เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 1050 เจ้าอย่ามาโกหกข้าดีกว่า

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 1050 เจ้าอย่ามาโกหกข้าดีกว่า อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 1,050 เจ้าอย่ามาโกหกข้าดีกว่า

“กระบวนท่าที่ประเสริฐ”

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง

ต้องยอมรับเลยว่าซูถิงฟางมีรูปแบบการโจมตีที่แข็งแกร่ง

อย่างน้อยก็น่าประทับใจมากกว่ามือธนูจ้าวอินทรีอวี้ซือไป๋

และการโจมตีครั้งนี้ก็ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกกดดันได้อย่างแท้จริง

ธนูฟ้าดินมนุษย์หลอมรวมเป็นหนึ่ง?

น่าจะยากต่อการรับมือ

สงสัยคงต้องเอาจริงแล้วสินะ

หลินเป่ยเฉินตัดสินใจแสดงพลังที่แท้จริง…

เขาโคจรพลังปราณธาตุทองคำ

นี่คือพลังปราณธาตุชนิดแรกที่หลินเป่ยเฉินเปิดได้นับตั้งแต่บรรลุขั้นเซียน

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้งานมันสักเท่าไหร่

โดยเฉพาะวิชากระบี่ผลึกทองคำที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะใช้ต่อไปนี้

ด้วยว่าศัตรูที่เขาเผชิญหน้ามาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นเทพแห่งวิหารเฉียนเกา นักบวชหมิงหลี่ หรือทูตสวรรค์อวี้จูอวี่ ล้วนแต่ยังไม่มีค่ามากพอให้เขาแสดงพลังนี้ออกมา

แต่มือธนูอันดับหนึ่งแห่งจี้กวงผู้นี้มีค่าคู่ควรแล้ว

ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งแสดงกระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองออกมา หลินเป่ยเฉินก็สมควรแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเองเช่นกัน

เมื่อคิดได้เช่นนี้

หลินเป่ยเฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป

พลังปราณธาตุทองคำไหลเวียนไปตามร่างกาย ก่อนที่กระแสพลังทั้งหมดจะไหลเวียนลงไปสู่คทาที่ถืออยู่ในมือ และหลินเป่ยเฉินก็ใช้ไม้คทาด้ามนั้นตวัดออกไปในแนวขวางแทนกระบี่

ลำแสงสีทองคำระเบิดเป็นประกายเจิดจ้า

ทำให้ดวงตาของผู้คนพร่าพราย

ลำแสงสีทองคำนั้นกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว

ลมหายใจต่อมา…

พรึ่บ!

กระแสพลังสีทองคำพุ่งเข้าปะทะกับธนูมนุษย์ที่พุ่งเข้ามา

เกิดเป็นเสียงการระเบิดตัวดังเพียงแผ่วเบา

แล้วแทบทุกสิ่งทุกอย่างก็สลายหายไป

คล้ายกับว่ามวลพลังจากธนูฟ้าดินมนุษย์ที่หลอมรวมเป็นหนึ่งได้ถูกอะไรบางอย่างดูดซับไปหมดสิ้น

ในอากาศหลงเหลือเพียงแสงสีทองคำเป็นประกายระยิบระยับ

นี่กลายเป็นภาพที่สวยงามอย่างน่ามหัศจรรย์

หลังจากนั้น….

วูบ!

กระแสพลังสีทองคำก็ร่วงหล่นลงจากกลางอากาศกระแทกเข้ากับพื้นหินบนผาดาวตก

ประกายไฟสาดกระจายไปรอบทิศทาง

รูปปั้นที่แปลกประหลาดตัวหนึ่งตั้งอยู่ตรงนั้น

หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ มันเป็นรูปปั้นมนุษย์ผู้ถูกพันธนาการอยู่กับธนูยักษ์คันหนึ่ง

เป็นซูถิงฟาง

ธนูฟ้าดินมนุษย์ของซูถิงฟางเมื่อเผชิญหน้าเข้ากับการใช้พลังปราณธาตุทองคำด้วยกระบวนท่ากระบี่ผลึกทองคำของหลินเป่ยเฉิน มันก็ทำให้ชายชราผู้เป็นมือธนูอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิจี้กวงต้องกลายเป็นรูปปั้นทองคำตัวหนึ่งไปเสียแล้ว

ให้ตายสิ

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประทับใจ

กระบวนท่าจากวิชากระบี่ผลึกทองคำแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด

หลินเป่ยเฉินควงคทาและเดินเข้าไปสำรวจดูด้วยความระมัดระวัง

วิบวับ

รูปปั้นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเขานี้ คือรูปปั้นทองคำบริสุทธิ์

ลองกัดดูสักหน่อยจะได้ไหมเนี่ย?

เด็กหนุ่มเคยเห็นในละครทีวีที่เวลามีคนอยากจะพิสูจน์ว่าทองคำเป็นของแท้หรือไม่ คนผู้นั้นก็จะลองกัดทองคำดูเสมอ

หากรูปปั้นมนุษย์ทองคำตัวนี้เป็นของจริง เขาก็น่าจะนำไปหลอมได้เหรียญทองคำหลายแสนเหรียญเลยไม่ใช่หรือ?

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

หลินเป่ยเฉินเคาะไม้คทาในมือเข้ากับส่วนต่าง ๆ ของรูปปั้นทองคำ

เป็นเสียงสะท้อนจากทองคำจริง ๆ

อ้า งั้นก็หมายความว่า…

เด็กหนุ่มได้ค้นพบเส้นทางเศรษฐีอีกแล้ว!!

หลังจากใช้ความคิดเล็กน้อย เขาก็แกะรูปปั้นทองคำของซูถิงฟางแยกออกจากคันธนู เรียบร้อยดีแล้วจึงยกรูปปั้นไปตั้งไว้บนโต๊ะบูชาของฮันปู้ฟู่

นี่คือของเซ่นไหว้ชิ้นที่สาม

ส่วนคันธนูและสายธนูทองคำที่แยกออกมานั้น หลินเป่ยเฉินจัดการหลอมรวมพวกมันให้เป็นก้อนกลมขนาดใหญ่

เมื่อได้สภาพออกมาเป็นลูกบอลทองคำที่น่าพอใจแล้ว เขาก็อัปโหลดมันไปเก็บเอาไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ ก่อนที่ลมหายใจต่อมา เสียงของเสี่ยวจี้จะดังขึ้นว่า…

“พื้นที่จัดเก็บไม่พอเจ้าค่ะ”

ว่าไงนะ?

หลินเป่ยเฉินยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น

เป็นไปได้อย่างไร?

ก็เขาซื้อแพ็คเกจ VIP แล้วไง

นั่นหมายความว่าเขาสามารถจัดเก็บของได้แบบไม่จำกัดพื้นที่ไม่ใช่หรือ?

แล้วพื้นที่จัดเก็บจะไม่พอได้อย่างไร?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาในทันใด

อย่าบอกนะว่าเขาจะโดนหลอกให้ซื้อแพ็คเกจ VIP ที่ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนเป็นศิลาบูชาถึงสิบก้อนโดยเปล่าประโยชน์

หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ในโทรศัพท์มือถือของยมทูตเครื่องนี้ จะมีความหมกเม็ดเจ้าเล่ห์สูบเงินไม่ต่างไปจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ในโลกมนุษย์ใบเก่าของเขา

“ถ้าพื้นที่จัดเก็บเต็มแบบนี้ สงสัยคงต้องไปใช้บริการแอปพื้นที่เก็บไฟล์เจ้าอื่นแล้วสิ…”

หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจ ก่อนจะโยนลูกบอลสีทองคำลูกนั้นไปทางเรือเหาะสีดำ

“ช่วยเก็บเอาไว้ให้ข้าที”

เด็กหนุ่มตะโกน

“ได้เลยขอรับ ข้าจะเก็บเอาไว้ให้ท่านพี่เป็นอย่างดี ท่านพี่ไม่ต้องเป็นกังวล”

ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่บนเรือเหาะสีดำ เซียวปิงกระโดดออกมารับลูกบอลทองคำเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ… แม้ว่าในมือของเขาจะมีน่องไก่อยู่ก็ตาม

ในเวลาเดียวกันนี้ คนอื่น ๆ ที่อยู่บนเรือเหาะเพิ่งจะสลัดหลุดจากความตกตะลึง

เดิมทีนี่ควรเป็นการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าสะท้านดิน

ด้วยความกล้าหาญของซูถิงฟางที่แสดงออกมา ด้วยพลังปราณธาตุเม็ดทรายที่แข็งแกร่งครอบคลุมทั่วผาดาวตก ด้วยพลังของธนูฟ้าดินมนุษย์ที่หลอมรวมเป็นหนึ่ง ต่อให้กองทัพเป่ยไห่รวมตัวกันเพื่อต้านทานการโจมตีในครั้งนี้ พวกเขาก็คงต้องสูญเสียกำลังพลเป็นจำนวนมาก เกรงว่าด้วยอานุภาพการทำลายล้างของมัน ผาดาวตกแห่งนี้ก็คงถึงคราวต้องถล่มทลายลงไปแล้ว

แต่กระบวนท่าโจมตีที่น่ากลัวนั้น หลินเป่ยเฉินกลับสามารถสลายลงได้ในกระบวนท่าเดียว

นี่คือสิ่งที่ไม่มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง

เด็กหนุ่มใช้กระบวนท่าใดกันแน่?

บนเรือเหาะสีดำ แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนตบมือลงไปบนกราบเรือและร้องคำรามออกมาด้วยความสะใจ

ดวงตาของหลิงฉือเป็นประกายวูบวาบสับสน ก่อนหน้านี้ เขายึดถือซูถิงฟางเป็นศัตรูของตนเอง คิดไม่ถึงเลยว่าในวันนี้ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของจักรวรรดิจี้กวงกลับต้องมาตกตายอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้

มิหนำซ้ำ เมื่อตัวคนตายแล้วยังกลายเป็นรูปปั้นทองคำอีกด้วย

หลินเป่ยเฉินใช้วิชาใดกันแน่?

เขาสามารถเปลี่ยนคนเป็นหุ่นทองคำได้อย่างไร?

หลินเป่ยเฉินเป็นคนที่เห็นแก่เงินทองถึงเพียงนั้น หากเขามีความสามารถเช่นนี้จริง ใยถึงไม่เคยใช้มันหาผลประโยชน์มาก่อน?

เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังออกมาจากกลุ่มแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าแห่งกองทัพเป่ยไห่

ซูถิงฟางตายแล้ว

ความกดดันหนักหน่วงในจิตใจของเหล่าแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าสลายหายวับไปโดยทันที

ในทางกลับกัน บนเรือเหาะสีขาวที่ลอยลำอยู่ห่างออกไป ได้ยินเสียงร่ำไห้แว่วออกมา

นี่คือความสูญเสียอันใหญ่หลวงของจักรวรรดิจี้กวง

เพราะพวกเขาได้สูญเสียยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งประเทศชาติไปแล้ว

และพวกเขายังต้องพ่ายแพ้ให้กับศัตรูคนสำคัญอย่างจักรวรรดิเป่ยไห่

แม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าของจักรวรรดิจี้กวงจำนวนมากรู้สึกหัวใจแตกสลาย พวกเขาได้แต่จ้องมองไปยังรูปปั้นทองคำที่อยู่บนโต๊ะบูชาหน้าหลุมศพของฮันปู้ฟู่และเริ่มต้นร่ำไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

น้ำตาของพวกเขาไหลริน ได้แต่พยายามเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะตวัดสายตาหันไปจ้องมองหลินเป่ยเฉินเพื่อจดจำใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้ให้ขึ้นใจทุกอณูนิ้ว พวกเขาจะใช้ความแค้นครั้งนี้ เป็นแรงผลักดันให้ตนเองกลับมาล้างอายให้แก่จักรวรรดิจี้กวงและยอดวีรบุรุษประจำใจให้ได้ในสักวันหนึ่ง…

องค์ชายอวี่ยืนซวนเซและเกือบจะเป็นลม

ถึงเขาจะเตรียมใจอยู่แล้วว่าซูถิงฟางคงไม่ใช่คู่ต่อกรของหลินเป่ยเฉิน แต่ลึก ๆ ในใจ องค์ชายอวี่ก็ยังหวังให้มีปาฏิหาริย์

น่าเสียดายที่โลกแห่งความจริงโหดร้ายเสมอ

จักรวรรดิจี้กวงพ่ายแพ้แล้ว

หมดยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองของพวกเขาแล้ว

นี่คือจุดเริ่มต้นยุคแห่งความล่มสลาย

บัดนี้ แม้แต่องค์หญิงอวี่เค่อก็ยังอดจับจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึงไม่ได้

เดิมที องค์หญิงอวี่เค่อมีความมั่นใจในความชาญฉลาดของตนเองว่า นางมีกลวิธีมากมายที่จะสามารถเอาชนะเด็กหนุ่มผู้นี้ แต่องค์หญิงคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าผ่านไปเพียงไม่นาน เด็กหนุ่มที่ตนเองพบเจอริมแม่น้ำในเมืองหยุนเมิ่งครั้งนั้น จะกลับกลายเป็นผู้ที่สังหารขุนศึกอันดับหนึ่งของจักรวรรดิจี้กวงได้เช่นนี้

โลกนี้มีคนอย่างเขาอยู่ได้อย่างไร

เขาแข็งแกร่งและน่าหลงใหลมากยิ่งกว่าพี่หญิงหลินเสียอีก

นับจากวันนี้ไป หลินเป่ยเฉินคือศัตรูของจักรวรรดิจี้กวงอย่างเป็นทางการ

แต่ถึงกระนั้น ยามจ้องมองใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับหยกแกะสลักของเด็กหนุ่ม ในหัวใจขององค์หญิงอวี่เค่อกลับไม่ได้เกิดความเกลียดชังแม้แต่น้อย ซ้ำนางยังรู้สึกว่าเขาน่าหลงใหลมากกว่าเดิมอีกด้วย

เขาคู่ควรที่จะตกเป็นของนาง

บนผาดาวตก

หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปทางเรือเหาะสีขาวด้วยแววตาแข็งกระด้าง

“การประลองเดิมพันชีวิตห้ารอบ ยังเหลืออีกหนึ่งรอบ”

เด็กหนุ่มจ้องมองไปที่องค์ชายอวี่ “วันนั้นท่านเป็นคนสั่งให้กองทัพจี้กวงบุกทะลวงหุบเขาดาวตก ในเมื่อนี่เป็นความต้องการของท่านมาตั้งแต่แรก เหตุไฉนองค์ชายจึงไม่เสด็จมายืนบนแท่นประลองแห่งนี้ดูบ้าง? ท่านอยากจะต่อสู้กับกองทัพเป่ยไห่มากนักไม่ใช่หรือ?”

น้ำเสียงของหลินเป่ยเฉินบอกชัดถึงความคุกคามและการเหยียดหยาม

ความเกลียดชังปรากฏขึ้นในแววตาขององค์ชายอวี่

นี่หลินเป่ยเฉินยังต้องการจะฆ่าคนต่อไปอีกหรือ?

องค์ชายอวี่ยกมือปลดสายรัดผ้าคลุมที่ลำคอของตนเอง

ผ้าคลุมสีเลือดหมูพลันปลิวไปตามสายลม

ฝ่ามือขององค์ชายอวี่กดทับอยู่บนลูกธนูปีกค้างคาวที่เหน็บอยู่ข้างเอว จากนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “หัวหน้านักบวชหลิน เจ้าคิดหรือว่าข้าจะกลัวตาย? ชาวจี้กวงไม่เคยกลัวตาย แล้วข้าจะกลัวตายได้อย่างไร? วันนี้แหละ ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าศักดิ์ศรีของชาวจี้กวงนั้นฆ่าได้หยามไม่ได้…”

ระหว่างที่พูด องค์ชายอวี่ก็ก้าวเดินออกมาจากกลุ่มองครักษ์และกำลังจะกระโดดลงไปที่แท่นประลอง

ทันใดนั้น มือที่ขาวดั่งหยกก็คว้าจับแขนเสื้อของเขาเอาไว้

“ไม่นะเพคะ ท่านพ่อ”

องค์หญิงอวี่เค่อได้แต่ส่ายศีรษะอยู่อย่างนั้น

องค์ชายอวี่หันกลับมาจ้องมองบุตรสาว แววตาของเขาอ่อนโยนลงเล็กน้อย แต่แล้วกลับขึ้นเสียงตวาดว่า “ปล่อยมือ”

นี่คือครั้งแรกที่เขากล้าดุบุตรสาวของตนเอง

แต่ดูเหมือนองค์หญิงอวี่เค่อจะล่วงรู้อยู่ก่อนแล้ว

หลังจากปล่อยมือ แทนที่นางจะก้าวถอยกลับไปยืนอยู่ที่เดิม องค์หญิงอวี่เค่อก็ตบเอวของตนเองหนึ่งที ได้ยินเสียงกลไกทำงานดังฟึบฟับ หลังจากนั้น ปีกสีเงินบางใสคู่หนึ่งก็กางออกจากแผ่นหลังของนางไม่ต่างจากปีกจักจั่น มันเป็นวัตถุเล่นแร่แปรธาตุที่ช่วยทำให้เด็กสาวบินออกจากเรือเหาะตรงมายังแท่นประลองของหลินเป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว…

“ไม่นะ…”

องค์ชายอวี่อุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

แต่รู้ตัวอีกที บุตรสาวของเขาก็ไปยืนอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินเรียบร้อยแล้ว

นางกำลังจ้องมองหลินเป่ยเฉิน

เขาก็กำลังจ้องมองนางด้วยสีหน้าถมึงทึง

แต่เด็กสาวกลับไม่ได้สัมผัสถึงจิตสังหารแม้แต่น้อย

องค์หญิงอวี่เค่อเห็นคทาในมือหลินเป่ยเฉินขยับเล็กน้อย

“ข้ารู้ว่าพี่สาวท่านอยู่ที่ใด”

นางรีบพูดออกมาโดยเร็ว

แววตาของหลินเป่ยเฉินยังคงเย็นชา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “เจ้ายังมีพลังไม่ถึงขั้นเซียน เจ้าไม่มีคุณสมบัติมายืนอยู่ตรงนี้ ต่อให้ข้าฆ่าเจ้า ก็ยังไม่นับว่าเป็นการประลองรอบที่ห้าอยู่ดี”

องค์หญิงอวี่เค่อถอนหายใจ

ไม่ได้ผลอย่างนั้น?

ถ้างั้นนางก็ไม่กล้าจะเจรจาต่อรองอีกแล้ว ไวเท่าความคิด เด็กสาวรีบกล่าวประโยคที่สองออกมา…

“ฮันปู้ฟู่อาจจะยังมีชีวิตอยู่”

หลินเป่ยเฉินถึงกับหยุดชะงักไปทันที

เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาขององค์หญิงอวี่เค่อ เมื่อไม่พบเห็นความเปลี่ยนแปลงใด ๆ หลินเป่ยเฉินก็กล่าวว่า “เจ้าอย่ามาโกหกข้าดีกว่า”

องค์หญิงอวี่เค่อเชิดหน้าขึ้นและกล่าวตอบ “การต่อสู้ในวันนั้น ฮันปู้ฟู่นำกองทัพของเขาสกัดกั้นเส้นทางของกองทัพจี้กวงได้เป็นเวลาถึงสองชั่วยาม นายทหารของพวกเรานับถือในความแข็งแกร่งของเขามาก กองทัพจี้กวงไล่ต้อนฮันปู้ฟู่และพรรคพวกขึ้นมาจนถึงบนนี้ เราพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขายอมแพ้ แต่ฮันปู้ฟู่กลับปฏิเสธ การต่อสู้จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ผู้นำกองทัพจี้กวงในวันนั้นต้องการจะหาศพของฮันปู้ฟู่ให้เจอ เพื่อนำมากลบฝังเป็นการให้เกียรติ แต่ไม่มีผู้ใดพบเจอศพของฮันปู้ฟู่ทั้งสิ้น…”

หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ เขาพูดอะไรไม่ออก

องค์หญิงอวี่เค่อกล่าวต่อไป “ในวันนั้นมีเจ็ดศพได้หายไป นอกจากศพของฮันปู้ฟู่แล้ว อีกหกศพที่เหลือล้วนแต่เป็นผู้ติดตามคนสนิทของเขาทั้งสิ้น บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่ตาย หรืออย่างน้อยก็ยังไม่มีใครพบศพพวกเขา ข้าขอรับประกันกับท่านพี่เป่ยเฉินเลยว่า ข้อมูลเหล่านี้ล้วนปรากฏอยู่ในบันทึกทางการทหารของกองทัพจี้กวง เพราะฉะนั้น นี่จึงไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอน!”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด