เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 1190 คำกล่าวหาจากปากชาวบ้าน

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 1190 คำกล่าวหาจากปากชาวบ้าน อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 1,190 คำกล่าวหาจากปากชาวบ้าน

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเก้าผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักหนามทมิฬ ชีวิตของเจิ้งซานถงจึงรู้จักแต่ความสะดวกสบายตลอดมา

เขาไม่ได้ลุ่มหลงในเงินทอง เขาไม่ได้บ้าตัณหาราคะ สิ่งเดียวที่เจิ้งซานถงสนใจคือการได้เล่นกับแมวเท่านั้น

แต่น่าเสียดายที่แมวน้อยธรรมดาไม่สามารถทนแรงมือของเขาได้ หลังจากลูบคอพวกมันเพียงไม่กี่ครั้ง แมวเหมียวเหล่านั้นก็จะกระดูกหักตายไป

มีเพียงแมวน้อยสามหางที่อยู่ในอ้อมแขนเขาตอนนี้เท่านั้นที่สามารถทนแรงมือของเจิ้งซานถงได้

เจิ้งซานถงได้มันมาจากพ่อค้าที่เข้าไปล่าอสูรในหุบเขาอเวจี

เจิ้งซานถงอุ้มแมวน้อยอยู่ในมือ พูดเสียงดังว่า “ท่านเข้าใจผิดแล้ว นี่ต้องเป็นการเข้าใจผิดกันแน่ ๆ…”

เพียะ! เพียะ!

หลินเป่ยเฉินตบหน้าอีกฝ่ายสองครั้งซ้อน

‘ข้าเป็นเพียงคนใบ้หูหนวกที่ไม่มีพิษมีภัยกับผู้ใด ข้าไม่ได้ยินคำพูดของเจ้า ดังนั้นจงสื่อสารกันผ่านตัวอักษรบนพื้นดินเถอะ’

หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความอย่างรวดเร็ว ‘เจ้าบอกว่ายินดีขออภัย ไม่ทราบว่าจะยินยอมก้มหัวคำนับให้กับข้าหรือไม่?’

เจิ้งซานถงรีบก้มหัวลงโขกหน้าผากกับพื้นดินสามครั้งโดยไม่ลังเล

‘ไม่ทราบว่าคุณชายพอใจแล้วหรือไม่? หากคุณชายยังไม่พอใจ ข้าน้อยยังสามารถคำนับท่านได้อีก’

เจิ้งซานถงจ้องมองเด็กหนุ่มและเขียนข้อความบนพื้นดิน

หลินเป่ยเฉินตบหน้าชายฉกรรจ์ผู้เป็นทาสแมวอีกครั้งและเขียนข้อความตอบกลับไป ‘พอแล้ว พวกเรามาพูดคุยกันดีกว่า ทำไมเจ้าต้องส่งมือสังหารมาฆ่าข้าด้วย?’

‘คุณชาย ท่านกำลังเข้าใจ…’

เจิ้งซานถงยังไม่ทันเขียนข้อความแก้ต่าง

หลินเป่ยเฉินก็จัดการเขียนข้อความบอกเล่าเรื่องราวการลอบสังหารในตรอกร้างแห่งนั้น

เมื่อเจิ้งซานถงอ่านข้อความจบลง หัวใจก็ต้องกระตุกวูบ

จบสิ้นแล้ว

เป็นเด็กใบ้ผู้นี้เองหรือ?

บัดซบ

เจ้า 9527 บอกว่าเด็กใบ้ไร้ฝีมือการต่อสู้ไม่ใช่หรือ?

เหลวไหลสิ้นดี

ความแข็งแกร่งของเด็กใบ้ผู้นี้ แทบไม่ต่างจากนักรบเทวะตระกูลใหญ่ด้วยซ้ำ

‘กราบเรียนคุณชาย เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้าน้อย ข้าน้อยเพียงได้รับคำสั่งมาอีกทอดหนึ่ง…’ เจิ้งซานถงรีบอธิบายด้วยความกระตือรือร้นและบอกเล่าถึงแผนการที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้อีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินได้รับทราบดังนั้นก็รู้สึกสะดุดใจ

แย่แล้วสิ

ฮันหลี่กำลังตกอยู่ในอันตราย

เด็กหนุ่มไม่สนใจเรื่องราวอื่นใดอีก เขารีบหันหลังกลับและมุ่งหน้าตรงไปที่โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยทันที

เจิ้งซานถงคุกเข่าตัวสั่นเทาอยู่ตรงนั้นอีกเนิ่นนาน จวบจนเมื่อแน่ใจแล้วว่าเจ้าเด็กใบ้ไปแล้วจริง ๆ เขาถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า

“ผู้ใดกล้ามาก่อกวนสำนักหนามทมิฬของเรา?”

เสียงคำรามอันแสนดุร้ายดังกังวานมาจากพื้นที่ห่างไกล และเมื่อสิ้นเสียงคำรามนั้น ร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่สวมใส่ชุดเกราะหนังงูเขียวก็ทิ้งตัวลงมายืนอยู่ในลานหน้าสำนัก

“ท่านประมุขน้อย”

เมื่อเจิ้งซานถงเห็นเด็กหนุ่มผู้นี้ก็แสดงสีหน้าทั้งประหลาดใจและดีใจออกมา เขารีบประสานมือทำความเคารพและบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด

“เจ้าใบ้ตระกูลฮันอย่างนั้นหรือ?”

ประมุขน้อยแห่งสำนักหนามทมิฬเจี๋ยหร่าขมวดคิ้ว ก่อนกล่าวว่า “เจ้าคิดว่ามันเป็นใครมาจากไหน? เหตุใดถึงได้มีความแข็งแกร่งเช่นนี้?”

เจิ้งซานถงครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ตอบว่า “เห็นได้ชัดว่าเขาไม่น่าใช่คนจากวิหาร และไม่ใช่คนของสภาเทพเจ้า แต่น่าจะเป็นบุคคลจากตระกูลใดตระกูลหนึ่งในเมืองเยี่ยเฉิง แต่ด้วยความที่เกิดมาเป็นใบ้หูหนวก จึงไม่เป็นที่ยอมรับของคนในครอบครัว… กล่าวโดยสรุปก็คือ เด็กใบ้ผู้นี้มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา เพียงแต่ไม่เคยถูกเปิดเผยตัวตนมาก่อนเท่านั้น”

“เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลฮัน เบื้องบนต้องสนใจเป็นแน่แท้ พวกเราจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้” เจี๋ยหร่ากล่าว “รีบไประดมกำลังพลของพวกเรา รวมถึงเรียกตัวสามเทพาจารย์และเก้าผู้อาวุโสมาด้วย ข้าจะไปหาเจ้าเด็กใบ้นั่นเดี๋ยวนี้”

โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย

ลานที่พักด้านหลัง

พิธีเคารพศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย

ฮันหลี่ได้รับการชำระล้างร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า นอนแน่นิ่งอยู่ในโลงศพ

อู๋เหว่ยถึงกับเป็นลมไปด้วยความเศร้าโศก หลังจากได้รับประทานยาสงบจิตใจแล้ว นางก็นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องพักบนชั้นสอง ปล่อยให้ฮันลั่วเซวี่ยนั่งไว้ทุกข์คุกเข่าอยู่ต่อหน้าโลงศพตามลำพัง…

แม้กระทั่งตอนที่นางสวมใส่ชุดไว้ทุกข์ เด็กสาวก็ยังดูงดงามเหนือคนธรรมดา

หรานจื่อชุนยืนอยู่หน้าประตูกระท่อมไม้ เฝ้ามองฮันลั่วเซวี่ยผู้คุกเข่าอยู่หน้าโลงศพไม่วางตา แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความลุ่มหลงวูบวาบ

“เสี่ยวเซวี่ย เจ้าไม่น่าหลงผิดเลย หากเจ้าไม่ทำร้ายจิตใจข้าโดยการไปตกหลุมรักเจ้าเด็กใบ้นั่น ข้าก็คงไม่ต้องใช้วิธีนี้…”

มุมปากของหรานจื่อชุนบิดตัวเป็นรอยยิ้มเหยียดหยาม

ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าผู้คนดังขึ้น

ฮันลั่วเซวี่ยลุกขึ้นยืนด้วยความสงสัย มองออกไปนอกกระท่อมไม้

และนางก็ได้เห็นกลุ่มเพื่อนบ้านปรากฏตัวเดินเข้ามา

“ลุงหวัง ป้าหลิว พี่เปาอวี่ ทุกคน… พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”

ฮันลั่วเซวี่ยอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

นางชำเลืองมองไปที่หรานจื่อชุน ตนเองกำชับเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือไม่ให้เขาแจ้งข่าวความตายของบิดาต่อผู้ใด?

หรานจื่อชุนเสแสร้งแกล้งทำสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ “ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะ พวกเขาคงเห็นตอนที่รถม้านำโลงศพมาส่งมากกว่า… ข้าทำตามคำสั่งของเจ้าอย่างเข้มงวด ไม่เคยบอกเรื่องการตายของท่านพ่อต่อผู้ใดทั้งสิ้น”

ฮันลั่วเซวี่ยประสานมือคำนับทุกคนด้วยใบหน้าขาวซีด “ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมไว้อาลัยบิดาของข้าน้อย…”

“เกิดอะไรขึ้น?”

“เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าอาการของเฒ่าฮันดีขึ้นแล้ว?”

“นั่นสิ ในเมื่อดีขึ้นแล้ว เขาจะเสียชีวิตได้อย่างไร…”

“หลานสาว นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้าสักหน่อย เฒ่าฮันตายไปทั้งคน ทำไมถึงไม่มาแจ้งข่าวพวกเราบ้าง พวกเราไม่ใช่คนอื่นคนไกล อย่างน้อยได้มาส่งเขาสู่สัมปรายภพครั้งสุดท้ายก็ยังดี”

เพื่อนบ้านทุกคนต่างก็เดินเข้ามาต่อแถวคุกเข่าเคารพหน้าโลงศพของฮันหลี่ รวมถึงช่วยเหลือฮันลั่วเซวี่ยจัดแจงทำพิธีเคารพศพให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น

ฮันลั่วเซวี่ยพยายามจะปฏิเสธ แต่ก็ไร้ประโยชน์

“ว่าแต่เหตุไฉนเฒ่าฮันถึงเสียชีวิตได้เล่า?”

“ข้าเห็นเขาเมื่อวานนี้ หลังจากรับประทานยาจากวิหารเข้าไป เฒ่าฮันก็ดูดีมากเลยนี่นา…”

ใครบางคนตั้งคำถามขึ้นมา

“บิดาของข้า…”

ฮันลั่วเซวี่ยไม่รู้เลยว่าตนเองสมควรตอบอย่างไร

ความลังเลของเด็กสาวยิ่งทำให้ทุกคนมึนงงสงสัยมากขึ้น

“ข้ารู้แล้ว…”

จังหวะนั้น เด็กชายวัยสิบขวบผู้หนึ่งส่งเสียงตะโกนขึ้นมา “เจ้าใบ้ผู้นั้นเป็นคนวางยาพิษฆ่าท่านปู่ฮัน พอมันวางยาพิษฆ่าท่านปู่ฮันได้สำเร็จ… เจ้าใบ้ก็หลบหนีไป”

ช่างน่ามหัศจรรย์

เพียงพริบตาเดียว กระท่อมไม้ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีศพก็ตกอยู่ในความเงียบ

“เจ้า… เสี่ยวเปา อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล…”

ฮันลั่วเซวี่ยพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ “เจ้าไปได้ยินมาจากไหน?”

“ข้าได้ยินตอนที่ท่านพูดกับเจ้าใบ้นั่นไงล่ะ…” เด็กน้อยรีบวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังป้าหลิว ก่อนจะยกมือชี้หน้าฮันลั่วเซวี่ยและตะโกนเสียงดังว่า “หญิงสารเลว”

ฮันลั่วเซวี่ยมีสีหน้าร้อนรนขึ้นมาในทันใด “เจ้า… ยังไม่หยุดพูดจาเหลวไหลอีก”

ขณะนี้ สายตาที่เพื่อนบ้านทุกคนจ้องมองเด็กสาวได้เปลี่ยนไปแล้ว

หรานจื่อชุนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “เสี่ยวเซวี่ย เจ้า…เจ้าคงไม่ได้ทำจริง ๆ หรอกกระมัง? มิน่าล่ะ เจ้าถึงไม่อยากให้ข้าแจ้งข่าวเรื่องความตายของท่านพ่อกับผู้ใด และเจ้าก็ไม่อยากให้ข้าออกตามหาตัวเด็กใบ้นั่นด้วย… ข้ารู้ว่าเจ้ารักเด็กใบ้ แต่ถึงกับวางยาพิษบิดาตนเองเช่นนี้ เจ้า… จิตใจของเจ้าช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว”

“พี่จื่อชุน ท่านอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล…”

ฮันลั่วเซวี่ยไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องราวจะดำเนินมาถึงขั้นนี้ นางรีบหันไปอธิบายให้เพื่อนบ้านทั้งหมดรับฟัง “ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิดนะเจ้าคะ เสี่ยวเปา ใครบอกให้เจ้าพูดออกมาเช่นนี้… เป็นพี่จื่อชุนใช่หรือไม่?”

ไม่มีใครคิดเลยว่าเด็กน้อยนามเสี่ยวเปาที่วิ่งไปหลบอยู่หลังป้าหลิวจะหวาดกลัวถึงขั้นร้องไห้ออกมา

“เจ้าอย่าไปขู่เด็กน้อยสิ”

“เสี่ยวเซวี่ย นี่เจ้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นลงไปจริง ๆ หรือ?”

“ข้ารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าใบ้นั่นต้องไม่ชอบมาพากล ที่แท้เจ้าก็แอบมีความสัมพันธ์กับมันนี่เอง เฮอะ นับว่าเป็นหญิงโฉดชายชั่วที่แท้จริง…”

“พวกเราจับตัวนางเอาไว้”

ทุกคนรีบพุ่งออกมาข้างหน้า

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ช้าก่อน ได้โปรดฟังข้าน้อยอธิบาย…”

ฮันลั่วเซวี่ยพยายามแก้ต่างให้แก่ตนเองด้วยความหมดหวัง

แต่มันก็ไม่เป็นผล

ในไม่ช้า นางก็ถูกกลุ่มชาวบ้านจับมัดติดอยู่กับโลงศพของบิดา

“ข้าไม่ได้ทำนะ ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ ทุกคนเชื่อข้าสิ…”

ฮันลั่วเซวี่ยร่ำร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่กำลังโกรธแค้น จึงไม่มีใครยินยอมรับฟังคำพูดของนาง กลุ่มชาวบ้านเลือกที่จะเชื่อถือคำพูดของเด็กชายวัยสิบขวบผู้นั้น พวกเขาเลือกที่จะเข้าข้างหรานจื่อชุนและเชื่อว่าทุกสิ่งที่ตนเองได้ยินนั้นคือความจริง

“เกิดอะไรขึ้น?”

อู๋เหว่ยผู้นอนหลับใหลในที่สุดก็ตื่นขึ้นมาและเดินมาที่กระท่อมตั้งศพ

“ท่านแม่ เสี่ยวเซวี่ย นาง… ฮื่อ ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี” หรานจื่อชุนเดินเข้าไปหาหญิงชราด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ชายหนุ่มพูดออกมาได้เพียงไม่กี่คำ น้ำตาก็ไหลนองเต็มใบหน้า

ชาวบ้านคนหนึ่งจึงบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมา

“ไม่นะ เป็นไปไม่ได้ ทุกคนเข้าใจผิดแล้ว” อู๋เหว่ยไม่เชื่อว่าบุตรสาวของตนเองจะกระทำเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ลงคอ

หรานจื่อชุนพูดว่า “ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกันขอรับ แต่ว่า… ฮื่อ ท่านแม่ ข้าจะให้เสี่ยวเซวี่ยพูดกับท่านเองก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มเดินไปยืนอยู่ข้างกายฮันลั่วเซวี่ยและกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูนางเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า “เสี่ยวเซวี่ย หากเจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ก็จงบอกท่านแม่ไปว่าสิ่งที่ทุกคนพูดออกมานั้นคือความจริง”

ฮันลั่วเซวี่ยหันหน้ามองไปทางมารดาด้วยใบหน้าซีดเซียว

เป็นเวลานานทีเดียวที่เด็กสาวนั่งก้มหน้าก่อนจะกัดฟันพูดออกมาว่า “ท่านแม่ เป็นลูกสมรู้ร่วมคิดกับพี่ใบ้ วางยาพิษท่านพ่อจนถึงแก่ความตาย… ลูกมันไม่ใช่คน…”

“ว่าไงนะ?”

อู๋เหว่ยคิดว่าตนเองหูฝาด

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด