เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 1040 หมาป่าชรากับพยัคฆ์เฒ่า

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 1040 หมาป่าชรากับพยัคฆ์เฒ่า อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 1,040 หมาป่าชรากับพยัคฆ์เฒ่า

ในเรื่องของการทหาร หลินเป่ยเฉินนับได้ว่าเป็นพวกที่ไม่เอาไหนที่สุด

ถึงเขาจะรู้จัก 36 กลยุทธ์หลักและเคยอ่านตำราพิชัยสงครามซุนวู แต่มันก็ยังช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี

ยิ่งไปกว่านั้น หลินเป่ยเฉินเป็นเพียงบุคคลเสเพล

เขาเคยคิดที่จะซื้อตำราพิชัยสงครามซุนวูจากแอป Taobao มาอ่านเล่น ๆ อีกรอบ อย่างน้อยก็พอให้ได้รู้จักกลยุทธ์เอาไว้พูดแสดงความฉลาดยามประชุมแม่ทัพ แต่เมื่อเห็นราคาของตำราเล่มนี้ เด็กหนุ่มก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจไปทันทีเพราะมันแพงมากเกินไป

แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนสั่งตั้งฐานทัพกลางเมืองอันชิง จากนั้นก็เปิดฉากสงครามอย่างเต็มรูปแบบ ไล่ยึดครองเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง รวมไปถึงเส้นทางขนส่งที่อยู่รอบข้าง ด้วยเหตุนี้ สำหรับผู้คนที่อยากรอดตาย ก็มีแต่ต้องยกธงขาวขอยอมแพ้ต่อกองทัพเป่ยไห่เท่านั้น

แต่ถึงกองทัพเป่ยไห่จะได้รับชัยชนะอย่างปราศจากปัญหา ทว่าแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนผู้มากประสบการณ์ในสมรภูมิรบก็ยังไม่เคยคิดประมาทแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่สั่งกองทัพโจมตี ชายชราจะมาพร้อมกับแผนการที่รอบคอบรัดกุมมากที่สุดเสมอ

หลินเป่ยเฉินเองก็ไม่ได้ลงมือแล้วเช่นกัน

แม้ว่าเขาอยากจะไปที่หุบเขาดาวตก เพื่อไปเคารพสถานที่เสียชีวิตของฮันปู้ฟู่ใจจะขาด แต่ในเมื่อบัดนี้ตนเองอยู่ในกองทัพ หลินเป่ยเฉินก็ต้องทำตามคำสั่งของกองทัพ ไม่สามารถรีบร้อนด้วยเหตุผลส่วนตัวได้อีก

อีกหลายวันให้หลัง กองทัพเป่ยไห่และกองทัพจี้กวงยังคงต่อสู้กันด้วยความดุเดือด สมรภูมิรบกินรัศมียาวไกลหลายพันลี้ นายทหารผู้กล้าต้องเสียชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน…

กองทัพเป่ยไห่เป็นฝ่ายที่สามารถคว้าชัยชนะได้มากกว่า

เพราะว่าในกองทัพของพวกเขา นอกจากมีนายทหารยอดฝีมืออยู่ด้วยแล้ว ก็ยังมีสุดยอดกุนซือที่ชำนาญการวางกลยุทธ์ซ่อนตัวอยู่อีกด้วย เมื่อพวกเขาเห็นรูปแบบการเคลื่อนทัพของจักรวรรดิจี้กวง ทุกคนก็รู้แล้วว่ากองทัพเป่ยไห่สมควรตั้งรับและรอจังหวะโต้กลับอย่างไรบ้าง!

หลินเป่ยเฉินยังไม่มีโอกาสได้ออกไปแสดงฝีมืออีก

เพราะมีข่าวลือว่าซูถิงฟางผู้มีพลังขั้นเซียนอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิจี้กวง ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้านักบวชประจำมหาวิหารเทพเจ้าแห่งธนู พร้อมด้วยเหล่านักบวชผู้ติดตามและผู้มีพลังขั้นเซียนคนอื่น ๆ ต่างก็ถูกส่งตัวลงสู่สนามรบแล้วเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่าจักรวรรดิจี้กวงรับทราบดีถึงความน่ากลัวของหลินเป่ยเฉิน พวกเขาจึงไม่กล้าประมาทเด็กหนุ่มผู้นี้อีก และถึงกับต้องส่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิลงสู่สนามรบเลยทีเดียว

เนื่องจากทั้งสองฝ่ายรู้ดีว่าสงครามครั้งนี้คือสิ่งที่จะกำหนดความรุ่งเรืองและความล่มสลายของตนเอง

แต่หากเหตุการณ์ยังไม่ตกอยู่ในสภาวะคับขันจริง ๆ ยอดฝีมือขั้นเซียนของทั้งสองฝ่ายก็จะยังไม่ปรากฏตัว

กาลเวลาเคลื่อนผ่านไป

ล่วงเลยอีกครึ่งเดือน ในที่สุด กองทัพเป่ยไห่ก็สามารถยึดครองมณฑลเฟิงหมิงกลับคืนมาได้สำเร็จ

และบัดนี้ กองทัพของทั้งสองฝ่ายก็กำลังเผชิญหน้ากัน ณ เขตชายแดนระหว่างมณฑลเฟิงหมิงกับมณฑลหยางฉ่วน

ยามบ่าย

สายลมฤดูใบไม้ผลิโชยพัดแผ่วเบา

คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมืองทิศใต้ของมณฑลหยางฉ่วน ดวงตาของพวกเขาจ้องมองไปยังสถานที่ไกลตาด้วยความโกรธแค้นและเกลียดชัง

“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่านายทหารชราของเป่ยไห่ กลับยังสามารถบัญชาการรบได้อย่างยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้” มือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าจ้องมองไปยังค่ายที่พักของกองทัพเป่ยไห่ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เส้นขอบฟ้า สีหน้าและน้ำเสียงของเขาอดบ่งบอกถึงความชื่นชมมิได้

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน กองทัพจี้กวงก็ต้องพ่ายแพ้กองทัพเป่ยไห่จนสูญเสียมณฑลเฟิงหมิง แม้ว่าสถานการณ์ทั้งหมดนี้จะเป็นแผนการของพวกเขามาตั้งแต่แรก แต่ถึงกระนั้น ความร้ายกาจของกองทัพเป่ยไห่ก็ยังทำให้มือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าและนายทหารแทบทุกคนรู้สึกกดดันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“หึหึ นายทหารชราผู้นั้นคงคิดว่าตนเองรอบคอบสุขุมไร้จุดอ่อน… แต่มนุษย์เราจะไม่มีจุดอ่อนได้อย่างไร ฮ่า ๆๆ”

อวี่หรงรั่วซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพแดนใต้ยิ้มออกมาเล็กน้อย

ในฐานะองค์ชายลำดับที่หกแห่งจักรวรรดิจี้กวง อวี่หรงรั่วถือเป็นผู้นำทางทหารที่น่าจับตามอง บัดนี้ เขามีอายุเพียง 30 ปีเศษ แต่กลับมีภาพลักษณ์สูงส่งจนได้รับความเคารพไปทั่วแว่นแคว้น

“กองทัพเป่ยไห่ระมัดระวังตัวก็จริง แต่ในช่วงเวลาสำคัญ ด้วยความที่แม่ทัพใหญ่แก่ชรามากเกินไป เขาก็จะต้องตัดสินใจผิดพลาดอย่างแน่นอน ฮ่า ๆๆ บัดนี้ ได้หมดยุคสมัยของแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนไปเรียบร้อยแล้ว การที่เป่ยไห่ต้องไปลากตัวชายชรากลับมาประจำตำแหน่ง ย่อมแสดงให้เห็นว่าจักรวรรดิของพวกเขาสูญสิ้นถึงอัจฉริยะรุ่นใหม่แล้ว”

“พิจารณาจากข้อมูลที่พวกเราได้มา เมื่อผ่านพ้นเดือนนี้ไป กองทัพเป่ยไห่ก็จะหลงระเริงจนเกิดความประมาท ฮ่า ๆๆ”

“และความประมาทจะนำมาสู่ความพ่ายแพ้”

“รับรองได้ว่าอีกเพียงไม่นาน แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนก็จะไม่สามารถควบคุมนายทหารของตนเองได้อีก ชัยชนะที่ได้มาอย่างง่ายดายมากเกินไปนั้น มักจะส่งผลร้ายในภายหลังเสมอ”

“เจ้าตัวโง่งมพวกนั้นไม่รู้เลยว่า พวกเราล้วนตั้งใจวางแผนสละมณฑลเฟิงหมิงกลับไปให้พวกมันอยู่แล้ว ฮ่า ๆๆ”

แม่ทัพใหญ่ขุนพลผู้กล้าของกองทัพจี้กวงจ้องมองออกไปนอกกำแพงเมืองด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

องค์ชายอวี่ผู้ถูกรายล้อมด้วยนายทหารเหล่านี้ยังคงมีสีหน้าเย็นชา แต่หัวคิ้วของเขากลับขมวดมุ่น เช่นเดียวกับหัวใจที่รู้สึกสังหรณ์ได้ถึงลางร้ายบางอย่าง

องค์ชายอวี่มีลางสังหรณ์ว่าบางทีสถานการณ์อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเขาเข้าใจ

ไม่รู้เพราะเหตุใด แม้ความเปลี่ยนแปลงในสนามรบจะเป็นไปตามที่ตนเองคาดการณ์ แต่ลึก ๆ ในใจแล้ว องค์ชายอวี่กลับมีความวิตกกังวลบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้

มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่าตนเองมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป

แต่มันคืออะไรล่ะ?

นิ้วมือเรียวยาวขององค์ชายเคาะลงไปบนกำแพงเมืองแผ่วเบา สัมผัสที่เย็นชาและแข็งกระด้างจากปลายนิ้วนั้นยิ่งทำให้องค์ชายอวี่รู้สึกไม่สบายใจมากกว่าเดิม

“ท่านพ่อ…”

ใครบางคนกำลังดึงแขนเสื้อของเขาเบา ๆ

เมื่อองค์ชายอวี่หันมองกลับไปก็ได้พบกับองค์หญิงอวี่เค่อ บุตรสาวสุดที่รัก นางกำลังส่งยิ้มหวานมาให้เขาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

ความกังวลใจขององค์ชายสลายหายไปทันที

บุตรสาวคือผู้ที่คอยปลอบโยนจิตใจขององค์ชายอวี่ได้เสมอ

เขาลูบศีรษะเด็กสาวเล็กน้อย ก่อนถามยิ้ม ๆ ว่า “เจ้าออกมาที่นี่ทำไม กำแพงเมืองหนาวจะตาย ระวังจะเป็นหวัดเอาได้”

การที่องค์หญิงอวี่เค่อเข้าร่วมกองทัพในครั้งนี้ ย่อมถือเป็นประโยชน์ส่วนรวมของจักรวรรดิจี้กวง

องค์หญิงน้อยผู้ได้รับการโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิเป็นอย่างมาก สามารถสร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจักรวรรดิจี้กวงมานานมากแล้ว ต่อให้เป็นแม่ทัพใหญ่หรือแม้แต่อวี่หรัวรั่ว ก็ยังอดนึกอิจฉาในพรสวรรค์และความฉลาดเฉลียวของเด็กสาวผู้นี้ไม่ได้

“ท่านพ่อ กอดข้าหน่อย”

องค์หญิงอวี่เค่อกางแขนออกกว้างราวกับเป็นเด็กน้อย

องค์ชายอวี่สวมกอดบุตรสาวของตนเอง ก่อนจะชี้มือไปยังจุดที่ตั้งของค่ายทหารเป่ยไห่และกล่าวว่า “เจ้าดูนั่นสิ นั่นคือศัตรูของเรา อีกเพียงไม่นานหรอกหนา บิดารับปากว่าจะต้องกวาดล้างพวกเขาให้ได้…”

องค์ชายอวี่กล่าวต่อบุตรสาวของตนเองด้วยความกระตือรือร้น

องค์หญิงอวี่เค่อหันหน้าไปกางแขนออกกว้างรับสายลมที่โชยพัดมาบนกำแพงเมือง แล้วจึงพูดเสียงดังว่า “ท่านพ่อของข้าเก่งที่สุดในโลกอยู่แล้ว ตราบใดที่ท่านสามารถเอาชนะหลิงไท่ซวีได้ แผ่นดินตงเต้าก็จะต้องกลายเป็นของพวกเราอย่างแน่นอน”

“ฮ่า ๆๆ…”

ผู้เป็นบิดากำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็หยุดชะงัก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ? หลิงไท่ซวีอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้วเพคะ”

องค์หญิงอวี่เค่อส่งยิ้มหวาน “นี่บิดากำลังทดสอบลูกอยู่ใช่หรือไม่ อิอิ ดูจากการจัดค่ายกลที่พักของกองทัพเป่ยไห่ในขณะนี้ ฉากหน้าแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนอาจเป็นผู้ควบคุมก็จริง แต่เบื้องหลังนั้น กลยุทธ์ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของหลิงไท่ซวีทั้งสิ้นเจ้าค่ะ…”

เปรี้ยง!

ได้ยินเหมือนเสียงสายฟ้าฟาดลงกลางใจองค์ชายอวี่

อยู่ดี ๆ เขาก็มีเหงื่อออกเต็มใบหน้า

หลิงไท่ซวี!!

องค์ชายอวี่รู้แล้วว่าตนเองมองข้ามอะไรไป

เขามัวแต่มั่นใจว่าศัตรูที่ตนเองจะต้องเผชิญหน้าในครั้งนี้ คือแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนผู้เปรียบเสมือนหมาป่าชรา

แต่หากผู้นำทัพของฝ่ายตรงข้ามเป็นบุคคลอื่น อะไรจะเกิดขึ้น?

หากแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนเปรียบเสมือนหมาป่าชรา หลิงไท่ซวีก็สมควรถูกเปรียบเทียบให้เป็นพยัคฆ์เฒ่าจึงเหมาะสม

หมาป่าชรากับพยัคฆ์เฒ่า ต่อให้แก่ชราด้วยกันทั้งคู่ แต่ความน่ากลัวนั้นยังต่างกันมากนัก

หากกองทัพเป่ยไห่มีผู้บัญชาการที่แท้จริงเป็นหลิงไท่ซวีมาตั้งแต่แรก นั่นก็หมายความว่าชายชราคงอ่านแผนการขององค์ชายอวี่ได้ทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว

หากกองทัพจี้กวงยังดำเนินการตามแผนเดิมต่อไป สุดท้าย กองทัพแดนใต้แห่งจักรวรรดิจี้กวงก็คงจะต้องทอดร่างกลายเป็นซากศพที่ไร้แผ่นดินกลบฝัง

เม็ดเหงื่อผุดพราวขึ้นมาบนหน้าผากขององค์ชายอวี่

“เร็วเข้า รีบย่ำกลองส่งสัญญาณให้พวกเราถอนทัพกลับมา”

เขาโอบกอดบุตรสาวและรีบก้าวลงจากกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด