เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 1084 ยอดกลุ่มมือกระบี่ 14 สำนัก

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 1084 ยอดกลุ่มมือกระบี่ 14 สำนัก อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 1,084 ยอดกลุ่มมือกระบี่ 14 สำนัก

คุณชายหลินระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความลืมตัว

“ข้าทนกับท่านมานานแล้ว”

เขากระชับกระบี่ในมือและพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “อยากเล่นหมากล้อมนักใช่ไหม? ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ แต่วันนี้ข้าจะทำให้ท่านเลิกเล่นเอง”

ดวงตาของผู้อาวุโสฉีเป็นประกายวาวโรจน์

ฉับพลันนั้น หลินเป่ยเฉินได้สติกลับคืนมาทันที

ตาเฒ่าคนนี้โกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้วสิ

หลินเป่ยเฉินเริ่มสงสัยว่าตนเองทำตัวก้าวร้าวมากเกินไปหรือไม่

หรือว่าช่วงหลังเขาหลงระเริงในอำนาจมากเกินไป?

เมื่อมีกระบี่เล่มใหม่อยู่ในมือ หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับกล้าบุกที่พักของอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กด้วยตัวเพียงคนเดียว นอกจากนั้น เขายังกล้าล้มโต๊ะต่อหน้าชายชราปริศนาที่แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ยังสแกนข้อมูลไม่ได้… หากเป็นเมื่อก่อน เรื่องราวเช่นนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด

เขาคงต้องดึงสติกลับมาหน่อยแล้วสิ

แต่สถานการณ์ในขณะนี้…

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาไม่น้อย เขาเตรียมเปิดใช้งานแอปอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ คิดว่าถ้าจะต้องต่อสู้กันจริง ๆ ก็คงต้องลากผู้อาวุโสฉีเข้าไปในอาณาเขตของเขาเพื่อลดทอนพลังลงบ้าง แม้จะได้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

และในจังหวะนั้นเอง

หลินเป่ยเฉินก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เพราะแววตาเดือดดาลของผู้อาวุโสฉีได้ผ่อนคลายลงแล้ว

“ประเสริฐ งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อน”

ชายชราลุกขึ้นยืนพร้อมกับไม้เท้าสีแดงในมือ “นานมากแล้วที่ข้าไม่เคยเจอใครน่าสนใจเช่นเจ้า ในชีวิตนี้ ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดเดินหมากได้ยอดเยี่ยมอย่างเจ้ามาก่อน เจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเอาชนะข้าได้ เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจความหมายในตอนนี้ แต่เดี๋ยวเจ้าจะได้รู้ในภายหลัง นี่คือสิ่งที่เจ้าจะต้องภาคภูมิใจอย่างแน่นอน”

หลินเป่ยเฉินเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ “เฮอะ ข้าภูมิใจในตนเองอยู่แล้ว”

ก่อนหน้านี้ เขาทำตัวยโสโอหังมากเกินไป

ก็มีแต่ต้องประพฤติตัวเช่นเดิมต่อไปเท่านั้น

และที่ผู้อาวุโสฉีกล่าวออกมาก็เป็นคำชม

ไม่มีเหตุผลให้หลินเป่ยเฉินจะต้องปฏิเสธ

ฉับพลัน ผู้อาวุโสฉีหันไปมองเฉินเซียวเยี่ยนและกล่าวว่า “นับว่าวันนี้เจ้าเดินหมากชนะข้าแล้ว ข้าจะทำตามคำสัญญา เมื่องานประลองกระบี่ในครั้งนี้จบลง เจ้าสามารถไปพบข้าที่ยอดเขาไป๋เฮยได้ทุกเมื่อ และข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง”

เฉินเซียวเยี่ยนเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น

“ขอบคุณผู้อาวุโส ขอบคุณผู้อาวุโส”

เฉินเซียวเยี่ยนดีใจถึงขนาดมีน้ำตาคลอเต็มเบ้าแล้ว

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความสับสน

เฉินเซียวเยี่ยนไม่เคยชนะการเดินหมากกับผู้อาวุโสฉีมาก่อนเลยหรือ?

ก็แค่เล่นหมากล้อม ต้องดีใจขนาดนี้เลยหรือไง?

ว่าแต่ว่าผู้อาวุโสฉีสัญญาว่าจะให้อะไรกับเฉินเซียวเยี่ยนนะ?

ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่หลินเป่ยเฉินสนใจอีกแล้ว

เขาเพียงอยากรู้ว่าผู้อาวุโสฉีจะให้อะไรเป็นของรางวัลแก่เขาต่างหาก

ดังนั้น คุณชายหลินจึงกะพริบตาปริบ ๆ หันไปมองหน้าผู้อาวุโสฉีเสมือนเป็นการย้ำเตือนถึงเรื่องของรางวัล

แต่ดูเหมือนผู้อาวุโสฉีจะไม่เข้าใจในสายตาของเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าชายชราจะลืมเลือนเรื่องคำสัญญาไปแล้ว ผู้อาวุโสฉีเคาะไม้เท้าลงบนพื้นเบา ๆ แล้วม่านพลังสีทองคำก็ปรากฏขึ้นรอบเท้าของเขา เกิดเป็นประกายสว่างไสววูบวาบแวววาว

ซ่า!

เกิดประกายระยิบระยับเหมือนตอนที่สัญญาณโทรทัศน์มีคลื่นรบกวน

แสงสว่างวูบวาบ

แล้วร่างของผู้อาวุโสฉีก็หายวับไปในอากาศ

“อ้าว?”

หลินเป่ยเฉินทั้งร้อนรนทั้งโกรธแค้น “ของรางวัลของข้าล่ะ? กลับมาก่อนสิ… ท่านยังไม่ได้ให้ของรางวัลข้าเลยนะ?”

ผู้อาวุโสฉีเป็นคนประเภทไหนกันแน่?

หากไม่คิดจะให้ของรางวัล ก็ไม่ควรตกปากรับคำตั้งแต่แรกสิ

ไหนบอกว่าถ้าชนะได้ ก็จะให้ของรางวัลไง!

แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อพ่ายแพ้เจ็ดกระดานรวด ผู้อาวุโสฉีกลับไม่ได้ให้ของรางวัล อีกทั้งยังสะบัดก้นจากไปหน้าตาเฉย

นี่ยังนับว่าเป็นผู้คนอยู่อีกหรือไม่?

ร้ายกาจ ร้ายกาจมาก ๆ

“คุณชายไม่ต้องเป็นกังวล”

เฉินเซียวเยี่ยนเดินเข้ามาปลอบใจ “ผู้อาวุโสฉีมีสถานะสูงส่ง ทุกคำพูดของเขาล้วนเชื่อถือได้ หากเขาบอกว่าจะมอบของรางวัลให้ท่าน เขาก็จะต้องมอบให้ท่านอย่างแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น”

“แต่ช้าเกินไปก็ไม่ไหวนะขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลย”

เฉินเซียวเยี่ยนตอบว่า “ของรางวัลจากผู้อาวุโสฉีจะมาถึงในตอนที่คุณชายต้องการมากที่สุด คุณชายได้โปรดวางใจ เมื่อคุณชายได้เข้าใจถึงสถานะที่แท้จริงของผู้อาวุโสฉี คุณชายก็จะได้รู้ว่าการที่วันนี้ผู้อาวุโสฉียอมรับในตัวคุณชายนั้น คือเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดแล้ว”

หลินเป่ยเฉินขี้เกียจโต้เถียงกับแฟนคลับตัวยงของผู้อาวุโสฉี

เขาเพียงยกมือขึ้นและพ่นละอองน้ำใช้พลังวารีบำบัดรักษาอาการบาดเจ็บให้เฉินเซียวเยี่ยน

เพราะหลายอึดใจที่ผ่านมา เด็กหนุ่มมัวแต่ลุ่มหลงในกระบี่เล่มใหม่มากเกินไป จนลืมใช้พลังรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่เฉินเซียวเยี่ยนไปโดยปริยาย

ทันใดนั้น ใบหน้าของเฉินเซียเยี่ยนก็แดงก่ำ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะไม่ปล่อยให้ตนเองส่งเสียงครางออกมา หลายลมหายใจให้หลัง ชายชราก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว ความอ่อนล้าจากการสูญเสียเลือดหายไปแล้ว แม้ว่าแขนที่ขาดจะไม่ได้งอกกลับออกมาใหม่ แต่กระดูกที่แตกหักและบาดแผลเหวอะหวะเหล่านั้นก็สมานตัว ไม่หลงเหลือความเจ็บปวดอีกต่อไป

“ขอบคุณคุณชายมาก”

เฉินเซียวเยี่ยนรีบประสานมือคำนับขอบคุณ

ก่อนพูดต่อ “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ผู้เฒ่าเฉินเซียวเยี่ยนก็ขอตัวก่อน”

หลินเป่ยเฉินประสานมือคำนับตอบกลับ กล่าวว่า “ขอให้ท่านผู้เฒ่าเดินทางปลอดภัยนะขอรับ”

แล้วเฉินเซียวเยี่ยนพร้อมด้วยองครักษ์และลูกศิษย์อย่างละสี่คนก็หมุนตัวเดินจากไป

บรรดามือกระบี่ที่ยังรั้งอยู่ในโรงเตี๊ยมพากันประสานมือคำนับส่งท่านผู้เฒ่า

แต่ไม่มีใครติดตามออกไปอีกแล้ว

เพราะแขนข้างที่เฉินเซียวเยี่ยนใช้ตีกระบี่ได้ขาดไปแล้ว

หม้อหลอมกระบี่ของชายชราก็ถูกทำลายลงไปแล้ว

นั่นหมายความว่าเฉินเซียวเยี่ยนจะไม่สามารถตีกระบี่ได้อีกต่อไป

นักหลอมกระบี่เมื่อไม่สามารถตีกระบี่ ก็ไม่ต่างไปจากบุคคลไร้ประโยชน์ จึงไม่มีผู้ใดสนใจติดตามไปประจบเอาใจอีก

แน่นอนว่าคงไม่มีใครคิดไปรบกวนเฉินเซียวเยี่ยนเหมือนเช่นเมื่อตอนเช้าอีกแล้ว

ขณะนี้ มือกระบี่แทบทุกคนยังคงรวมตัวอยู่ที่นี่

หลินเป่ยเฉินเดินลงมาจากเวที ก้าวออกไปนอกโรงเตี๊ยม รับสายจูงหมูมาจากมือเฉียนเหมยและกล่าวว่า “พวกเราก็ไปกันเถอะ”

วันนี้ เขามาที่หอเจ็ดดาราเพื่อกระบี่เล่มใหม่

ถึงจะต้องเหนื่อยแรงกว่าที่คิดเล็กน้อย แต่ผลตอบแทนที่เขาได้รับ ก็ถือว่าได้กำไรมหาศาล

“นายท่านเจ้าคะ เราจะทำอย่างไรกับเจ้าหมูทั้งสี่ตัวนี้ดี?”

เฉียนเหมยถามขณะน้ำลายไหลย้อย

หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “เอาไปทำอาหาร”

“รับทราบเจ้าค่ะ”

เฉียนเหมยรับคำด้วยความดีใจ

พวกเขากำลังจะเดินทางกลับ แต่ก็มีคนวิ่งมาดักหน้า ประสานมือแสดงความเคารพ กล่าวว่า “คารวะคุณชายหลิน ข้าน้อยมีนามว่าจางหรูู่ เป็นลูกศิษย์จากสำนักมหากระบี่แห่งจักรวรรดิต้าเกี๋ยน วันนี้โชคดีมีวาสนาได้พบคุณชาย จึงใคร่ปรารถนาร่วมดื่มกับคุณชายสักหลายจอก ไม่ทราบว่าคุณชายพอจะให้เกียรติไปร่ำสุรากันได้หรือไม่?”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นรีบพูด

เขามีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับสอง จัดว่าเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง

นับว่าการประลองกระบี่ในเมืองไป๋หยุนครั้งนี้ สามารถดึงดูดยอดฝีมือมาจากทั่วทุกสารทิศจริง ๆ

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปสีหน้าเคร่งเครียด “ข้ายังมีเรื่องสำคัญรอให้กลับไปจัดการ วันนี้คงไม่สะดวกแล้ว”

เรื่องสำคัญที่เขาว่า ก็คือเอาหมูยักษ์พวกนี้ไปทำอาหารนั่นเอง

ดูจากเนื้อหนังของพวกมัน น่าจะอร่อยไม่น้อย

จางหรู่พูดอะไรไม่ออก

และเขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร และทำได้เพียงหมุนตัวเดินจากไปเท่านั้น

เมื่อคนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ล้มเลิกแผนการที่จะเดินเข้ามาผูกมิตรกับเด็กหนุ่มทันที

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปที่หมูของตนเองอีกครั้ง…

“คุณชายหลิน ได้โปรดหยุดก่อน ไม่ทราบว่าท่านพอมีเวลาหรือไม่?”

เสียงของเหยียนหรู่อี้พลันดังขึ้นจากด้านหลัง

หลินเป่ยเฉินโยนสายจูงหมูกลับไปให้เฉียนเหมยทันที ก่อนจะหันกลับมา เดินตรงเข้าไปหาผู้เป็นอาจารย์จากสำนักคฤหาสน์กำยานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “มีเวลาสิขอรับ กลับที่พักไปข้าน้อยก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว น่าเบื่อจะตาย”

จางหรู่จากสำนักมหากระบี่ยังเดินออกไปได้ไม่ไกล เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มลอยเข้าหู ฝีเท้าของเขาก็สะดุดลงเล็กน้อย

เจ้าเด็กคนนี้… เอาจริงหรือนี่?

เมื่อสักครู่นี้ เพิ่งบอกออกมาว่าไม่ว่างไม่ใช่หรือไง?

บรรดามือกระบี่ที่อยู่โดยรอบต่างก็เบิกตาโต

หลินเป่ยเฉินมีนิสัยกลับกลอกเจ้าเล่ห์สมคำเล่าลือโดยแท้

นี่เขาไม่เห็นจางหรู่จากสำนักมหากระบี่อยู่ในสายตาเลยหรือ?

“เชิญนั่งลงก่อน”

เหยียนหรู่อี้พาเด็กหนุ่มเดินกลับไปที่โต๊ะอาหารของตนเองและผายมือด้วยท่วงท่านอบน้อม

หลินเป่ยเฉินนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ “ไม่ทราบว่าพี่เหยียนเชิญข้ามามีเรื่องอันใดหรือ? ความจริง นอกจากการเล่นหมากล้อมแล้ว ข้ายังมีความชำนาญเรื่องการดีดพิณ การคัดตัวอักษร การวาดรูป การแต่งบทกวี การเต้นระบำอย่างละนิดอย่างละหน่อยอีกด้วย”

เหยียนหรู่อี้คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เปิดเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่แท้จริงของสตรีผู้เติบใหญ่เต็มวัย

“ข้าอยากจะคุยกับคุณชายหลินเรื่องการแย่งชิงตำแหน่งเซียนกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุนในครั้งนี้”

นางตอบเข้าประเด็นโดยตรง

“อ้อ นับว่าเป็นหัวข้อที่ประเสริฐ”

หลินเป่ยเฉินแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาอย่างชัดเจน “ไม่ทราบว่าพี่เหยียนอยากจะปรึกษาเรื่องอะไรหรือ?”

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงสายตาอำมหิตที่กำลังจ้องมองมาจากที่ไหนสักแห่ง

หลินเป่ยเฉินหันไปมองก็พบกับดวงหน้าโกรธเคืองของอิ๋นซาน

เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “อาจารย์อาก็มานั่งคุยด้วยกันสิขอรับ”

แล้วความโกรธเคืองบนใบหน้าของอิ๋นซานก็เปลี่ยนไปกลายเป็นความดีใจในทันที

นางรีบเดินมานั่งอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินด้วยความตื่นเต้น

เหยียนหรู่อี้กล่าวต่อโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น “คุณชายหลิน ท่านทราบหรือไม่ว่าการประลองในครั้งนี้ มีกี่สำนักส่งคนของตนเองมาเข้าร่วม?”

“ย่อมไม่ทราบ”

หลินเป่ยเฉินตอบตามความจริง

“มีด้วยกันทั้งหมด 14 สำนัก”

เหยียนหรู่อี้ถามเองตอบเองและกล่าวต่อไป “และหนึ่งในนั้นก็คือสำนักคฤหาสน์กำยานของข้า เช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์อมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กที่ถูกท่านทำลายล้างไปแล้ว บัดนี้ จึงเหลือสำนักอื่นๆ อยู่อีก 12 สำนัก… หากเทียบกับพวกของซงชิวอวี่ที่ท่านกวาดล้างไปเมื่อคืน พวกมันกลับเปรียบเสมือนปลาตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีความสำคัญเลย”

อิ๋นซานระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน ก่อนจะกล่าวเหน็บแนมว่า “ซงชิวอวี่มีพลังถึงขั้นเซียนระดับห้า แต่ท่านกลับเรียกหาเขาเป็นปลาตัวเล็กตัวน้อยเนี่ยนะ?”

เดิมที นางควรจะผูกมิตรกับผู้คนจากสำนักคฤหาสน์กำยานให้มากกว่านี้

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่ออิ๋นซานเห็นหน้าเหยียนหรู่อี้และลูกศิษย์สาวทั้งสองคนนั้น นางก็รู้สึกไม่ถูกชะตาขึ้นมาเสียอย่างนั้น

เหยียนหรู่อี้ไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย นางยังคงอธิบายต่อไปด้วยความอดทน “ซงชิวอวี่มีระดับพลังสูงส่งก็จริง แต่เขาสังกัดอยู่ในสำนักเล็ก ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประลองกระบี่ในครั้งนี้ด้วยซ้ำ นี่สิถึงเรียกว่าเป็นปลาตัวเล็กตัวน้อยที่แท้จริง ท่านเองก็ควรจะรู้ไม่ใช่หรือว่าสำนักกระบี่แต่ละแห่งที่เข้าร่วมในครั้งนี้ ต่างก็ได้รับการหนุนหลังจากจักรวรรดิของตนเองทั้งสิ้น”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เหยียนหรู่อี้ก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน

ราวกับว่านางต้องการจะส่งคำเตือนถึงเขา

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด