เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 1037 ท่านเห็นด้วยหรือไม่

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 1037 ท่านเห็นด้วยหรือไม่ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 1,037 ท่านเห็นด้วยหรือไม่

หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่าหลินเจิ้งสือผู้นี้มีปัญหา

เพียงนางกล่าววาจาไม่กี่คำ ก็ทำให้สถานการณ์ทั้งหมดพลิกกลับตาลปัตร

สตรีเจ้าเล่ห์เช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ต้องนำหน้ากากมาปิดบังโฉมหน้าเอาไว้

เขาเคยพบเห็นสตรีเช่นนี้มามาก

หลินเป่ยเฉินจึงตัดสินใจจะพูดจาให้น้อยลง

“จัดการได้”

หลินเป่ยเฉินโบกสะบัดมือเพื่อส่งสัญญาณ

ลำแสงสีเงินเป็นประกายระยิบระยับในอากาศ

ชาซานถงยังไม่ทันได้มีเวลาตั้งตัว ที่หัวเข่าก็รู้สึกเจ็บปวดแปลบปลาบ ก่อนที่ขาตั้งแต่ใต้หัวเข่าลงไปจะอันตรธานหายลับในอากาศไปทั้งสองข้าง

หนูยักษ์ขนเงินตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้นข้างขาของชาซานถงผู้ที่กำลังจ้องมองกรงเล็บของมันด้วยความตกตะลึง

นี่เขาทำผิดอะไร?

ชาซานถงกำลังจะคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากหลินเป่ยเฉิน แต่เจ้าหนูตัวนี้ก็กลับปรากฏกายออกมาเสียแล้ว

ว่าแต่ขาของเขาหายไปได้อย่างไร?

นั่นสินะ?

เหตุไฉนผู้มีพลังขั้นเซียนของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางจึงอ่อนแอถึงเพียงนี้?

“จี๊ด?”

อากวงหันกลับไปมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความเคร่งเครียด

หลังจากนั้น…

“อ๊ากกก…”

ชาซานถงเพิ่งจะรับรู้ความรู้สึกของการถูกตัดขา เขาล้มลงดิ้นทุรนทุราย ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน

“น่ารำคาญเสียจริง”

หลินเป่ยเฉินไม่มีความเมตตาในแววตาสักนิด “ฆ่ามันซะ”

อากวงได้ยินดังนั้นก็ตะปบกรงเล็บลงไปโดยไม่ลังเล

โผละ!

ศีรษะของชาซานถงระเบิดกระจาย

ผลัก! ผลัก! ผลัก!

อากวงรัวหมัดใส่ซากศพอย่างต่อเนื่อง

บัดนี้ ร่างกายท่อนบนของชาซานถงผู้มีพลังระดับเซียนจากจักรวรรดิหลิวชา ได้แหลกสลายกลายเป็นเพียงกองเนื้อกองหนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว

นับว่าเจ้าหนูตัวอ้วนพีตัวนี้มีกรงเล็บที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ชาซานถงมีระดับพลังสูงส่ง แต่ถึงกระนั้น ร่างกายของเขากลับแตกสลายอย่างง่ายดาย ไม่ต่างไปจากรูปปั้นทรายริมชายหาดตัวหนึ่ง!

“ผลัก!”

การโจมตีกระบวนท่าสุดท้ายของอากวงคือการรวบกรงเล็บเป็นกำปั้นและทุบเข้าใส่หว่างขาของชาซานถงอย่างแรง

โผละ!

ได้ยินเสียงเหมือนเปลือกไข่แตก

“โอ้โห หนักหน่วงใช้ได้”

หลินเป่ยเฉินปรบมือด้วยความพอใจ

ชาซานถงมีสถานะเป็นรองหัวหน้าคณะทูต ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นอกจากจะคอยก่อสร้างความวุ่นวายในนครหลวงแล้ว ชาซานถงยังถือเป็นบุคคลที่มากด้วยราคะ และมีหญิงสาวจำนวนมากต้องถูกทำลายชีวิตไปตลอดกาลด้วยน้ำมือของเซียนทะเลทรายผู้นี้

นับว่าอากวงทำได้ดีมาก

“เอาละ เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว”

หลินเป่ยเฉินยกมือส่งสัญญาณพร้อมกับกล่าวว่า “นำศพของชาซานถงกลับไปยืนยันให้เหยื่อของเขาได้แน่ใจว่าชาซานถงตายแล้วจริง ๆ”

“จี๊ด!”

อากวงส่งเสียงร้องออกมาอย่างมีความสุข

นายท่านของมันคือผู้พิทักษ์ความยุติธรรมจริง ๆ

หลังจากนั้น องครักษ์จากวังหลวงก็เดินเข้ามานำซากศพที่เหลืออยู่ของชาซานถงบรรจุลงไปในหีบใบหนึ่ง เรียบร้อยดีแล้วก็เคลื่อนย้ายหีบใบนั้นจากไป

“บัดนี้ คุณชายหลินคงอารมณ์ดีขึ้นแล้วกระมัง”

หลินเจิ้งสือเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

หลินเป่ยเฉินยกมือเสยผม ยิ้มมุมปากตอบกลับไปว่า “เรานี่มันหล่อจริง ๆ …อ้อ ใช่แล้วท่านใต้เท้าหญิง ในเมื่อธุระของข้าครั้งนี้จบลงแล้ว ถ้าอย่างนั้น ข้าก็คงต้องขอตัวก่อน”

สตรีนางนี้ไม่ใช่คนดี

เพราะฉะนั้น เกี่ยวข้องกันให้น้อยที่สุดจึงดีกว่า

ทุกคนถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป

แทบไม่มีใครอยากเชื่อว่าหลินเป่ยเฉินเพียงตั้งใจมาที่นี่ เพื่อสังหารผู้มีพลังขั้นเซียนของจักรวรรดิหลิวชา แล้วก็คิดว่าตนเองจะสามารถเดินทางกลับไปได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?

“ช้าก่อน”

หลินเจิ้งสือยกมือขึ้นและกล่าวว่า “บัดนี้คุณชายหลินเป็นถึงหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาหารือกับเจ้า เกี่ยวกับวิหารเทพีกระบี่อยู่พอดี”

“อ้อ… ย่อมได้”

หลินเป่ยเฉินจึงจำเป็นต้องอยู่ต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และภายใต้การนำทางของจีหวูชวง กลุ่มผู้มาเยือนก็เดินเข้าสู่หอถิงเถา

องค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน และพระองค์ก็ทรงรู้สึกว่าการที่จักรวรรดิเป่ยไห่มีหลินเป่ยเฉินอยู่นั้น ถือเป็นการประทานพรจากสวรรค์อย่างแท้จริง

แม้ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เมื่อเห็นท่าทีของหลินเจิ้งสือ เรื่องราวหลังจากนี้ก็น่าจะคลี่คลายความยุ่งยากลงบ้างแล้ว

หลินเป่ยเฉินเป็นเพียงผู้เดียวที่กล้าสังหารสมาชิกของคณะทูตถึงหน้าประตูที่พัก มิหนำซ้ำ ยังไม่มีผู้ใดสามารถเอาผิดเขาได้อีกด้วย

หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ

ภายในหอถิงเถา

ทุกคนนั่งประจำที่

สาวรับใช้นำน้ำชาที่มีควันร้อนหอมกรุ่นมาแจกจ่ายให้แก่แขกทุกท่าน

หลังทักทายกันพอเป็นพิธี องค์จักรพรรดิกับหลินเจิ้งสือก็ปรึกษาหารือเกี่ยวกับการประเมินลำดับจักรวรรดิโดยไม่รอช้า

“สำหรับระดับความยากที่เพิ่มขึ้นมาอย่างไม่ยุติธรรมนั้น ข้าได้ลองสืบสวนเรื่องนี้ดูแล้ว ปรากฏว่าเป็นชาซานถงลงมือโดยพละการ ไม่มีผู้ใดในคณะทูตรู้เห็นด้วยทั้งสิ้น…” หลินเจิ้งสือกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

องค์จักรพรรดินิ่งเงียบ แต่ในใจหัวเราะลั่นด้วยความเหยียดหยาม

คำพูดนี้ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถพูดได้

ชาซานถงเสียชีวิตไปแล้ว จึงไม่มีหลักฐานมายืนยัน

แล้วพวกเขาจะสืบสวนต่อไปได้อย่างไร?

องค์จักรพรรดิหันกลับไปมองหน้าหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง

ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะหลินเป่ยเฉินลงมือด้วยความรวดเร็วรุนแรงมากเกินไป พวกเขาจึงไม่เหลือพยานเอาไว้ให้สืบสาวราวเรื่องอีกแล้ว

ถ้าอย่างนั้นจะจัดการต่อไปอย่างไรดี?

พลัน ได้ยินหลินเจิ้งสือกล่าวออกมาอีกครั้งว่า “ข้าได้รายงานเรื่องนี้กลับไปที่กลุ่มพันธมิตรเรียบร้อยแล้ว ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า เราควรเพิ่มคะแนนในการประเมินให้จักรวรรดิเป่ยไห่เป็นกรณีพิเศษร่วมเป็น 60 ส่วน ฝ่าบาทคงไม่ขัดข้องแล้วกระมัง?”

เพิ่มคะแนนให้กับการประเมินเป็น 60 ส่วนอย่างนั้นหรือ?

เมื่อได้ยินคำนั้น องค์จักรพรรดิก็เผลอยิ้มออกมาด้วยความยินดี

ประเสริฐ

นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก

นี่หมายความว่าจักรวรรดิเป่ยไห่สามารถผ่านการประเมินได้ครึ่งตัวแล้ว

สำหรับการประเมินที่เหลืออยู่ ตราบใดที่ไม่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ โอกาสที่จักรวรรดิเป่ยไห่จะผ่านการประเมินก็สดใสยิ่งนัก

ไม่มีอะไรให้คัดค้าน

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าชาซานถงจะเป็นผู้กระทำผิดเพียงคนเดียวจริงหรือไม่ เพราะจักรวรรดิเป่ยไห่ได้รับการชดใช้อย่างสมน้ำสมเนื้อแล้ว

ดังนั้น องค์จักรพรรดิจึงอดหันไปมองหน้าหลินเป่ยเฉินอีกครั้งไม่ได้…

เมื่อรับรู้ว่าองค์จักรพรรดิเอาแต่หันมามองหน้าตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กหนุ่มก็อดถามอยู่ในใจไม่ได้ว่า ‘ท่านจะมองข้าทำไมนักหนา?’

หลินเป่ยเฉินนั่งฟังการเจรจาต่อรองเพื่อผลประโยชน์ด้วยความเบื่อหน่าย และเพียงไม่นาน เขาก็เริ่มนั่งซึม

เมื่อทุกคนรู้ตัวอีกที หลินเป่ยเฉินก็ส่งเสียงกรนออกมาดังสนั่นแล้ว

“ท่านหัวหน้านักบวชหลิน ท่านหัวหน้านักบวชหลิน?”

เสียงที่เย็นชาอย่างเป็นเอกลักษณ์ของหลินเจิ้งสือดังขึ้น “ท่านคิดว่าอย่างไรบ้าง?”

“ว่าไงนะ?”

หลินเป่ยเฉินสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที “ประเสริฐ ประเสริฐมาก นับเป็นเรื่องที่ประเสริฐ”

หลินเจิ้งสือมองหน้าเขาอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะทำสีหน้าเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มและพูดว่า “ตกลงท่านเห็นด้วยกับข้อเสนอเมื่อสักครู่แล้วสินะ?”

“ข้อเสนออันใด?”

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้ามึนงงสับสนโดยสมบูรณ์

องค์จักรพรรดิและคณะได้แต่ยกมือปิดบังใบหน้า

แต่ดูเหมือนหลินเจิ้งสือจะเตรียมตัวเตรียมใจมานานแล้ว นางพยายามกล่าวด้วยความอดทน “สามเดือนหลังจากนี้ จักรวรรดิเป่ยไห่จะเข้ารับการประเมินจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางอีกครั้ง และในเวลาเดียวกันนั้น วิหารเทพีกระบี่ก็ต้องเข้ารับการทดสอบวิหารด้วยเช่นกัน และกลุ่มพันธมิตรขอยืนยันว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงสงครามของพวกท่านกับจักรวรรดิจี้กวงโดยเด็ดขาด ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้านักบวชหลินพอใจหรือไม่?”

“อ๋อ ก็ต้องพอใจอยู่แล้ว”

หลินเป่ยเฉินตอบเสียงเรียบ

ทำเหมือนเขาจะสามารถไม่พอใจได้อย่างนั้นแหละ

หลังจากร่ำลากันตามมารยาท องค์จักรพรรดิก็ลุกขึ้นและเดินออกมาจากห้องประชุม

หลินเป่ยเฉินเดินตามมาทางด้านหลัง

หลินเจิ้งสือเดินออกมาส่งแขกถึงหน้าประตูจวน เมื่อเห็นคณะขององค์จักรพรรดิลับสายตาไปแล้ว ดวงตาของนางก็เป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที

หลินเจิ้งสือหันหลังเดินกลับเข้าไปในหอถิงเถา

“วี๊ด”

ได้ยินเสียงนกร้องดังขึ้น

ทันใดนั้น ปรากฏลำแสงสีฟ้าพุ่งลงมาจากท้องนภา และตกลงตรงหน้าหลินเจิ้งสือพอดิบพอดี ลำแสงนั้นกลับกลายเป็นนกพิราบสีฟ้าตัวหนึ่ง และมันก็กำลังบินวนรอบกายหญิงสาวด้วยความกระตือรือร้น

หลินเจิ้งสือยกมือขึ้นจับนกพิราบน้อยตัวนั้น ก่อนจะบิดหักลำคอของมันอย่างแรง

ไม่มีโลหิต

ได้ยินเสียงโลหะเสียดสีกันดังออกมาจากลำคอของพิราบน้อย

ที่แท้พิราบน้อยตัวนี้กลับเป็นวัตถุเล่นแร่แปรธาตุ

หลินเจิ้งสือนำหัวนกหัวใหม่ออกมาจากวัตถุเก็บของวิเศษและสวมใส่ลงไปบนลำตัวของเจ้านกพิราบน้อย

หลังจากนั้น พิราบน้อยก็บินขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นลำแสงสีฟ้า อันตรธานหายไปในกลุ่มก้อนเมฆ

หลินเจิ้งสือถือหัวนกพิราบอยู่ในมือ เมื่อกลับเข้าสู่ห้องลับ นางก็นำหัวนกพิราบนั้นไปวางเอาไว้ในหีบน้อยใบหนึ่ง หีบใบนี้ผ่านการลงค่ายอาคมเป็นอย่างดี ม่านพลังถูกยิงออกมาจากดวงตาของหัวนกพิราบ ก่อเกิดเป็นร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกลางอากาศ

“เจ้าได้พบเขาแล้วหรือไม่?”

เสียงของชายวัยกลางคนฟังดูมืดมนและน่าขนลุก

“ได้พบแล้ว”

หลินเจิ้งสือพยักหน้า

“เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ดีกว่าที่คิด”

“เมื่อสักครู่นี้ เมืองชาปา เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของจักรวรรดิหลิวชา ได้กลายเป็นแดนรกร้างไปเรียบร้อยแล้ว ผู้คนสิบกว่าล้านชีวิตตกตายในชั่วข้ามคืน เรื่องนี้คงต้องรบกวนให้เจ้าสืบสวนดูสักหน่อย”

“อะไรกัน? อย่าบอกนะว่ามีเทพเจ้าปรากฏตัวอีกแล้ว?”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรให้มากความ ไปสืบสวนมาก่อน พยายามรวบรวมหลักฐานมาให้ได้เยอะมากที่สุด”

“รับทราบแล้ว”

“เจ้ามีอะไรจะรายงานบ้างหรือไม่?”

“มีเรื่องหนึ่งที่อาจเป็นเรื่องสำคัญ คนของเรารายงานว่าเขาไม่ลงมือทำสิ่งใดเลยในอาณาเขตสนธยา”

“หืม? น่าสนใจแล้วสิ… เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“ข้างกายองค์จักรพรรดิมีผู้คุ้มกันฝีมือดีอยู่มากเกินไป เป็นไปได้ที่เขาอาจไม่มีโอกาสลงมือ”

“เรื่องนี้ทางองค์จักรพรรดิรู้ตัวแล้วหรือไม่?”

“ยังไม่รู้”

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปพูดคุยไต่ถามสาเหตุมาให้แน่ชัด”

“รับทราบ”

“เร่งมือด้วย โอกาสที่พวกเรารอคอยใกล้มาถึงแล้ว”

“รับทราบ”

“แล้วก็… อย่าลืมดูแลตนเองด้วย”

“รับทราบ”

ม่านพลังค่อย ๆ เลือนรางลงไป

หลินเจิ้งสือนำหัวนกพิราบขึ้นมาจากหีบใบน้อยและนำมันไปเก็บไว้อย่างทะนุถนอมยิ่งนัก

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด