เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 1056 ทำไมต้องตบเข่า

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 1056 ทำไมต้องตบเข่า อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 1,056 ทำไมต้องตบเข่า

กระแสพลังคุกคามถูกปลดปล่อยออกมาจากตัวเหยียนอิงโดยไม่รู้ตัว นางหัวเราะเยาะก่อนเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นหัวหน้านักบวชแล้ว ข้าก็คงไม่มีอะไรให้ปิดบัง หากเทพเจ้าแห่งท้องทะเลยังคงไม่ปรากฏตัว ข้าก็จะใช้โอกาสในการประชุมครั้งหน้าแอบอ้างชื่อของนาง เสนอตนเองเป็นผู้ที่ถูกเลือกของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลคนใหม่เสียเลย”

ใช่แล้ว

นี่แหละเหยียนอิงที่เขารู้จัก

“แล้วพี่หญิงไม่กลัวว่าเทพเจ้าแห่งท้องทะเลตัวจริงจะกลับมาหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถาม

“หึหึ เทพเจ้าแห่งท้องทะเล… อย่างไรก็เป็นเพียงปรสิตที่หากินกับความเชื่อของผู้คนอยู่แล้ว บัดนี้ ข้ามีอำนาจทั้งบนบกทั้งใต้น้ำ ต่อให้นางกลับมา นางยังจะทำอะไรข้าได้? ข้าเชื่อมั่นว่าด้วยความสามารถของข้า ในอีกไม่นาน วิหารใต้สมุทรก็จะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของข้าเช่นกัน”

เหยียนอิงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ

ให้ตายสิ…

นี่นางยังปกติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ย?

หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือออกไปแตะหน้าผากของเด็กสาวเล็กน้อย

อุณหภูมิปกติ ไม่ได้มีไข้

แล้วนางเพ้อฝันเช่นนี้ได้อย่างไร?

“คำพูดของท่านคือสิ่งที่ข้าอยากฟังพอดีขอรับ”

หลินเป่ยเฉินตบเข่าฉาดด้วยความตื่นเต้นและกล่าวต่อ “ในเมื่อข้าควบคุมวิหารเทพีกระบี่ ส่วนท่านก็ควบคุมวิหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเล เช่นนี้ก็ไม่มีปีศาจตนใดสามารถขวางทางพวกเราได้อีกแล้ว พี่หญิงได้ยินข่าวหรือไม่ว่าช่วงหลังเทพแห่งพงไพรเริ่มมาตั้งวิหารอย่างเป็นล่ำเป็นสันกันแล้ว ข้าเชื่อว่าหากพวกเราร่วมมือกัน อีกเพียงไม่นาน วิหารของพวกเขาก็จะต้องสลายหายไปจากแผ่นดินตงเต้าอย่างแน่นอน…”

เหยียนอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “ทำไมเจ้าต้องตบเข่าด้วย?”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า “ที่ข้าตบก็เพราะว่าข้าตื่นเต้นขอรับ”

เหยียนอิงจ้องมองเขาด้วยสายตาคมกริบไม่ต่างจากคมกระบี่ “อย่างนั้นเจ้าก็สมควรตบเข่าตนเอง เหตุไฉนถึงมาตบเข่าข้า?”

หลินเป่ยเฉินรีบชักมือของตนเองกลับมาและตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พอดีมันเคยชินน่ะขอรับ”

เคยชิน?

เจ้าลูกเต่าน้อยตัวนี้ไม่ใช่ตัวดีจริง ๆ เขาคงเคยตบเข่าสตรีมานับไม่ถ้วนแล้วกระมัง?

เหยียนอิงพ่นลมผ่านทางจมูกอย่างไม่พอใจ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร บัดนี้วิหารเทพพงไพรคือวิหารเทพอันดับหนึ่งในแผ่นดินตงเต้า เจ้าคิดกวาดล้างพวกเขาก็ทำเองเถิด อย่าได้เอาข้าไปรับความเดือดร้อนด้วยเลย ได้ข่าวว่าการชุมนุมสำนักกระบี่ที่เมืองไป๋หยุนในครั้งนี้ วิหารเทพพงไพรก็ส่งสมาชิกไปเข้าร่วมการประลองด้วยเช่นกัน เมื่อเจ้าเผชิญหน้าพวกเขา ก็จงสังหารให้หมด อย่าให้เหลือรอดกลับออกมาเด็ดขาด”

ว่าไงนะ?

หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึงไปไม่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น

วิหารเทพพงไพรส่งคนเข้าร่วมการประลองกระบี่ที่เมืองไป๋หยุนด้วยหรือ?

เพื่ออะไรกัน?

ไม่เห็นอาจารย์ติงเคยบอกสักคำ

หากหลินเป่ยเฉินต้องเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่มาจากวิหารเทพพงไพร ก็นับว่าเป็นศัตรูที่น่ากลัวไม่น้อย

ไม่ทราบว่าหากตอนนี้บอกให้อาจารย์เลื่อนการเดินทางไปเมืองไป๋หยุนออกไปก่อนยังพอทันการอยู่หรือไม่?

“ข้ารู้ว่าที่เจ้ามาหาข้าในคืนนี้ นอกจากเรื่องราวเหล่านี้แล้ว เจ้าก็ยังอยากมาปรึกษาปัญหาการบริหารงานต่าง ๆ กับข้าอีกด้วย”

เหยียนอิงไม่ได้สนใจสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของหลินเป่ยเฉิน เมื่อพูดถึงเรื่องการบริหารงานขึ้นมา แววตาของนางก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “บัดนี้ เจ้ามีอำนาจมากกว่าเก่าก่อน พวกเรามาคุยกันดีกว่าว่าเจ้าจะใช้อำนาจเหล่านี้ทำสิ่งใดได้บ้าง…”

หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาทันที

พี่หญิง ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว

แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ

หลินเป่ยเฉินไหลตามน้ำไปกับบทสนทนาของเหยียนอิง

ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด

เด็กสาวบนรถเข็นถึงกับวาดแผนผังขนาดใหญ่ออกมา

นางเป็นคนที่เวลาทำสิ่งใดก็ต้องมีแบบแผนที่ชัดเจนเสมอ

และด้วยความที่เหยียนอิงสร้างทุกอย่างขึ้นมาด้วยมือของตนเอง จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเหตุไฉนนางถึงเปรียบเทียบเทพเจ้าเป็นปรสิต คอยสูบเลือดสูบเนื้อผู้คนที่เป็นสาวกอย่างไม่ยุติธรรม….

ตลอดเวลาของการพูดคุย เด็กสาวจะยกไหสุรากรอกปากเป็นระยะ ใบหน้าของนางแดงก่ำมากขึ้นเรื่อย ๆ คำพูดก็ไม่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุด นางก็ถึงกับตะโกนออกมาว่า “ในโลกนี้จะไม่มีผู้ใดสามารถขวางทางข้าได้เด็ดขาด ต่อให้สวรรค์คิดขวางทางข้า ข้าก็จะระเบิดสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลอง”

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว

พี่หญิง ท่านออกจะไร้เดียงสาเกินไปแล้ว

“แล้วเจ้าล่ะ?”

เหยียนอิงหันมามองหน้าเขา ถามอย่างกระตือรือร้น

“อะไรขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินนั่งเท้าคางมองหน้าเด็กสาว

“ความฝันของเจ้าคือสิ่งใด? เจ้าอยากจะเป็นอะไรในภายภาคหน้า?”

เหยียนอิงถามออกมาด้วยความมึนเมา “ข้าบอกของข้าออกมาแล้ว เจ้าก็บอกของเจ้าออกมาบ้างสิ…”

“ข้าแค่อยากใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบไปจนวันตายขอรับ”

หลินเป่ยเฉินตอบ “พี่หญิง นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน…”

“อย่าเพิ่งไป”

เด็กสาวบนรถเข็นดึงแขนเขาเอาไว้อย่างไม่พอใจพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าอุตส่าห์บอกความฝันของข้าให้เจ้าทราบ เหตุไฉนเจ้าถึงไม่บอกความฝันของเจ้าออกมาบ้าง?”

“ความฝันอะไรกันพี่หญิง? ข้ายังไม่ได้หลับ จะฝันได้อย่างไร?”

“ข้าหมายถึงจุดมุ่งหมายของเจ้าน่ะ”

“ข้าบอกจุดมุ่งหมายของข้าแล้ว…”

“คำตอบของเจ้านับว่าใช้ได้ที่ไหน ไม่ได้เด็ดขาด… หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ไม่คู่ควรมาเป็นพันธมิตรกับข้า เร็วเข้า รีบบอกจุดมุ่งหมายของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”

“บอกมาสิ…”

“หากเจ้าไม่บอก ข้าก็ไม่ให้เจ้ากลับ”

“อย่าบังคับข้าเลยขอรับ”

“ข้าบังคับอะไรเจ้า? ก็ใครใช้ให้เจ้าโกหกเล่า ซ้ำเข่าของข้าเจ้าก็ได้จับไปแล้วนะ… รีบบอกมา ไม่งั้นข้าจะตะโกนเรียกติงซานฉือและบอกว่าเจ้าพยายามลวนลามข้า…”

“พี่หญิง ท่านเมามายมากเกินไปแล้ว”

“บอกมา”

“ก็ได้ขอรับ ข้าจะบอกก็ได้”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า จัดแต่งเสื้อผ้าที่ยับย่น และจัดแต่งทรงผมให้เข้าที่เข้าทาง

เขาเชิดหน้าขึ้น 45 องศา กระแอมไอออกมาเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “ข้าอยากจะมีวันเวลาที่ไม่ว่าชำเลืองมองไปยังแห่งหนใด สถานที่นั้นก็ต้องเป็นของข้า ไม่ว่าข้าชำเลืองมองไปที่สิ่งใด สิ่งนั้นก็ต้องเป็นของข้า และโลกนี้จะต้องไม่มีพวกปีศาจร้ายอีกต่อไป ข้าอยากจะสร้างโลกที่มีแต่คนดี ๆ อาศัยอยู่เท่านั้น”

เพล้ง!

จอกสุราในมือเหยียนอิงตกแตกกระจายเกลื่อนพื้น

นางเงยหน้าที่สวยงามและดื้อรั้นจ้องมองหลินเป่ยเฉินอย่างคาดไม่ถึง

แววตาของนางเป็นประกายระยิบระยับด้วยความสับสนและตกตะลึง เด็กสาวอ้าปากออก แต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ปีกจมูกของนางไหวพะเยิบพะยาบ สีหน้าอธิบายไม่ถูกว่ากำลังตื้นตันใจอยู่ใช่หรือไม่

หลินเป่ยเฉินใช้หางตาชำเลืองมองปฏิกิริยาของเหยียนอิงด้วยความพอใจ

ถึงคำพูดของเขาจะก๊อปพวกพระเอกในนิยายมาทั้งดุ้น แต่รับรองได้เลยว่าในโลกวรยุทธ์แห่งนี้ย่อมไม่มีผู้ใดเคยพูดมาก่อน ดังนั้น คำพูดอันคมคายของหลินเป่ยเฉินจึงกระแทกหัวใจที่แข็งกระด้างของเหยียนอิงเข้าอย่างจัง

ฮ่า ๆๆ

พี่หญิง ท่านยังห่างชั้นจากข้าอีกเยอะ

“สมแล้วที่เป็นพันธมิตรของข้า”

ริมฝีปากของเด็กสาวสั่นระริกเล็กน้อยขณะกล่าว “เร็วเข้า รีบถอนคำพูดของเจ้าเดี๋ยวนี้”

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่เข้าใจ

หมายความว่าอย่างไร?

“ถอนคำพูดของเจ้าซะ แล้วเปลี่ยนเป็นให้ข้าพูดแทน”

สีหน้าของเด็กสาวบนรถเข็นแสดงออกถึงความดุดัน “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้พูดประโยคนี้อีกในอนาคต คนพูดต้องเป็นข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ใช่เจ้า!”

หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ

เหยียนอิงรู้ตัวหรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา?

เขาเองก็ขโมยคำพูดเหล่านี้มาจากผู้อื่นเช่นกัน

แล้วนางยังอยากจะขโมยพวกมันไปจากเขาอีกหรือ?

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด