การแก้แค้นของคุณหนูซู [毒妻在上] – ตอนที่ 104
LS ตอนที่ ๑๐๔
“ข้า…ข้า…ข้าจะทำอะไรได้ล่ะ?!”
อู๋ชูฉินคืนสติจากอาการตกใจในที่สุด นางคงท่าทางแข็งกร้าวและจ้องกลับพลางเอ่ยตอบ “เฟิงฉิงรู่ อย่าตะโกนกรีดร้องใส่ข้าเพียงเพราะท่านเป็นช่างฝีมือเปี่ยมพรสวรรค์นะ สิ่งที่นางปักมันขยะชัด ๆ ท่านต้องการให้เรารอดูผลงานขยะนั่นงั้นหรือ?! ทำไมท่านต้องตวาดข้าด้วย?”
หลังได้ยินสิ่งที่อู๋ชูฉินเอ่ย บรรดาอาจารย์อาวุโสที่ไม่ได้ตาถึงเหมือนกับช่างปักระดับสูงก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าและเอ่ยเสริมขึ้นมาทีละคน
“อาจารย์อู๋พูดถูก ในเมื่อซูหลี่ทำผิดพลาดแล้วนางก็ควรจะหยุดมือ”
“ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”
“…”
ภาพในห้องดูไร้ระเบียบมากขึ้น เวินรั่วหมินเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่เป็นที่น่าพอใจแล้วจึงเอ่ยข้า ๆ ด้วยเสียงแค่นดังมากกว่าจะเป็นเสียงอุทาน “เงียบหน่อย! ช่างไม่งามอะไรเช่นนี้! อู๋ชูฉิน ข้าเป็นผู้คุมสอบยังไม่พูดอะไรแบบนั้น ทำไมท่านต้องตะโกนออกมาด้วย? ท่านต้องการจะมาแทนตำแหน่งข้าหรือ?”
อ่านนิยาย
เวินรั่วหมินเอ่ยช้าและเนิบเย็น แต่คำพูดของนางกลับสร้างแรงกดดันไร้ขอบเขตจากที่ใดไม่อาจทราบได้ อู๋ชูฉินพลันตัวสั่นภายใต้แรงกดดันและเหงื่อไหลซึม นางค้อมศีรษะลงและเอ่ยตอบ “อาจารย์ใหญ่ ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น! ข้า…ใจร้อนเกินไปเล็กน้อย! ข้าพูดเช่นนั้นก็เพื่อเห็นแก่คนอื่น ตอนนี้นางสอบไม่ผ่านแล้ว เหตุใดเราจึงต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะเจ้าคะ?”
เฟิงฉิงรู่พลันหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าอู๋ชูฉินยังยังยืนกรานกระต่ายขาเดียวอยู่ นางชี้ไปที่ซูหลี่และเอ่ยเสียงเย็น “อู๋ชูฉิน แหกตาดูให้ดี หากมันเป็นงานขยะ งานของท่านก็คงจะไร้สาระสิ้นดี!”
“ฉิงรู่!”
“ท่านเป็นอาจารย์กลับพูดเช่นนั้นได้อย่างไร? ไปคัดตำราจริยะมาสามร้อยหนและนำมาส่งให้ข้าภายในสามวัน” เวินรั่วหมินเอ่ยเสียงเฉียบและดูแข็งกร้าวเล็กน้อย
โทสะของเฟิงฉิงรู่พลันมอดลงหลังเวินรั่วหมินตวาดดุนาง นางใจเย็นลงและเอ่ยตอบ “ข้าน้อมรับคำสั่งท่านเจ้าค่ะ แต่…ทักษะการปักของซูหลี่ดีกว่าทักษะของข้าเสียอีก พวกเราทั้งหมดไม่มีสิทธิ์ตัดสินงานของนางเลย เปลี่ยนให้เป็นการตัดสินของอาจารย์กงได้หรือไม่เจ้าคะ?”
เหล่าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างตกใจหลังได้ยินสิ่งที่นางพูด
เมื่อไม่นานมานี้เฟิงฉิงรู่ได้ท้าทายซูหลี่ไว้ไม่ใช่หรือ? ทำไมนางถึงเปลี่ยนใจช่วยเหลือซูหลี่แล้วล่ะ?
“เฟิงฉิงรู่ ท่านพูดจาอะไรไร้สาระน่ะ?!”
อู๋ชูฉินสะดุ้งโหยงราวกับแมวถูกเหยียบหางและเอ่ยเสียงเกรี้ยว “ซูหลี่ทำผิดอย่างเห็นชัด นางไม่สมควรได้เป็นอาจารย์ ท่านกลับบอกให้อาจารย์ใหญ่ส่งเรื่องนี้ไปให้อาจารย์กง ท่านกำลังพยายามจะทำอะไรอยู่?”
เฟิงฉิงรู่คิดว่าตนเองมีฝีมือเยี่ยมยอดที่สุดและมักดูถูกช่างปักธรรมดาเสมอ นางจึงไม่เคยชอบอีกฝ่าย แต่ไม่คาดคิดว่าเฟิงฉิงรู่จะต่อต้านนางอย่างเปิดเผยเช่นนี้
ต่อให้นางจะไม่มีสิทธิ์ส่งงานปักของนางไปให้อาจารย์กง แต่ถ้าเวินรั่วหมินเป็นผู้ส่งไป นางจะกล้ำกลืนความอับอายนี้ได้อย่างไร?!
“หืมม น่าสนใจ! ใครบางคนที่ไม่มีทักษะอะไรเลยกลับอิจฉาตาร้อนเสียนี่”
เฟิงฉิงรู่เอ่ยเสียดสี นางลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างรวดเร็วและเดินตรงไปหาซูหลี่ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจขึ้นมาหลังเห็นภาพที่ซูหลี่กุมมือขวาโดยที่เลือดบนปลายนิ้วแห้งตกสะเก็ดไปแล้ว หากนางไม่ดูถูกซูหลี่ตั้งแต่แรก อู๋ชูฉินกับคนอื่น ๆ ก็คงไม่เข้าใจนางผิด
แต่ที่นี่มีคนอยู่มากมายเหลือเกิน นางจึงไม่อาจพูดคำสามคำนั้นออกมา
ซูหลี่ยิ้มหลังเห็นดังนั้น จากนั้นนางก็แกะงานปักออกจากสะดึงปัก ตัดด้ายออกและถอนเข็มลง ในที่สุดนางก็ยื่นงานปักที่ปักเสร็จครึ่งหนึ่งให้กับเฟิงฉิงรู่
เหมือนจะมีความเป็นมิตรซ่อนอยู่ในรอยยิ้มเรียบเฉยของซูหลี่ ทำให้เฟิงฉิงรู่รู้สึกผิดและหยิบงานปักมาอย่างทนุถนอม
แม้เวินรั่วหมินจะไม่ได้เก่งด้านงานหัตถกรรม แต่นางก็มีความสามารถในการประเมินงานเฉพาะตัวภายใต้อิทธิพลจากสหายของนาง นางเห็นเอกลักษณ์ในทักษะการปักของซูหลี่ได้เพียงเห็นแค่แวบเดียว
“นั่นมัน…ทักษะการปักดอกไม้แบบต้าฮั่นงั้นหรือ?”
ดวงตาของเวินรั่วหมินเป็นประกายและนางก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างสุขใจ แม้นางจะไม่เห็นมันมากนักแต่ก็รู้ถึงความสำเร็จของซูหลี่จากทักษะการปักชั้นครูที่มีฝีเข็มละเอียด ลวดลายเรียบลื่นมีชีวิตชีวาไม่ขาดตอนและความเร็วในการปักอันว่องไว บางทีทักษะการปักของนางนับว่าดีกว่าเฟิงฉิงรู่เสียอีก
เพียงแค่สิ่งนี้ก็ทำให้ซูหลี่สมควรแก่การเป็นช่างหัตถกรรมแล้ว
“ดีมาก!”
เวินรั่วหมินอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นและถอนหายใจ “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าหนิงฉิงจะพาผู้มีพรสวรรค์เข้ามายังสำนักของเรา ซูหลี่ เจ้าต้องการสอนวิชาหัตถกรรมหรือไม่?”
ซูหลี่ยืนขึ้นในทันที นางพยักหน้าและเอ่ยตอบ “ข้าต้องการทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
อู๋ชูฉินตะลึงไปและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
เวินรั่วหมินไม่เคยลำเอียงเข้าข้างใครเพราะอารมณ์ของตัวเอง นั่นก็หมายความว่า…งานปักนั้นไม่ใช่งานขยะแม้แต่น้อย มันเป็นเพราะความสามารถในการประเมินของนางต่ำต้อยเอง!
อาจารย์งานหัตถกรรมรอบด้านต่างกระตือรือร้นที่จะเห็นมัน และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะลุกออกจากที่นั่งเพื่อชมมัน ผู้คนต่างเข้ามาห้อมล้อมรอบตัวเวินรั่วหมินในเวลาไม่นาน
จากนั้นเสียงอุทานฮือฮาก็ทยอยดังขึ้น
“อ้า! ทักษะการปักนี่มัน…แม้ข้าจะไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนัก แต่มันเป็นงานที่ดี!”
“นางจบฝีเข็มด้วยมุมแบบนั้นได้อย่างไรกัน? น่าอัศจรรย์นัก!”
“น่าเสียดาย! มันเป็นลายที่ยังปักไม่เสร็จ มันเป็นแม่น้ำงั้นหรือ? ดูแล้วให้ความรู้สึกเป็นประกายระยิบระยับเลย!”
“ถ้าอู๋ชูฉินไม่ห้ามไว้ เราคงได้เห็นลวดลายแบบเต็มแล้ว…”
“ใช่…”
คนจำนวนมากที่สบประมาทซูหลี่พร้อมกับอู๋ชูฉินอดไม่ได้ที่จะตบอกและกระทืบเท้า จากนั้นก็เริ่มตำหนิอู๋ชูฉินทีละคน
อู๋ชูฉินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าซีดเผือด นางเองก็อยากเห็นมันเช่นกัน แม้นางจะปริปาก แต่กลับไม่อาจสรรหาคำพูดใด ๆ เอ่ยออกมาได้
“เอาล่ะ อย่านินทากันเลย”
แต่ทุกคนล้วนเป็นอาจารย์ เวินรั่วหมินจึงไม่ต้องการทำให้อู๋ชูฉินรู้สึกอับอายมากเกินไป นางวางงานปักของซูหลี่ไว้ข้างกายและยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้น “ซูหลี่ ข้าเสียใจ แต่เจ้าต้องอยู่ในเรือนชั่วคราวต่ออีกวันก่อนที่รองอาจารย์ใหญ่กงจะประเมินงานของเจ้า เราจึงจะตัดสินใจได้ว่าจะบรรจุเจ้าในตำแหน่งอาจารย์ได้หรือไม่”
เวินรั่วหมินปล่อยให้ผู้คนทั้งหมดออกไปหลังพูดจบ จากนั้นนางก็เดินจากไปยังประตูข้าง ๆ พร้อมกับไม้เท้า
เห็นเวินรั่วหมินออกไปแล้ว ซูหลี่ก็พลันหันหน้าจากไป นางไม่ทันสังเกตว่าในห้องเงียบกริบผิดปกติ เฟิงฉิงรู่เห็นซูหลี่กำลังจะออกไปแล้วก็แข็งใจตามออกไป
การสนทนาอันเร่าร้อนได้ปะทุในห้องหลังจากที่ทั้งสองออกจากห้องไปนานแล้ว
“ให้ตาย! อาจารย์ใหญ่เวินพูดอะไรน่ะ? หูข้าฝาดไปงั้นหรือ?!”
“ไม่มีใครถูกจ้างในฐานะอาจารย์รองของสำนักวรรณกรรมสตรีมามากกว่าสิบปีแล้ว…”
“นั่นหมายความว่าซูหลี่ไม่เพียงแต่จะเป็นอาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์โรงเรียน แต่ยังเป็นอาจารย์รองที่เยาว์วัยที่สุดงั้นหรือ?”
“ซื้ดดด…”
ได้ยินบทสนทนาแล้ว อู๋ชูฉินก็รู้สึกอับอายและรีบเดินออกไปทันที สภาพนางดูห่อเหี่ยวอย่างยิ่งจนทำให้คนจำนวนมากลอบหัวเราะ
“ซูหลี่ รอข้าด้วย!”
ซูหลี่หยุดเดินและหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากเบื้องหลัง
“ซูหลี่ เจ้าเดินเร็วมากจริง ๆ เลย”
เฟิงฉิงรู่วิ่งมาหาซูหลี่ เห็นสีหน้าสงบนิ่งของซูหลี่แล้วนางก็พลันรู้สึกอับอายขึ้นมาจนไม่รู้จะวางมือไว้ที่ใด และกระซิบอย่างขัดเขินหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่
“ข้าต้องขอโทษจริงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น”
มองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเฟิงฉิงรู่แล้ว ซูหลี่ก็ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มและเอ่ยตอบ “ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นข้าเสียอีกที่ต้องขอบคุณการสนับสนุนจากท่านเจ้าค่ะ”
“ไม่ ไม่ ไม่เลย” เฟิงฉิงรู่โบกมือทันควันพร้อมกับใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ก่อนตอบกลับ “ข้าเป็นฝ่ายผิด นี่เป็นเรื่องจริง ข้าไม่ขอแก้ตัวหรอก”
ซูหลี่รู้สึกกระอักกระอ่วนแล้วก็พูดตอบ “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็น้อมรับคำขอโทษจากท่าน มีอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
รอยยิ้มของเฟิงฉิงรู่หุบลงในทันที นางกลอกตาหลุกหลิกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอื่น จากนั้นก็จับมือซูหลี่ไว้และเอ่ยขึ้น “เจ้าจะกลับไปที่เรือนพักชั่วคราวงั้นหรือ? งั้นเราคุยกันขณะเดินไปก็ได้ อีกอย่างหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าในสำนักวรรณกรรมหญิงยังมีการจัดอันดับด้วยนะ?”
ซูหลี่พยักหน้าและเอ่ยตอบ “ข้าได้ยินมาจากอาจารย์ใหญ่เวินแล้วเจ้าค่ะ และพบว่าคนอื่น ๆ ดูประหลาดใจ มีอะไรผิดปกติงั้นหรือเจ้าคะ?”
“อ่อ เจ้ารู้แล้วสินะ”
เฟิงฉิงรู่ยิ้มเจิดจ้า ในชาตินี้นางเป็นคนร่าเริงสมวัย แต่ในชาติที่แล้วนางกลับสงบนิ่ง ช่างแตกต่างกันไม่น้อย!
“ในสำนักของเรา ศิษย์ทั้งหลายต่างถูกสอนให้ตรงตามความถนัดของพวกเขา ดังนั้นศิษย์ในระดับต่าง ๆ กันจะสังกัดกับอาจารย์ระดับต่างกัน เนื่องจากปกติแล้วอาจารย์ใหม่ไม่ได้แข่งขันกันอย่างเต็มกำลัง พวกเขาก็จะเป็นอาจารย์ชั้นสาม มีเพียงตอนที่ทักษะการสอนของพวกเขาพัฒนาขึ้นและผ่านการทดสอบแล้วพวกเขาจึงจะได้รับเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์ชั้นสอง แต่เจ้ามีโอกาสที่ดีนะที่ได้กลายเป็นอาจารย์ชั้นสองโดยตรง”
ซูหลี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “อาจารย์ชั้นสองจะได้รับผลประโยชน์อะไรหรือเจ้าคะ?”
“ได้ผลประโยชน์มากมายเลยล่ะ!”
เห็นว่านางเร้าความสนใจของซูหลี่ได้ เฟิงฉิงรู่ก็รีบคว้าโอกาสนั้นไว้และเอ่ยขึ้น “นอกจากทักษะการสอนแล้ว การพัฒนาตัวเองก็ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับอาจารย์อายุน้อยอย่างพวกเรา ทางสำนักคาดหวังความสำคัญไว้กับเรื่องนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นระดับที่สูงขึ้นก็จะหมายถึงเวลาว่างที่มากขึ้นและการสอนที่น้อยลง ยิ่งกว่านั้นยังมีค่าจ้างในแต่ละรายวิชา อาจารย์ระดับสูงจะได้รับส่วนแบ่งมากกว่า พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะขาดแคลนทุนทรัพย์ในระหว่างการทำวิจัยเลย”
ซูหลี่พยักหน้าหงึกหงัก กฎช่างเข้ากับหลักการของสำนัก ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นนางยังรู้สึกพอใจเรื่องนั้นมาก การสอนในโรงเรียนสตรีไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงของนาง นางคาดหวังว่าจะมีเวลาอ่านหนังสือหายากของทางโรงเรียนมากกว่านี้
จากนั้นเฟิงฉิงรู่ก็สนทนากับซูหลี่ตลอดทาง และพวกนางก็เดินมาถึงเรือนพักรับรองชั่วคราวในเวลาไม่นานนัก
“ข้ามาถึงแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณที่เดินมาส่งนะเจ้าคะ” ซูหลี่หันหลังกลับและเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางขณะชี้ไปที่บานประตู
เฟิงฉิงรู่อึ้งไปเล็กน้อย นางไม่คิดเลยว่าถนนจะสั้นเช่นนี้ นางยังไม่ทันได้นึกว่าจะเอ่ยจุดประสงค์ของนางอย่างไรดีเลย
“ซูหลี่…ข้า…”
เฟิงฉิงรู่อยากจะพูดแต่ก็หยุดชะงักกับความคิดที่สองจนเหงื่อไหลท่วมตัวความกระวนกระวาย ในที่สุดนางก็รวบรวมความกล้าพูดขึ้นมาได้ แต่คำพูดของนางกลับเปลี่ยนไปยามที่มันเกือบจะหลุดออกมา “ซูหลี่ ข้าเองก็เรียนทักษะการปักดอกไม้แบบต้าฮั่นมาเหมือนกัน ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้!”
เฟิงฉิงรู่เกือบจะร้องไห้ออกมาเมื่อกล่าวดังนั้น
แต่ซูหลี่เกือบจะหัวเราะออกมา เฟิงฉิงรู่น่ารักนัก ทำไมนางไม่เจออะไรแบบนี้ในชาติที่แล้วกันนะ?
“ช่างบังเอิญจริง!”
“ซูหลี่กระพริบตาอย่างมีจริตและเอ่ยขึ้น “ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนข้าในวันนี้นะเจ้าคะ เรามาแลกเปลี่ยนกระดานงานปักเพื่อสอนและติดต่อกันผ่านงานปักให้บ่อยกว่านี้เป็นการตอบแทนดีไหมเจ้าคะ?”
“จริงหรือ?”
เฟิงฉิงรู่มีความสุขเสียจนแทบตัวลอย นางตั้งใจจะมาขอให้ซูหลี่สสอนทักษะการปักพิเศษที่นางสาธิตให้ดูในการสอบ แต่มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่าอายเกินกว่าจะพูดอกมาได้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดออกมา
แต่ถ้านางได้รับกระดานปักผ้าของซูหลี่ไป นางก็แน่นอนว่าจะต้องเกิดความรู้ความเข้าใจด้วยความสามารถของนาง นางรู้ดีว่ากระดานปักผ้าของนางไม่ได้ช่วยอะไรซูหลี่เลยแม้แต่น้อย ซูหลี่พูดว่าพวกนางควรติดต่อสื่อสารกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีเพียงซูหลี่เท่านั้นที่สอนนางได้
“แน่นอนสิ”
ซูหลี่ยิ้มและพยักหน้าเบา ๆ นางรู้สึกสงบเมื่อเห็นเฟืงฉิงรู่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“ข้าเพียงแค่คืนวิชาให้กับเจ้าของเดิมของมัน ในฐานะรางวัลแล้ว ข้าจะสอนเจ้าในเรื่องทักษะการปักขั้นสูงในชาตินี้ เจ้าจึงจะได้ก้าวไกลในเส้นทางงานวรรณกรรมอย่างไรล่ะ..”
คอมเม้นต์