เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 943 ความเคลื่อนไหวทั่วนครหลวง

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 943 ความเคลื่อนไหวทั่วนครหลวง อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 943 ความเคลื่อนไหวทั่วนครหลวง

สมรภูมิรบชายแดนเหนือ

ฤดูหนาวทำให้มีหิมะปกคลุมยาวไกลหลายพันลี้ อากาศหนาวเหน็บ แม้แต่ลมหายใจที่ออกจากจมูกก็ยังกลายเป็นหมอกขาว พื้นที่ป่าชายแดนเหนือของจักรวรรดิเป่ยไห่คือสถานที่ที่เหน็บหนาวที่สุด แม้แต่น้ำเดือดที่ถูกสาดลงบนพื้นดิน ก็ยังจับตัวกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งไปทันที

เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ไม่ทราบเลยว่าสถานที่แห่งนี้คร่าชีวิตนายทหารไปมากมายเพียงใด

แต่ทุก ๆ ตำนานย่อมมีเรื่องราวการสู้รบระหว่างสองจักรวรรดิ ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าสงครามเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด เพราะมันไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกแล้ว

สิ่งสำคัญคือสงครามไม่เคยยุติ

ยกเว้นวันนี้

เนื่องจากมี ‘การประลองเดิมพันชีวิต’ ทหารทั้งสองจักรวรรดิจึงตัดสินใจพักรบชั่วคราว

แต่อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองที่ออกมา กลับทำให้นายทหารของทั้งสองจักรวรรดิสับสนทำสิ่งใดไม่ถูก

แม้ว่าฝั่งจักรวรรดิจี้กวงจะโศกเศร้าอาดูรไปกับความตายของอวี้ซือไป๋ ขวัญกำลังใจของพวกเขาลดลง แต่ทางด้านนายทหารของจักรวรรดิเป่ยไห่ก็กำลังกังวลใจเกี่ยวกับความเป็นความตายของเด็กหนุ่มในชุดขาวผู้สร้างปาฏิหาริย์เช่นกัน

ณ ค่ายทหารจุดที่ 76

นี่คือค่ายทหารที่อยู่ใกล้สมรภูมิรบระหว่างทั้งสองจักรวรรดิมากที่สุด

ฮันปู้ฟู่ยืนอยู่ข้างประตูค่าย ดวงตาจ้องมองไปตามรอยแตกแยกของช่องเขาลึกจรดหน้าประตูค่ายทหารของจักรวรรดิจี้กวง หากอากาศดีมากกว่านี้ เขาก็จะสามารถมองเห็นว่านายทหารของอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาเช่นกัน

องครักษ์ส่วนตัวยืนอยู่ด้านหลังฮันปู้ฟู่สองคน พวกเขาต่างจ้องมองแผ่นหลังของผู้บังคับบัญชาตนเองด้วยแววตาวิตกกังวล

เนื่องเพราะทุกครั้งที่เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายาว่า ‘โล่เหล็กแห่งเป่ยไห่’ นามกระเดื่องแห่งสมรภูมิแดนเหนือมายืนอยู่หน้าประตูค่ายทหาร และทอดสายตาเหม่อลอยไปยังสมรภูมิรบเบื้องหน้าเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าจิตใจของฮันปู้ฟู่กำลังสับสนและพบกับความยากลำบากบางประการ

บัดนี้ ฮันปู้ฟู่ยืนอยู่ตรงนี้มาสองชั่วยามแล้ว

มีสิ่งใดที่เขาแก้ไขไม่ได้อย่างนั้นหรือ?

องครักษ์ทั้งสองไม่เคยเห็นผู้บังคับบัญชาของตนเองมีสีหน้าลำบากใจเช่นนี้มาก่อน

“เจ้าตัดสินใจได้แล้วหรือยัง?”

เสียงหนึ่งดังขึ้น

ฮันปู้ฟู่และผู้ติดตามทั้งสองเหลียวหน้ามองกลับมาพร้อมกัน

“ท่านแม่ทัพ”

เด็กหนุ่มทั้งสามรีบก้มหัวคำนับ

โดยเฉพาะองครักษ์ทั้งสองของฮันปู้ฟู่ เมื่อพวกเขาพบเห็นชายหนุ่มที่เดินเข้ามา ดวงตาก็เป็นประกายแวววาวด้วยความเคารพเลื่อมใส

เพราะว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหลิงฉือ

หนึ่งในห้าแม่ทัพใหญ่ของสมรภูมิชายแดนเหนือ

นับตั้งแต่เข้าร่วมสมรภูมิรบเมื่อห้าปีก่อนจวบจนถึงวันนี้ ไม่มีใครทราบเลยว่าหลิงฉือสามารถเอาชนะศัตรูได้กี่ครั้ง มีศัตรูจำนวนกี่คนต้องตายด้วยน้ำมือของเขา และอีกกี่ครั้งที่เขาช่วยกอบกู้วิกฤตการณ์ของกองทัพได้สำเร็จ ชายหนุ่มเปรียบเสมือนเทพสงครามประจำใจของบรรดาทหารกล้าที่ประจำการอยู่ในเขตชายแดนเหนือ

“หากเจ้าเปลี่ยนใจตอนนี้ มันก็ยังไม่สายเกินไป”

หลิงฉือมองหน้าฮันปู้ฟู่และกล่าวต่อ “ข้าจะสั่งให้คนนำเรือเหาะกลับมา”

เรือเหาะคือยานพาหนะที่มีความรวดเร็วมากที่สุดในกองทัพทางตอนเหนือของจักรวรรดิ

ฮันปู้ฟู่ส่ายหน้าเล็กน้อย

“ข้าน้อยเชื่อมั่นในตัวเขาขอรับ”

ถึงแม้นายทหารดาวเด่นแห่งกองทัพชายแดนเหนือ ผู้ที่เป็นที่รู้จักกันดีในด้านของความสงบนิ่งและเยือกเย็นจะยังคงมีสีหน้าวิตกกังวลอยู่บ้าง แต่ในดวงตาของฮันปู้ฟู่ก็ยังปรากฏความมั่นใจอยู่หลายส่วน

“ข้าน้อยเป็นทหาร ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ก็ไม่อาจละทิ้งหน้าที่ได้ตามใจชอบ” ฮันปู้ฟู่ถูฝ่ามือของตนเองลงไปบนรอยแตกร้าวบนกำแพงเมืองที่ปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งและหิมะอย่างแผ่วเบา “ข้าน้อยเชื่อว่าเขาต้องไม่เป็นอะไร ไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าเขาได้ ข้าน้อยรู้จักเขาดี เขาสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้เสมอ เขาคือผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ และองค์เทพีของข้าน้อยก็จะต้องช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน”

“แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ…”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฮันปู้ฟู่ก็สบตามองหน้าหลิงฉือ “ถึงข้าน้อยกลับไป ข้าน้อยก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่อยู่ที่นี่เท่านั้น ข้าน้อยถึงจะทำประโยชน์ได้สูงสุด ข้าน้อยจะช่วยรักษาแผ่นดินของเราเอาไว้จนกว่าเขาจะตื่นขึ้นมา”

หลิงฉือตบไหล่ฮันปู้ฟู่เบา ๆ

เด็กหนุ่มผู้นี้… ไม่ใช่สิ เขาควรเรียกฮันปู้ฟู่ว่าเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งมากกว่า เนื่องจากฮันปู้ฟู่มีความเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าที่หลิงฉือคิดเอาไว้หลายเท่า

เมล็ดพันธุ์ที่เขานำมาจากเมืองหยุนเมิ่งเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ฮันปู้ฟู่มีความทรหดในการต่อสู้ ไม่ต่างจากโล่เหล็กที่ไม่มีวันแตกสลาย ฮันปู้ฟู่มักจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายมากที่สุดของสมรภูมิชายแดนเหนือ และเขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้เลยสักครั้ง

ฉายานามโล่เหล็กแห่งเป่ยไห่ บัดนี้ มีอิทธิพลในชายแดนเหนืออยู่ไม่น้อย

จุดจบของการประลองที่เกิดขึ้นในนครหลวงวันนี้ ทำให้หลายคนสะเทือนใจ

หลิงฉือย่อมรู้ดีว่าฮันปู้ฟู่กำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของหลินเป่ยเฉิน

เขาเองก็รู้เรื่องราวความหลังระหว่างหลินเป่ยเฉินกับฮันปู้ฟู่อยู่พอสมควร

มิตรภาพระหว่างเด็กหนุ่มคือสิ่งที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าธารน้ำใสในภูเขายามฤดูใบไม้ผลิ

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลิงฉือยอมอนุญาตให้ฮันปู้ฟู่เดินทางกลับนครหลวงได้เป็นกรณีพิเศษ

แต่ฮันปู้ฟู่กลับปฏิเสธ

เวลาผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ได้เติบใหญ่กลายเป็นนายทหารเต็มตัว และสมควรแล้วที่เขาจะเป็นนายทหารต้นแบบให้แก่เหล่าผู้ติดตามคนอื่น ๆ

หลิงฉือไม่พูดอะไรอีก

เขาเพียงตบไหล่ฮันปู้ฟู่เบา ๆ อีกครั้งและหมุนตัวเดินจากไป

หลิงฉือรู้ดีว่าไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง หรือตัวของฮันปู้ฟู่เท่านั้นที่เป็นห่วงความปลอดภัยของหลินเป่ยเฉิน แต่นายทหารทุกคนในสมรภูมิชายแดนเหนือก็ล้วนห่วงใยเด็กหนุ่มเช่นกัน

องครักษ์สองนายจ้องมองหลิงฉือเดินจากไปด้วยความสงสัย หลังจากนั้น พวกเขาก็หันมามองที่ผู้บังคับบัญชาของตนเอง

ทั้งสองคนไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าหนึ่งในห้าแม่ทัพใหญ่อย่างแม่ทัพหลิงฉือผู้เย็นชายิ่งกว่าหิมะน้ำแข็ง กลับมีความสนิทสนมต่อผู้บังคับบัญชาของพวกเขาถึงเพียงนี้

น้ำเสียงระหว่างการสนทนานั้น…

ไม่ต่างจากเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาอย่างยาวนาน!

จวนซางจั้วหยวน

หมอยาทั่วนครหลวงถูกตามตัวมาที่นี่จำนวนมาก

แต่การวินิจฉัยและผลการรักษาไม่เป็นที่น่าพอใจ

หมอยาชื่อดังหลายท่านลงความเห็นตรงกันว่าอาการบาดเจ็บของหลินเป่ยเฉินคงมีผลสรุปไม่ต่างไปจากเกาเฉิงฮั่นหรือบางทีอาการของเขาอาจจะหนักกว่าเกาเฉิงฮั่นด้วยซ้ำ

เนื่องจากลูกศรน้ำแข็งยังคงปักติดอยู่กับร่างกายไม่สามารถดึงออกมาได้

ผลสรุปจากหมอยาเหล่านั้นก็คือ ต่อให้ใช้โอสถที่ดีที่สุด ต่อให้ใช้ศิลาบูชาคุณภาพดีที่สุด ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นมา

หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ

ปราศจากหนทางรักษา

หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ สุด ๆ อีกทีก็คือ

จงเตรียมงานศพเสียเถิด

ทั้งราชสำนักและคณะขุนนางพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปิดข่าวนี้

แต่ไม่ทราบเลยว่าเพราะเหตุใด ทุกคนทั่วนครหลวงกลับรู้เรื่องนี้ในไม่ช้า

นครหลวงจึงปกคลุมด้วยบรรยากาศเศร้าโศก

และ ณ ขณะนี้ ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเลยว่าบนยอดเขาอันเป็นตำแหน่งที่ตั้งของวิหารประจำเมือง เด็กสาวผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งนักพรตเทวะคนต่อไปได้แอบลักลอบลงมาจากภูเขาเพียงลำพัง

กลางดึก

ในห้องนอนตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมฟุ้ง

ทุกคนที่อยู่นอกห้องต่างก็รอคอยด้วยความกระวนกระวายใจ

ภายในห้องนอน เยว่เว่ยหยางผู้สวยงามผุดผ่องมีใบหน้าที่ขาวซีดเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นขนคิ้ว ขนตาหรือเส้นผมที่ตกลงปรกหน้า ต่างก็ปกคลุมด้วยชั้นของผลึกน้ำแข็งบาง ๆ

เรือนร่างขาวผ่องของนางทาบนาบแนบชิดคร่อมติดหลินเป่ยเฉินแนบแน่น

พลังศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียน

มวลพลังงานที่แปลกประหลาดถ่ายเทจากร่างกายของคนทั้งสอง

แล้วลูกศรน้ำแข็งที่ปักติดอยู่บนหน้าอกฝั่งขวาของหลินเป่ยเฉินก็ละลายหายไปในพริบตา

และในเวลาเดียวกันนี้ ผิวหนังของเยว่เว่ยหยางก็มีชั้นของเกล็ดน้ำแข็งครอบคลุมบาง ๆ ยิ่งทำให้นางมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น

เยว่เว่ยหยางหอบหายใจช้า ๆ

นางทำการถ่ายเทพลังต่อไปเงียบ ๆ

หนึ่งชั่วยามให้หลัง

ในที่สุด ‘เยว่เว่ยหยาง’ ก็ดูดซับพลังความเย็นที่ตกค้างอยู่ในตัวของหลินเป่ยเฉินออกมาหมดสิ้น และนางก็ได้ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองให้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเด็กหนุ่มต่อไปจำนวนหนึ่ง

เมื่อจัดการเรียบร้อยดีแล้ว นางก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น และก้าวลงมาจากเตียง

ร่างบางซวนเซเล็กน้อย

“เจ้าเด็กโง่ ชอบทำให้ตัวเองอยู่ในอันตรายอยู่เรื่อย”

“ข้าอุตส่าห์วางแผนมาตั้งนานในการขึ้นครองอำนาจวิหารแห่งนครหลวง แต่เพราะเจ้าคนเดียว แผนการทุกอย่างของข้าจึงพังทลายลงไปกับตา ข้าไม่สามารถซ่อนตัวได้อีกต่อไป… เจ้าทำให้ข้าแทบบ้าตายแล้ว…”

เยว่เว่ยหยางมองหน้าหลินเป่ยเฉินที่ยังคงนอนแน่นิ่งไม่ได้สติ

เด็กหนุ่มยังคงมีใบหน้าที่หล่อเหลาเช่นเคย ความหล่อเหลาของเขาทำให้ผู้คนเสพติด และจากมุมมองของนาง แม้แต่เทพเจ้าชื่อดังบนดินแดนทวยเทพ ก็ยังมีช่องว่างอีกมากมายนัก หากจะนำความหล่อเหลามาเทียบเคียงกับหลินเป่ยเฉิน

เสียแต่ว่าเจ้าเด็กนี่ชอบทำเรื่องบ้าบิ่นเท่านั้น

‘เยว่เว่ยหยาง’ ไม่เข้าใจเลยว่าตนเองจะช่วยเหลือเขาไปเพื่ออะไร

บางทีอาจเป็นเพราะนางหวังใช้เขา ‘เพิ่มพลัง’ ให้แก่ตนเองในอนาคตก็เป็นได้

ต้องไม่ลืมว่าเบ้าหลอมพลังชั้นดีเช่นนี้ หาได้ไม่ง่ายนัก

“การฟื้นตัวหลังจากนี้ อยู่ที่โชคชะตาของเจ้าแล้ว”

‘เยว่เว่ยหยาง’ มองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความสับสน แต่สุดท้ายก็สวมใส่เสื้อคลุม สังเกตอาการของเขาอีกเล็กน้อย ก็หมุนกายจากไป

หลังจากนั้นไม่นาน

หลินเป่ยเฉินที่นอนหมดสติมาหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว

ทันใดนั้น ข้อมูลจำนวนมากไหลรินเข้าสู่สมอง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเขาหมดสติฉายภาพซ้ำอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นนั่งโดยไม่รู้ตัว

แต่ความเหนื่อยล้าของร่างกายทำให้เขายังแทบกระดิกนิ้วไม่ไหว

อ่อนแอเหลือเกิน

ในทางกลับกัน ลูกศรน้ำแข็งที่ปักอยู่บนหน้าอกก็หายไปแล้ว

ใครดึงออกไป?

เขากำลังจะถามออกมาเสียงดัง แต่ทันใดนั้น ในหัวก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน

“ติ๊ง”

‘ตรวจพบการอัพเดทแพตช์ใหม่สำหรับแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ ต้องการดาวน์โหลดเลยหรือไม่?’

‘แพตช์ใหม่มีอัตราในการโอนถ่ายข้อมูล 10 GB’

‘โปรดตรวจสอบพลังงานแบตเตอรี่และสัญญาณอินเทอร์เน็ตของท่านให้พร้อม’

เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือของยมทูตดังขึ้นในหัวหลินเป่ยเฉิน…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด