เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 440 กระบี่เดียวเสียวทั้งงาน

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 440 กระบี่เดียวเสียวทั้งงาน อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 440 กระบี่เดียวเสียวทั้งงาน

 

 

เมื่อหลินเป่ยเฉินสามารถผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ ก็หมายความว่าเขาเข้าใกล้เงินรางวัลของผู้ชนะมากขึ้นอีกหนึ่งขั้น

 

 

หลังจากนั้น เจียงจี้หลิวก็สามารถผ่านเข้ารอบได้อย่างรวดเร็วด้วยการเอาชนะคู่ต่อสู้จากเมืองหลวงของแคว้นตงหมิงอย่างง่ายดาย และเข้าสู่รอบ 5 คนสุดท้ายโดยไม่มีอุปสรรค

 

 

บัดนี้ เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียง 5 คน

 

 

ประกอบไปด้วยเจียงจี้หลิว หลินเป่ยเฉิน หยูเจี๋ยจุน เจียงหนานและเซี่ยอู่เหริน

 

 

คราวนี้ หลินเป่ยเฉินไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งที่แล้ว เพราะเขาต้องร่วมในการประลองเพื่อผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

 

 

แต่คู่ต่อสู้ที่เขาต้องเจอ ก็ยังคงไม่ใช่เจียงจี้หลิว

 

 

แต่เป็นเซี่ยอู่เหริน

 

 

เด็กหนุ่มคนนี้มาจากเมืองย่อยของแคว้นตงหมิง มีอายุ 15 ปี รูปร่างผอมบาง ใบหน้าหล่อเหลา แต่งกายชุดขาวราวหิมะสะพายกระบี่หยก ซึ่งเป็นกระบี่ชื่อดังของแคว้นตงหมิง ริมฝีปากแดงสด ฟันขาววับ ดูเป็นคุณชายเจ้าสำอาง มีสง่าราศีเป็นที่สุด

 

 

เซี่ยอู่เหรินสามารถเข้ารอบมาได้ด้วยความสามารถของตนเองล้วนๆ

 

 

ในการประลองรอบที่แล้ว เขาถึงกับสามารถเอาชนะผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 8

 

 

เด็กหนุ่มที่ดูหล่อเหลาและเจ้าสำอางยามขึ้นมาอยู่บนเวที พลันกลับกลายเป็นบุคคลบ้าคลั่งได้อย่างคาดไม่ถึง

 

 

บนเวที

 

 

การประลองกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า

 

 

“หลินเป่ยเฉิน ข้าคงต้องขอรับคำแนะนำจากเจ้าสักหน่อยแล้ว”

 

 

เซี่ยอู่เหรินประสานมือทำความเคารพ จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาร้อนแรงดั่งเปลวไฟแผดเผา

 

 

เห็นได้ชัดว่าหมอนี่เสพติดการต่อสู้

 

 

และเซี่ยอู่เหรินก็มีความต้องการที่จะวัดฝีมือกับหลินเป่ยเฉินแทบใจจะขาด

 

 

หลินเป่ยเฉินคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก็ถามออกมาว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าจะรับกระบี่ของข้าได้?”

 

 

คำถามนี้ย้ำเตือนให้ทุกคนนึกถึงกระบวนท่าที่เด็กหนุ่มใช้โจมตีและเอาชนะเกาตี้ผิงในรอบก่อน

 

 

เซี่ยอู่เหรินเลียริมฝีปาก ก่อนตอบว่า “ข้ามีความมั่นใจอยู่เจ็ดส่วน”

 

 

“หืม?”

 

 

หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อยและกล่าว “เจ็ดส่วนก็ไม่ถือว่าน้อย”

 

 

เซี่ยอู่เหรินพูดด้วยความมั่นใจ “หากนี่คือการประลองหมายมั่นเอาชีวิตกันจริงๆ การที่ข้ามีความมั่นใจถึงเจ็ดส่วน ย่อมหมายความว่าข้ามั่นใจว่าจะสามารถเอาชีวิตของเจ้าได้ แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะแสดงฝีมือออกมาให้เต็มที่ ข้าอยากจะลิ้มรสความพ่ายแพ้ภายใต้การโจมตีของเจ้าเหลือเกิน… เพราะมันคงถือเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับข้า ที่จะได้รับกระบี่ของเจ้า แม้อาจจะต้องพ่ายแพ้ แต่มันก็ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา และบางทีเจ้าอาจแนะนำให้ข้าสามารถเลื่อนขั้นพลังขึ้นสู่ระดับถัดไปก็เป็นได้”

 

 

“ฝันไปเถอะ”

 

 

หลินเป่ยเฉินปฏิเสธเสียงแข็ง

 

 

เซี่ยอู่เหรินชะงักกึก

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าไม่ใช่เหลยเฟิง[1]สักหน่อย ทำไมจะต้องช่วยเจ้าเลื่อนระดับพลังโดยไม่หวังผลตอบแทนด้วยเล่า?”

 

 

ใครคือเหลยเฟิง?

 

 

หรือจะเป็นชื่อของมือกระบี่ที่ฝึกสอนหลินเป่ยเฉิน?

 

 

การที่หลินเป่ยเฉินเอ่ยนามนี้ออกมา ย่อมหมายความว่าเหลยเฟิงต้องเป็นบุคคลสำคัญแน่นอน

 

 

แต่เซี่ยอู่เหรินก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

 

 

เซี่ยอู่เหรินจึงมีสีหน้างงงันเป็นอย่างยิ่ง

 

 

บรรดาคนดูที่อยู่รอบเวทีและผู้ที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ทางบ้าน ต่างก็หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

 

 

หลินเป่ยเฉินยื่นมือขึ้นไปในอากาศ แล้วเขาก็ดาวน์โหลดกระบี่เงินเข้ามาอยู่ในมือ

 

 

“เจ้าจงดูกระบี่นี้ให้ดี”

 

 

เด็กหนุ่มแทงกระบี่ออกมาด้านหน้า

 

 

ลำแสงสีเงินสาดประกายในอากาศ

 

 

แต่เพียงพริบตาเดียวมันก็หายวับไป

 

 

ทุกคนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

ควับ!

 

 

หลินเป่ยเฉินลดกระบี่ลงมา

 

 

นี่ยังคงเหมือนการจู่โจมครั้งที่แล้ว หลินเป่ยเฉินทำท่าเหมือนกำลังจะโจมตีฝ่ายตรงข้าม แต่กลับเปลี่ยนใจลดกระบี่ลงกลางคัน

 

 

ทว่า… สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ

 

 

“เจ้าแพ้แล้ว”

 

 

หลินเป่ยเฉินกระซิบออกมาเสียงแผ่วเบา

 

 

ด้วยถ้อยคำประโยคเดิม

 

 

แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เอียงหน้าทำมุม 45 องศาอีกแล้ว

 

 

ฝ่ายตรงข้าม

 

 

เซี่ยอู่เหรินขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจพร้อมกับแค่นหัวเราะในลำคอ “มุกตลกของเจ้าไม่ขบขันอีกต่อ…”

 

 

พลัน เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่เกิดขึ้นบริเวณหว่างคิ้วของตนเอง

 

 

คำพูดของเขาติดค้างอยู่ในลำคอ

 

 

เซี่ยอู่เหรินยกมือขึ้นไปสัมผัสดู

 

 

แล้วจึงได้รู้ว่าปลายนิ้วมีหยดเลือดสีแดงเท่ากับเมล็ดข้าวติดมือกลับมา

 

 

นี่คือเลือด

 

 

เลือดสดๆ

 

 

เลือดของเขาเอง

 

 

เลือดไหลออกมาจากบาดแผลขนาดเล็กที่อยู่กลางหว่างคิ้วของเซี่ยอู่เหริน

 

 

เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนเองมีบาดแผล

 

 

นี่เขาถูกหลินเป่ยเฉินโจมตีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

 

 

แล้วเหตุไฉนถึงไม่รู้ตัว?

 

 

หากคมกระบี่แทงลึกเข้ามาอีกนิดเดียว และเพิ่มระดับพลังลมปราณให้รุนแรงขึ้นอีกหน่อย เซี่ยอู่เหรินมั่นใจว่าตนเองคงสมองระเบิดกระจายตกตายไปแล้ว!

 

 

โชคดีที่หลินเป่ยเฉินยังคงมีเมตตายั้งมือไว้ไมตรี

 

 

เซี่ยอู่เหรินใบหน้ากระตุกด้วยความอับอาย

 

 

“เจ้า… นี่มันไม่ใช่กระบวนท่าเดียวกับรอบที่แล้ว”

 

 

เด็กหนุ่มเจ้าสำอางมองหน้าหลินเป่ยเฉิน แววตาไม่ได้มีความบ้าเลือดอีกต่อไป สีหน้าของเขาเศร้าสลดราวกับเทียนไขที่ถูกสายลมพัดดับแสง แม้ว่าจะไม่อยากถามคำถามนี้ออกไปเลย แต่เซี่ยอู่เหรินก็ไม่สามารถหักห้ามใจตนเองได้จริงๆ “กระบวนท่านี้ที่เจ้าใช้ออกมา มีชื่อว่ากระบวนท่าอะไร?”

 

 

หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะ

 

 

“คำถามเดิมและยังคงเป็นคำตอบเดิม… สักวันหนึ่งเมื่อเจ้าสามารถมองเห็นกระบี่ของข้าได้อย่างชัดเจน เจ้าถึงคู่ควรที่จะได้รู้จักชื่อกระบวนท่านี้”

 

 

หลินเป่ยเฉินตั้งใจตอบคำถามด้วยประโยคเดิม

 

 

ก็จะให้เขาบอกได้ยังไง ว่ามันมีชื่อสุดแสนจะธรรมดาว่ากระบวนท่าที่ 2

 

 

“ประเสริฐ”

 

 

เปลวไฟในดวงตาของเซี่ยอู่เหรินกลับมาลุกโชนอีกครั้ง

 

 

“ภายในเวลา 1 ปี ข้าจะต้องรู้ชื่อกระบวนท่าของเจ้าให้ได้”

 

 

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเซี่ยอู่เหรินกำลังบอกกล่าวหลินเป่ยเฉิน หรือกำลังสบถสาบานกับตนเองกันแน่

 

 

“ขอให้เจ้าโชคดี”

 

 

หลินเป่ยเฉินยักไหล่อย่างไม่แยแส แต่แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จริงด้วยสิ แต่ถ้าในอนาคตเจ้าติดขัดเรื่องการเลื่อนระดับพลัง จะมาขอคำปรึกษาจากข้าก็ได้นะ… ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นคนกันเอง เดี๋ยวลดราคาให้เป็นพิเศษก็แล้วกัน”

 

 

เซี่ยอู่เหรินถึงกับพูดอะไรไม่ออก

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่รอให้อีกฝ่ายได้มีเวลาตอบ ก็โบกมือและกล่าวต่อ “เอาล่ะๆ ในเมื่อการต่อสู้จบลงแล้ว เจ้าก็เดินลงจากเวทีไปซะ อย่ามาขัดขวางการโฆษณาของข้า”

 

 

เซี่ยอู่เหรินได้แต่มองหน้าหลินเป่ยเฉินอย่างทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ประสานมือทำความเคารพ และหันไปบอกกรรมการว่าขอยอมแพ้ ก่อนจะกระโดดลงจากเวทีไปหน้าตาเฉย

 

 

บังเกิดเสียงตบมือดังขึ้นจากรอบเวทีสนั่นหวั่นไหว

 

 

“หลินเป่ยเฉินผู้ไร้เทียมทาน!”

 

 

ใครคนหนึ่งตะโกนออกมา

 

 

แล้วอีกหลายคนก็ส่งเสียงตะโกนตาม

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ทุกคนไม่ต้องตื่นเต้นไป นี่คือเรื่องปกติธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง และหลังจากนี้ พวกท่านกำลังจะได้รับชมสิ่งที่น่าสนใจ…”

 

 

หลินเป่ยเฉินกลับเข้าสู่โหมดมิตรรักนักโฆษณาอีกครั้ง

 

 

บรรดามือกระบี่อาวุโสจำนวนมากที่รับชมการต่อสู้มาจนถึงขณะนี้ ไม่ได้ส่งเสียงหัวเราะหรือตบมือด้วยความชอบใจเหมือนผู้ชมส่วนใหญ่ แต่พวกเขากำลังมีสีหน้าตกตะลึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

การที่หลินเป่ยเฉินมีฝีมือสามารถเอาชนะเกาตี้ผิงมาได้อย่างง่ายดายนั้นว่าน่าตกใจมากพอแล้ว แต่การที่เขาใช้เพียงกระบวนท่าเดียวเอาชนะเซี่ยอู่เหรินได้อย่างง่ายดายอีกเช่นกัน ย่อมนับว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ปกติธรรมดาอีกแล้ว

 

 

เพียงกระบวนท่าเดียว หลินเป่ยเฉินก็สามารถเอาชนะตัวแทนจากเมืองอื่นๆ ได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ

 

 

และกระบวนท่าที่เขาใช้ออกมาก็มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

 

 

แน่นอนว่า มือกระบี่อาวุโสเหล่านี้สามารถแยกแยะความแตกต่างทั้งสองกระบวนท่าที่หลินเป่ยเฉินใช้โจมตีคู่ต่อสู้ในสองรอบที่ผ่านมาได้ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถแยกแยะได้ว่าตำแหน่งของการโจมตีในกระบวนท่าทั้งสองนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

 

 

พวกเขารู้แจ้งแก่ใจแล้วว่าหลินเป่ยเฉินมีฝีมือเหนือระดับผู้คนธรรมดา

 

 

และนี่คือทักษะการใช้กระบี่ที่เด็กหนุ่มไม่ควรมีอยู่แม้แต่น้อย

 

 

ในอดีต หลินเป่ยเฉินสามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ได้มากมายก็จริง แต่มันเป็นเพราะเขาอาศัยพละกำลังที่แข็งแรงผิดมนุษย์มนาและความสามารถในการเยียวยาอาการบาดเจ็บของตนเอง หลินเป่ยเฉินไม่เคยหวาดกลัวที่จะต้องต่อสู้กับศัตรูเป็นกลุ่มใหญ่ แม้แต่โจรป่าทั้งสำนัก เขาก็เคยกวาดล้างด้วยตัวเพียงคนเดียวมาแล้ว

 

 

แต่รูปแบบการต่อสู้ในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉินเป็นคนละอย่างกัน

 

 

นี่คือการต่อสู้ที่อาศัยชั้นเชิงของการใช้กระบี่โดยเฉพาะ

 

 

ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกแกะสลัก เสื้อคลุมสีเขียวสดใสไม่ต่างไปจากใบไผ่

 

 

เด็กหนุ่มที่ยืนถือกระบี่สีเงินอยู่บนเวทีประลอง มีความสง่างามไม่ต่างไปจากเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์

 

 

แม้แต่เจียงจี้หลิวก็ยังอดแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้

 

 

เด็กหนุ่มเจ้าของฉายากระบี่พันหน้ายกมือขึ้นแตะขมับของตนเองโดยไม่รู้ตัว

 

 

ฝีมือของหลินเป่ยเฉินไม่เหมือนในข้อมูลที่เขารับทราบมาเลยแม้แต่อย่างเดียว รูปแบบการต่อสู้ก็เปลี่ยนไป แต่นั่นก็ยิ่งทำให้การต่อสู้ของพวกเขามีความน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ…

 

 

เด็กสาวผมทองเฉินปี้จุนเงยหน้ามองเด็กหนุ่มบนเวทีซึ่งกำลังทำหน้าที่โฆษณาสินค้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วยความมหัศจรรย์ใจ

 

 

นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้ เป็นคนเดียวกับที่ใช้พลังปราณธาตุไฟของตนเองเผาเสื้อผ้าของนาง เพื่อฉวยโอกาสลวนลามเรือนร่างสตรีตามใจชอบ ภาพลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และนั่นก็ทำให้เฉินปี้จุนเกิดความรู้สึกประทับใจในตัวหลินเป่ยเฉินขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

 

 

เขาช่างมีเสน่ห์อย่างประหลาดนัก

 

 

ภายใต้โฉมหน้าที่ชอบหัวเราะเหยียดหยามและเย้ยหยันผู้อื่น หลินเป่ยเฉินกลับซ่อนความอ่อนโยนและความอบอุ่นที่ไม่มีใครเห็นอย่างนั้นหรือ?

 

 

หลินเป่ยเฉินมีหน้าตาหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ

 

 

ยิ่งเวลาที่เขายิ้มมุมปาก ยิ่งมีเสน่ห์ตราตรึงใจ

 

 

แม้แต่เจียงจี้หลิวที่ถูกยกย่องให้เป็นบุรุษหนุ่มรูปงามประจำเมือง ก็ยังต้องพ่ายแพ้ในความหล่อเหลาของหลินเป่ยเฉิน

 

 

และที่สำคัญก็คือ หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก

 

 

แม้แต่เทพีกระบี่ก็ยังเลือกเขา

 

 

ดังนั้น…

 

 

เฉินปี้จุนจึงบอกกับตนเองว่าก่อนหน้านี้นางเพียงเข้าใจเขาผิดไป

 

 

แล้วจะหาโอกาสเข้าไปขอโทษหลินเป่ยเฉินอย่างไรดีนะ?

 

 

ต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้ นางถึงกับต่อว่าเขาเป็นจอมลามกต่อหน้าสาธารณะชนจำนวนมาก ภาพลักษณ์ของเขาต้องเสียหายย่อยยับก็เพราะคำพูดไม่กี่ประโยคของนาง

 

 

เฉินปี้จุนรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมาแล้ว

 

 

นางก้มมองถุงเก็บของวิเศษที่แขวนอยู่ข้างเอว

 

 

ในนั้นยังคงมีเสื้อคลุมของหลินเป่ยเฉิน…

 

 

หรือว่านางควรจะใช้โอกาสที่นำเสื้อคลุมไปคืน เอ่ยปากขอโทษเขาดีไหม?

 

 

หลังจากนั้น เด็กสาวก็มัวแต่จมตัวอยู่ในห้วงคิดของตนเอง ไม่ได้สนใจผู้คนรอบข้างอีกเลย

 

[1] เหลยเฟิง เป็นนายทหารจากจังหวัดฉางชา มณฑลหูหนาน เข้าร่วมเป็นยุวสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเข้าร่วมกองทัพปลดแอกประชาชนจีนในขณะที่มีอายุได้ 20 ปี ก่อนจะกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความเสียสละและการอุทิศตนเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน หลังเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในปี ค.ศ.1962 ด้วยวัยเพียง 22 ปี

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด