยู่ตรงประตูและได้ยินคำพูดของพวกเขาทุกคำ เขาเก็บเงินไว้เป็นสิบ ๆ ปีและมันก็เพียงพอที่จะถมส่วนที่ขาดไปของตระกูลซูได้ แต่เขาก็หลับตาลงและยืนนิ่ง เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้เลย
ตึกไป๋เว่ยเป็นผลจากความอุตสาหะของคุณหนูสอง ในเมื่อมารดาและบุตรชายคู่นี้ทำลายสะพานหลังจากข้ามมาแล้ว พวกเขาก็ขับไล่คุณหนูสองออกไป ไม่จำเป็นแล้วที่จะมีไก่ขอทานในตึกไป๋เว่ย เป็นเรื่องดีแล้วล่ะที่จะปล่อยให้ชายลึกลับเอาวัตถุดิบทั้งหมดไปเลี้ยงสุกร
ท่านย่าซู/ฉุยกับซูฮ่วนหลี่ต่างถกกันเรื่องเงินส่วนที่ยังขาดเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่มีหนทางที่จะถมส่วนที่ขาดไปได้ มันคือเงินเกือบทั้งหมดที่ตระกูลซูเก็บไว้และจำนวนสามแสนห้าหมื่นชั่งก็คือเงินสูงสุดเท่าที่มีแล้ว
ภายในเรือนจินหยวน จูเหยียนกำลังนอนอาบแดด ทันใดนั้นนางก็ได้ยินอะไรบางอย่าง จึงลุกขึ้นนั่งและเห็นซูฮ่วนหลี่เดินผ่านประตูเข้ามา
“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ล่ะเจ้าคะ?” จูเหยียนดูประหลาดใจและเอ่ยทัก “จื่อเผย รินชาให้พ่อของเจ้าเร็ว!”
ซูจื่อเผยยังไม่ทันจะยกกาชาขึ้น ซูฮ่วนหลี่ก็โบกมือสั่งให้หยุด “อาเหยียน ข้ามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ เจ้ายืมเงินห้าหมื่นชั่งมาจากบ้านแม่เจ้าได้ไหม? ขอหนึ่งเดือน! ข้าจะจ่ายเงินคืนให้ภายในหนึ่งเดือน!”
จูเหยียนรู้สึกหน้าบางในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางไม่รู้ว่าหลายปีมานี้นางยืมเงินจากบ้านของท่านแม่มาเป็นจำนวนเท่าใด เมื่อนางกลับไปที่บ้านมารดา แม้แต่บิดามารดาของนางก็ยังขับไล่นางออกมา แล้วนางจะยืมเงินสักสลึงมาได้อย่างไร?
“ท่านพี่ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ นะเจ้าคะ แต่ข้า…”
เห็นสีหน้าท่าทางของภรรยา ซูฮ่วนหลี่ก็โมโหขึ้นมาทันที เขาส่งเสียงหึเย็นชาและเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ลังเลที่จะถอนเงินออกจากหอบัญชี แต่พอตระกูลเราเผชิญเรื่องเดือดร้อน เจ้ากลับกลายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวขึ้นมาทันที เจ้าช่างเป็นภรรยาที่ดีของข้าเหลือเกิน!”
จูเหยียนรู้สึกราวถูกค้อนหนักทุบลงบนหัวใจจนต้องร้องไห้ออกมาอย่างโกรธเคือง “ท่านพี่ ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ? หากข้ามีสักสลึกข้าก็ให้ท่านแล้ว! แต่ข้าช่วยเหลือท่านแม่ข้ามามาก ตอนนี้ข้าไม่มีเงินเหลือแล้ว! ข้าควรจะทำอย่างไรกับคำตำหนินี้เจ้าคะ?” นางเอ่ย
ซูฮ่วนหลี่ได้สติกลับคืนมา เมื่อเห็นภรรยาของเขาร่ำไห้อีกครั้งและนึกถึงเงินจำนวนห้าหมื่นชั่งที่ยังขาดอยู่ เขาก็เกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่ายและสะบัดแขนเสื้อเดินออกจากเรือนจินหยวน ไม่เอ่ยปลอบโยนอะไรแม้แต่คำเดียว
จูเหยียนมองประตูที่ว่างเปล่าอย่างโง่งม น้ำตาร่วงเป็นสายบนใบหน้า นางเคยแสร้งทำเป็นร้องไห้ แต่ตอนนี้นางร้องไห้ออกมาจริง ๆ แล้ว
“ท่านแม่ อย่าร้องเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวเกิดแพ้ท้องรุนแรงแล้วท่านจะทรมานเอานะเจ้าคะ!”
ซูจื่อเผยปลอบโยนมารดาของนางในทันที
จูเหยียนกุมท้องและค่อย ๆ เอนตัวลงนอนบนเก้าอี้หวาย “ข้าแต่งงานกับคนผิดจริง ๆ จื่อเผย เจ้าต้องพึ่งสิ่งนั้นเพื่อหาต้นกำเนิดของเจ้านะ มีเพียงวิธีนี้ที่ข้าจะมีชีวิตที่ดี เจ้ารู้ไหม?” นางกล่าวเสียงทุ้ม
ซูจื่อเผยกัดริมฝีปากและกล่าวตอบ “ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเจ้าค่ะ!”
ตลอดทั้งวัน ซูฮ่วนหลี่ก็เอาแต่เที่ยวขอเงิน เขาไม่ได้เงินสักแดงเดียวจากตระกูลจู ดังนั้นเขาจึงไปที่ตระกูลหยางแต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าบ้าน
ตระกูลหยางเลิกติดต่อกับตระกูลซูอย่างถาวรเนื่องจากเรื่องอื้อฉาวของซูเยว่จู๋ ซูฮ่วนหลี่ก็ได้ยินมาเช่นกันว่าตระกูลหยางเหมือนตั้งใจจะขอหย่าจากนาง
ซูฮ่วนหลี่ร้อนใจนักและไม่มีเวลาจะเป็นห่วงซูเยว่จู๋ ทันใดนั้นเขาก็เดินทางไปที่โรงจำนำหวานถง เมื่อซูฮ่วนหลี่ขอกู้เงินห้าหมื่นชั่ง เจ้าของร้านก็เชื่อว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะตอนนี้ตระกูลซูน่าจะร่ำรวยมากแล้ว
เพื่อความอุ่นใจ เจ้าของโรงจำนำจึงเสนอดอกเบี้ยหนึ่งส่วนต่อวัน ซูฮ่วนหลี่จะต้องจ่ายเงินคืนมากกว่าหนึ่งหมื่นชั่งต่อเดือนเป็นดอกเบี้ยในการยืมเงินห้าหมื่นชั่ง ซึ่งเขายอมรับไม่ได้และจำต้องกลับบ้านไป
“ดูเหมือนจะมีวิธีเดียวเท่านั้น…”
ซูฮ่วนหลี่แสดงท่าทีสิ้นหวังและรีบเรียกตัวหลี่หยินมาแจงรายละเอียดให้ฟัง
คืนนั้นเอง ฟ่างหยวนคนซอมซ่อก็กลับมาที่เรือนในหุบเขา เมื่อเขาเห็นซูหลี่ เขาก็ไม่เอ่ยอะไรและยื่นข้อมูลที่เขาได้มาจากการสืบข่าวให้กับนาง
กลายเป็นว่าตระกูลของท่านย่าซู/ฉุยไม่ใช่ตระกูลธรรมดาเช่นกัน ในครั้งอดีตมันเป็นตระกูลชั้นสูงแห่งแคว้นชิงเหอ แต่ต่อมาตระกูลนี้ก็ได้ท้าทายเบื้องสูงและถูกสั่งปลดประจำการ แต่เป็นเพราะท่านย่าซู/ฉุยอยู่ในตระกูลซูมาตลอด นางจึงไม่ได้รับผลกระทบนี้ นางมีร้านค้าอยู่ห้าแห่งในแคว้นชิงเหอ
ตอนนี้ตระกูลหยางได้เต็มใจช่วย เรื่องหนึ่งคือพวกเขาสนใจธุรกิจของตึกไป๋เว่ย อีกเรื่องหนึ่งคือท่านย่าซู/ฉุยได้รับปากไว้ว่าจะยกร้านค้าสองร้านในแคว้นชิงเหอให้กับตระกูลหยาง ต่อให้ร้านสองร้านนั้นไม่ถูกใช้โดยสมาชิกในตระกูล พวกมันก็มีค่าเช่าที่แพงหูฉี่มาก
ตระกูลหยางสนใจในผลกำไร และด้วยความช่วยเหลือจากฮูหยินหยาง/ฉุย ความร่วมมือของทั้งสองตระกูลก็เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็สามารถไล่ซูหลี่ออกจากโรงเรียนได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเมื่อดูผิวเผินแล้ว ซูหลี่ไม่ได้เงินเลยแม้แต่น้อย
“บ้านเทียนหยายังคาดการณ์เงินทุนหมุนเวียนในตระกูลซูตอนนี้ไว้ด้วย” ฟ่างหยวนเรียนรู้แผนการของซูหลี่มาจากฉู่ชิงหนิงและเอ่ยขึ้นมาในทันที “หากพวกเขาไม่ขายร้านในแคว้นชิงเหอหนึ่งหรือสองร้านในราคาที่ถูกลง พวกเขาจะไม่สามารถสะสมเงินได้ถึงสี่แสนชั่งเลย!”
ซูหลี่พลิกเอกสาร นางเท้าคางมองฟ่างหยวนกับฉู่ชิงหนิงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะได้ร้านค้าหนึ่งหรือแม้กระทั่งสองร้านในเวลาไม่นาน พวกเจ้าสองคน…ใครจะเป็นคนไปที่แคว้นชิงเหอ?”
“ข้าเอง!” ฉู่ชิงหนิงเลิกคิ้วและคุยโวด้วยความลำพอง “ซูหลี่ เจ้าเชื่อฝีมือการแสดงของข้าได้เลย พวกเขาต้องประทับใจแน่!”
ซูหลี่แย้มยิ้มมากขึ้นพลางพยักหน้าเบา ๆ โดยไม่เอ่ยอะไร ฟ่างหยวนเห็นดังนั้นก็ยิ้มบาง นางยังคงเป็นนางและไม่หวั่นไหวไปกับคำนินทาใด ๆ เลย
คืนนั้นเอง ซูหลี่ก็แต่งตัวให้ฉู่ชิงหนิง จากนั้นเขาก็รีบรุดไปที่แคว้นชิงเหอตลอดคืน
วันต่อมาเมื่อยามอรุณรุ่งเพิ่งมาถึง ถนนแห่งเมืองชิงเหอในใจกลางแคว้นชิงเหอก็เต็มไปด้วยผู้คนและพาหนะมากมาย รถม้าเก่าแก่หรูหราเคลื่อนที่ผ่านไปคันแล้วคันเล่า
ที่ตั้งของร้านค้าตระกูลฉุยถือว่าดูกลาง ๆ แต่ที่ดินนี้ไม่ได้มีราคาถูกเลย หากขายในราคาปกติ แต่ละผืนก็มีค่าได้ถึงเจ็ดหมื่นหรือแปดหมื่นชั่งเลยทีเดียว
ในตอนนี้ ร้านค้าหนึ่งของท่านย่าซู/ฉุยถูกทิ้งว่างเปล่า ซูฮ่วนหลี่รู้สึกว่าทุกนาทีและวินาทีช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้มันจะเป็นช่วงเหมันตฤดู แต่เขากลับเหงื่อไหลโซมจนแทบจะชุ่มเสื้อผ้า
วันพรุ่งนี้เป็นวันที่สามแล้ว!
หากเขาไม่สามารถขายร้านค้าได้ก่อนเวลาเส้นตาย ตึกไป๋เว่ยก็ต้องปิดตัวลง
เขาไปที่บ้านเทียนหยาเป็นการเฉพาะเพื่อประเมินราคาร้านค้า ที่ดินมีมูลค่าสมกับราคาแปดหมื่นชั่ง เขากัดฟันและหั่นราคาลงมาสามหมื่นชั่ง ดังนั้นเขาจึงขายมันไปในราคาห้าหมื่นชั่ง จริง ๆ แล้วมีคนหลายคนมาถามรายละเอียดเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าการส่งมอบที่ดินจะเสร็จสมบูรณ์ภายในสองวัน บรรดานักธุรกิจต่างพากันลังเลด้วยกลัวว่าจะโดนต้ม
หลายปีที่ผ่านมานี้มีการโกงกันเกิดขึ้นหลายครั้ง พวกเขาจึงต้องสำรวจให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะซื้อ
ซูฮ่วนหลี่คับแค้นใจนัก หากพวกเขาทั้งหมดคิดออกและตกลงซื้อร้านแล้ว มันก็คงจะสายเกินไป!
คอมเม้นต์