เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 993 ฮันปู้ฟู่

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 993 ฮันปู้ฟู่ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 993 ฮันปู้ฟู่

ตอนที่หลิงฉือนำกองทัพจากไป ฮันปู้ฟู่ยังคงไม่ได้มีสีหน้าแตกต่างไปจากเดิม

รอบกายเขาล้วนเป็นนายทหารที่มาจากเมืองหยุนเมิ่ง

เดิมที เด็กหนุ่มผู้ศึกษาอยู่ในสถานฝึกกระบี่ทั่วเมืองหยุนเมิ่งเพียงเข้าร่วมกองทัพตามการเรียกระดมพล ทว่าหลังเข้ารับการฝึกฝนได้ไม่นาน ทุกคนกลับเลือกติดตามหลิงฉือมายังชายแดนเหนือ

เด็กหนุ่มจำนวนมากประจำการอยู่ที่นี่มากว่าหนึ่งปีแล้ว นายทหารอาสาสมัครจากเมืองหยุนเมิ่งมีทั้งสิ้น 700 คน ขณะนี้กลับหลงเหลืออยู่ไม่ถึง 300 คน เนื่องจากนายทหารกว่า 400 คนนั้นต้องเสียชีวิตไปจากการสู้รบเมื่อเดือนที่แล้ว

ทุกอย่างนี้เป็นเพราะการทรยศของตระกูลเว่ย

พวกมันไปเข้าร่วมกับจักรวรรดิจี้กวง นำความลับภายในจักรวรรดิเป่ยไห่ไปบอกสู่คนนอก เพียงวันเดียวเท่านั้น หลายสิบเมืองทางแดนเหนือก็ถูกตีแตก และกองทัพเป่ยไห่ก็ได้รับความเสียหายใหญ่หลวง

อย่างเช่นเย็นวันนี้ เขตชายแดนเหนือที่อยู่รอดมาได้ด้วยแม่ทัพหลิงฉือก็ยังถูกตีแตก กลุ่มผู้รอดชีวิตถอนทัพกลับไปตั้งหลักยังเมืองเฟยซิง เมืองหานอวี่ และเมืองหลงกวน ที่น่าเศร้าก็คือพวกเขาต้องเสียทหารไปกว่า 10,000 นาย จึงจะสามารถเปิดเส้นทางหลบหนีได้สำเร็จ

ผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นนายทหารยอดฝีมือ…

เมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว ฮันปู้ฟู่เพิ่งได้รับทราบข่าวว่าเมืองเฟยซิงได้ถูกตีแตกไปเสียแล้ว

บนโขดหินใหญ่ขณะนี้ ฮันปู้ฟู่ยืนตระหง่านท้าทายสายลม กองทัพของเขายืนประจำการตั้งค่ายกล เพื่อรักษาเส้นทางเดียวที่ทอดนำไปสู่เมืองหานอวี่ทางด้านหลัง

หลังจากนี้ ฮันปู้ฟู่จำเป็นต้องต้านทัพจี้กวงให้ได้อย่างน้อยครึ่งชั่วยาม เพื่อให้มั่นใจว่ากองทัพของหลิงฉือจะสามารถถอนกำลังกลับไปถึงเมืองหานอวี่ได้อย่างปลอดภัย

ฮันปู้ฟู่หันกลับมามองหน้านายทหารผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนด้วยแววตามุ่งมั่น

และนายทหารผู้ที่เนื้อตัวแปดเปื้อนด้วยคราบโลหิตและดินโคลนตั้งแต่หัวจรดเท้าก็มีดวงตาเป็นประกายแจ่มใสขึ้นมาโดยทันที

“พวกเราไม่มีทางถอยหนีได้อีกแล้ว”

ฮันปู้ฟู่พูดเนิบนาบ “ตระกูลเว่ยทรยศ จักรวรรดิเป่ยไห่ของเราเกิดความเดือดร้อน กองทัพจี้กวงและตระกูลเว่ยต้องการทำลายล้างดินแดนเป่ยไห่ที่คงอยู่มากว่า 400 ปี แต่เรื่องเช่นนี้…. ข้ายินยอมไม่ได้เป็นอันขาด!!”

เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมกวาดสายตามองกองทัพที่เหลืออยู่ของตนเอง “บิดาของข้าสละชีวิตเพื่อปกป้องชายแดนเหนือ พี่ชายของข้าก็หลับใหลชั่วนิรันดร์อยู่ที่นี่เช่นกัน… ที่ข้าเข้าร่วมกองทัพก็เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของพวกเขา ข้าจะขอต่อสู้เพื่อจักรวรรดิเป่ยไห่จนตัวตาย”

“ทั่วแผ่นดินตงเต้า มีเพียงจักรวรรดิเป่ยไห่เท่านั้นที่ประชาชนได้รับการศึกษา ที่นี่มีสำนักศึกษาให้ผู้คนเข้าเรียนทุกระดับชั้น แม้แต่คนยากคนจนก็ยังมีสิทธิ์ได้รับการศึกษาและเรียนรู้วิทยายุทธ์เพื่อใช้ป้องกันตนเอง…”

“และด้วยความเมตตาจากองค์เทพีกระบี่ จักรวรรดิของพวกเราจึงอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงวันนี้…”

“จักรวรรดิเป่ยไห่เป็นจักรวรรดิแห่งเดียวที่เชื้อพระวงศ์ก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวเช่นคนธรรมดา…”

“ที่นี่ไม่มีการค้าทาส”

“จักรวรรดิแห่งนี้ แม้แต่พวกสำนักยุทธ์ใต้ดินก็ยังไม่กล้ากระทำเรื่องชั่วช้าเลวทราม ไม่เหมือนจักรวรรดิจี้กวง จักรวรรดิหลิวชา และจักรวรรดิต้าเกี๋ยน ซึ่งเต็มไปด้วยการประพฤติผิดชั่วช้าสามานย์มากมาย…”

“การทรยศของตระกูลเว่ยในครั้งนี้ ทำให้จักรวรรดิต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก แต่ในความมืดย่อมมีแสงสว่าง อย่างน้อย ก็ยังมีพวกเรายืนหยัดอยู่ตรงนี้เพื่อคอยปกป้องประเทศชาติ…”

“หากจักรวรรดิเป่ยไห่ถูกทำลายและพวกเราต้องตกเป็นเมืองขึ้นของผู้อื่น เราก็จะใช้เปลวไฟแห่งอิสรภาพและความยุติธรรม แผดเผาแผ่นดินตงเต้าให้ลุกเป็นไฟ!”

“เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าและพวกเจ้าก็คงต้องฝังร่างลงใต้พื้นดิน และพวกเราก็จะได้พบกับบิดามารดาภรรยาและลูกหลาน เราจะยังต่อสู้ท่ามกลางความมืดมิด เพื่อให้มีโอกาสเห็นแสงสว่างอีกครั้ง…”

“การทรยศของตระกูลเว่ยในครั้งนี้ อาจจะทำให้พวกเราต้องตายกันหมด แต่พวกเราจะตายเยี่ยงวีรบุรุษ ที่ผู้คนต้องกล่าวขานถึงไปอีกนานแสนนาน…”

“ยังมีการต่อสู้ครั้งสุดท้ายรอคอยเราอยู่ข้างหน้า”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ฮันปู้ฟู่ก็รู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องพูดคำใดอีก

เขาไม่เคยมีสติแจ่มใสมากเช่นนี้มาก่อน

“เราจะปกป้องหุบเขาดาวตกแห่งนี้ด้วยชีวิต รอจนกระทั่งฝาบาทและหลินเป่ยเฉินกลับออกมาจากอาณาเขตสนธยา เมื่อถึงเวลานั้น หลินเป่ยเฉินก็จะต้องคลี่คลายสถานการณ์ทุกอย่างได้แน่นอน”

“จงอย่าลืมว่าพวกเจ้าทุกคนมาจากเมืองหยุนเมิ่ง พวกเจ้าย่อมรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินเคยสร้างปาฏิหาริย์เช่นไรเอาไว้บ้าง… ถึงแม้ว่าในเวลาส่วนใหญ่แล้ว เจ้าเด็กคนนั้นจะเป็นคนจิตใจต่ำช้าและเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ก็ตาม!”

กลุ่มนายทหารที่ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวพลันอดส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้

ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อนึกถึงใบหน้าที่หล่อเหลาของเด็กหนุ่มจอมเสเพล จิตใจที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของกลุ่มนายทหารก็พลันสงบนิ่งราวปาฏิหาริย์

“ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทและหลินเป่ยเฉินจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย อีกไม่นานพวกเขาจะต้องกลับมา”

ฮันปู้ฟู่เชิดหน้าขึ้นสูงอย่างมีสง่า

เขาชี้มือไปยังกองทัพศัตรูที่กำลังเดินขบวนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ “ไม่ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้พวกเราจะรอดชีวิตหรือไม่ แต่ค่ำคืนนี้ เพื่อจักรวรรดิเป่ยไห่ เพื่อองค์เทพีกระบี่ และเพื่อบุคคลที่เรารัก ข้ากับพวกเจ้าจะต่อสู้เพื่ออิสรภาพอย่างไม่กลัวตาย ข้ากับพวกเจ้าจะปักหลักปกป้องคุ้มครองหุบเขาแห่งนี้ เพื่อความหวังของอนาคตที่สดใส”

“ต่อให้ต้องตายก็ไม่เสียใจ”

“ต่อให้ต้องตายก็ไม่เสียใจ”

กลุ่มนายทหารร้องตะโกน

ร่างของฮันปู้ฟู่พลันห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีส้มสว่างไสว

นี่คือพลังปราณธาตุประจำตัวเด็กหนุ่ม

ใบหน้าที่นิ่งเฉยเย็นชาของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาแล้ว

“น้องหลิน หลายเดือนที่ผ่านมา เจ้าส่งสมุนไพรวิเศษ ศิลาบูชา และคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์มากมายมาให้กับข้า… บัดนี้ ได้เวลาที่ข้าจะพิสูจน์ตนเองแล้วว่า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”

ม่านพลังสีส้มพุ่งขึ้นสูง

ตึง!

ฮันปู้ฟู่กระโดดออกจากโขดหินที่ตนเองยืนอยู่ทิ้งตัวลงไปท่ามกลางกองทัพศัตรูที่ดาหน้าเข้ามา

ฮันปู้ฟู่ระเบิดพลังลมปราณ พื้นดินใต้เท้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนที่พลังลมปราณของเด็กหนุ่มจะซึมซับลงไปใต้ผิวดิน กลายเป็นแรงระเบิดรอบบริเวณ

ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่ากองทัพจี้กวงต้องสูญเสียนายทหารไปจากการโจมตีครั้งนี้มากมายขนาดไหน

“พลังภูเขาไฟระเบิด!”

ฮันปู้ฟู่ร้องคำรามกึกก้อง

หลังจากนั้น เปลวเพลิงก็พุ่งขึ้นสูงราวกับเสาใหญ่จากใต้พื้นดิน เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น นายทหารของกองทัพจี้กวงหลายร้อยคนก็ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน

เสาเพลิงเหล่านี้พุ่งขึ้นมากลายเป็นกำแพงปิดกั้นเส้นทางโจมตีของกองทัพจี้กวง

เด็กหนุ่มร้องคำรามและวิ่งไปข้างหน้า

ร่างของเขาปะทะเข้ากับเสาเพลิงอย่างไม่กลัวความร้อน

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เมื่อเปลวเพลิงหลอมละลายกลับลงไปใต้พื้นดิน แผ่นดินก็เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่

กองทัพศัตรูในรัศมีครึ่งลี้ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก

และจังหวะนั้น พื้นดินที่หลอมเหลวก็ได้คร่าชีวิตนายทหารของกองทัพจี้กวงไปอีกนับไม่ถ้วน!

หลังจากระเบิดพลังภูเขาไฟออกไปแล้ว ฮันปู้ฟู่ก็รีบถอนตัวกลับมาประจำการอยู่บนโขดหินหน้าหุบเขาอย่างไม่ลังเล

ในเวลาเดียวกันนี้ กองทัพเป่ยไห่ก็เริ่มยิงธนูไฟใส่ค่ายกลของคู่ต่อสู้!

ห่างออกมาหลายลี้

บนเรือเหาะลำหนึ่ง องค์ชายอวี่ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ

“เด็กหนุ่มที่ปกป้องหุบเขาอยู่ในขณะนี้ เขาไม่หวาดกลัวเลยหรืออย่างไร? ช่างกล้าหาญสมคำเล่าลือจริง ๆ”

องค์ชายยิ้มและกล่าวต่อ “หากข้าจำไม่ผิด เด็กคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่? น่าเสียดายที่หลินเป่ยเฉินต้องตายอยู่ในอาณาเขตสนธยา… เอาละ ไปจับตัวเด็กคนนี้มาซะ ข้าอยากใช้ประโยชน์จากเขา”

“ข้าน้อยรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

องครักษ์ส่วนตัวนายหนึ่งก้มศีรษะและประสานมือรับคำสั่ง

รัชศกกวงหมิง มีนาคม ปี 8889 ต้นฤดูใบไม้ผลิ

จักรวรรดิเป่ยไห่เสียแดนเหนือไปทั้งหมด กองทัพที่เคยมีกำลังคนนับล้านนาย เหลือรอดชีวิตกลับมาเพียงหนึ่งแสนคน พวกเขาล่าถอยมายังมณฑลหยางฉ่วน ส่วนฮันปู้ฟู่ผู้รับหน้าที่ปกป้องหุบเขาดาวตก ได้ต่อสู้อย่างสุดความสามารถของตนเองเป็นเวลาถึงสองชั่วยาม และมีข่าวลือว่าเขาได้เสียชีวิตอยู่ในหุบเขาดาวตกแห่งนั้นเอง

หลิงฉือออกคำสั่งให้กองทัพใหญ่ล่าถอยกลับไป ส่วนตนเองอยู่รอฮันปู้ฟู่เพียงลำพัง เขาได้ปะทะกระบี่กับองค์ชายอวี่แห่งจักรวรรดิจี้กวงในเมืองหลงกวน และเกิดการต่อสู้ยาวนานสามวันสามคืน หลิงฉือสามารถยื้อเวลาจนนายทหารหนึ่งแสนคนสามารถถอยทัพกลับไปตั้งหลักอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้น ร่องรอยของหลิงฉือก็หายสาบสูญ…

….

สิบวันต่อมา นครหลวงของจักรวรรดิเป่ยไห่ถูกตีแตก

องค์ชายใหญ่เสียชีวิตระหว่างการต่อสู้

ส่วนองค์ชายคนอื่นๆ ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ตระกูลหลิวและตระกูลเจิ้งขึ้นเป็นยอดตระกูลใหญ่ประจำจักรวรรดิเป่ยไห่ในขณะนี้

องค์ชายเจ็ดพร้อมด้วยตระกูลเสี่ยวและตระกูลหลิงนำกองกำลังองครักษ์หลวงบุกทะลวงฝ่าวงล้อมออกจากนครหลวงได้สำเร็จ แต่ก็เป็นความสำเร็จที่ทุลักทุเลเกินอธิบายนัก…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด