เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 1067 ข้าคือผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 1067 ข้าคือผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 1,067 ข้าคือผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน

มาแล้ว

ในที่สุดอีกฝ่ายก็มาแล้ว

หัวใจของทุกคนเต้นระทึก

เหิมเกริมถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

เยวียนซยงและพรรคพวกถึงกับตายคาที่

ลูกศิษย์ของสำนักสามเหลี่ยมมรณะนับสิบคนถูกทุบตีไม่ต่างจากกระสอบป่านเก่าขาด บัดนี้ แต่ละคนลมหายใจรวยริน ใกล้สิ้นชีพเต็มทน

ตุบ

ซงชิวอวี่ที่กำลังพูดคุยอยู่กับผู้อาวุโสลำดับที่สี่จากสำนักชงเยวียนอย่างออกรสออกชาติ พลันวางจอกน้ำชาในมือลงบนโต๊ะและลุกขึ้นยืน

ผู้อาวุโสของสำนักสามเหลี่ยมมรณะผู้นี้มีอายุได้ 100 ปีแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังอ่อนเยาว์ไม่ต่างไปจากคุณหนุ่มอายุ 23 – 24 ปี ใบหน้าหล่อเหลา ผิวพรรณขาวเนียน คิ้วเข้ม ดวงตาเป็นประกาย จมูกโด่ง ริมฝีปากบางเฉียบ ผมสีดำดกหนา กล่าวได้ว่าเป็นบุรุษผู้หล่อเหลาอย่างหาได้ยากยิ่ง

มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ฉายแววชั่วร้าย บอกชัดถึงความเป็นบุคคลอันตราย

ซงชิวอวี่จ้องมองไปที่ประตูทางเข้าสำนักสามเหลี่ยมมรณะด้วยแววตาเย็นชา

และภายใต้การจ้องมองของดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วน เงาร่างของคนผู้หนึ่งก็ก้าวเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า

ผู้ที่เดินเข้ามาสวมใส่เสื้อคลุมมือกระบี่สีน้ำเงิน หนวดเคราสีดำยาวถึงช่วงเอว ผมเผ้ารุงรังยุ่งเหยิง ใบหน้ากรำแดด ลักษณะซอมซ่อ

นี่มันอะไรกัน?

ไหนว่าหลินเป่ยเฉินเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ไม่ใช่หรือ?

แล้วสภาพเช่นนี้คืออะไร?

เมื่อเห็นติงซานฉือเดินนำเข้ามาเป็นคนแรก กลุ่มคนที่อยู่ในสำนักสามเหลี่ยมมรณะก็อดประหลาดใจไม่ได้

แต่หลังจากนั้น พวกของหลินเป่ยเฉิน เฉียนเหมย เฉียนเจิน และคนอื่น ๆ จึงได้เดินติดตามเข้ามา เพียงเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน พวกเขาก็รู้แล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือบุรุษหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของจักรวรรดิในตำนานนั่นเอง

ที่แท้คนที่เดินนำเข้ามาก่อนก็คืออาจารย์ของหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินมีอาจารย์ชื่อว่าอะไรนะ?

ช่างมันเถอะ อย่างไรอาจารย์ของเขาก็ไม่ใช่คนสำคัญอยู่แล้ว

ไม่ต้องไปจำชื่อก็ได้

ทุกสายตาเมินออกจากติงซานฉือและหันไปจับจ้องที่หลินเป่ยเฉินเป็นจุดเดียว

ด้วยเหตุนี้ แม้แต่พวกของสือจงเซิ่ง อิ๋นซานและลูกศิษย์จากสำนักกระบี่อมตะในชุดขาวกว่า 30 ชีวิตที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงไม่ได้รับความสนใจเช่นกัน

“เด็กน้อย เจ้าคือหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่?”

เว่ยหมิงอี้ผู้อาวุโสลำดับที่สี่จากสำนักชงเยวียนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เขาสวมใส่เสื้อคลุมสีแดง ไว้เครายาวจรดหน้าอก น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง “นับว่ามีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตโดยแท้ ยังไม่ทันก้าวพ้นธรณีประตู ก็สังหารผู้คนเสียแล้วหรือ?”

“เจ้าเป็นใคร?”

หลินเป่ยเฉินเงยหน้าถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

เว่ยหมิงอี้ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะคำรามด้วยความโกรธา “เป็นเด็กเป็นเล็ก หัดพูดจามีสัมมาคารวะ…”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

เงาร่างก็เคลื่อนไหววูบ

หลินเป่ยเฉินโผนพุ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็วไม่ต่างไปจากวิญญาณตนหนึ่ง

กว่าที่ทุกคนจะตั้งสติได้ หลินเป่ยเฉินก็เข้าประชิดตัวเว่ยหมิงอี้ได้สำเร็จ

ผลัก!

ผู้อาวุโสลำดับที่สี่จากสำนักชงเยวียนถูกโยนลงไปบนพื้นดินไม่ต่างจากสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปใช้เท้าเหยียบศีรษะของเว่ยหมิงอี้จนใบหน้าของอีกฝ่ายจมหายลงไปใต้พื้นดิน

“เอาไงดีขอรับอาจารย์?”

เขาหันกลับไปมองทางติงซานฉือ

ตลอดระยะเวลาเหล่านี้ ติงซานฉือยืนเอามือไขว้หลัง สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือให้แก่รุ่นน้องของตนเอง เมื่อได้รับคำถามจากหลินเป่ยเฉิน ชายชราก็หันไปถามสือจงเซิ่งว่า “น้องหก บุคคลนี้เคยสังหารศิษย์เมืองไป๋หยุนหรือไม่?”

“เคยขอรับ”

“ศิษย์พี่ลู่โหยวเตาของข้าน้อยถูกมันผู้นี้สังหารขอรับ”

“ลูกศิษย์จากสำนักชงเยวียนทำร้ายภรรยาข้าจนตาย วอนอาจารย์ติงได้โปรดมอบความยุติธรรมด้วย”

ไม่ทันที่สือจงเซิ่งจะได้ตอบคำถาม ลูกศิษย์จากสำนักกระบี่อมตะหลายคนก็ส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น

“ถ้าอย่างนั้นก็ประเสริฐ”

ติงซานฉือยกมือข้างหนึ่งของตนเองขึ้นมาลูบหนวดเครา ก่อนจะหันไปพยักหน้า ออกคำสั่งกับหลินเป่ยเฉินว่า “ฆ่าได้”

สิ้นเสียงคำสั่ง

กร๊อบ!

ศีรษะของผู้อาวุโสลำดับสี่แห่งสำนักชงเยวียนก็จมหายลงไปใต้พื้นดินโดยสมบูรณ์

กะโหลกศีรษะแตกกระจาย โลหิตไหลเนืองนองบนพื้นดิน

แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้

หลินเป่ยเฉินยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นมาในอากาศ แล้วกระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะใช้กระบี่เล่มนั้นเสียบทะลุหัวใจศพ

“เก็บกวาด”

หลินเป่ยเฉินปักกระบี่ลงบนพื้นดินโดยไม่เหลียวหน้ามองกลับหลัง

“จี๊ด!”

อากวงตอบรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่น่าเชื่อพลันเกิดขึ้น พื้นดินกลับกลายเป็นของเหลวดูดกลืนร่างของเว่ยหมิงอี้จมหายลงไปใต้พื้นดิน

บัดนี้ ผิวดินกลับมาสะอาดเอี่ยม ปราศจากศพและคราบเลือด

ราวกับไม่เคยมีคนตายตรงนี้มาก่อน

หลังจากนั้น ก้อนดินที่รวมตัวกันกลายเป็นรูปทรงมือขนาดใหญ่ยักษ์ก็ยื่นขึ้นมาจากใต้พื้นดิน บนฝ่ามือวางไว้ด้วยกระบี่ยาว ถุงเก็บสมบัติและเครื่องประดับของมีค่าจากศพของเว่ยหมิงอี้อีกจำนวนหนึ่ง

เฉียนเจินเดินเข้าไปเก็บทรัพย์สินของมีค่าเหล่านั้นด้วยกิริยาชดช้อย

กระบวนการทั้งหมดนี้ดำเนินไปอย่างลื่นไหล

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้บรรดาหัวหน้าสำนักใหญ่ที่มารวมตัวกันยังสำนักสามเหลี่ยมมรณะในวันนี้อดรู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจไม่ได้

โหดร้ายเหลือเกิน!

อำมหิตเหลือเกิน!!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาลูกศิษย์ของสำนักเพลิงสายฟ้า เมื่อพวกมันเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ หัวใจก็เต้นรัวเร็วราวกับจะกระดอนออกมานอกหน้าอก

ผู้อาวุโสจิงเล่ยกล่าวเอาไว้ไม่ผิด หลินเป่ยเฉินคนนี้ชื่นชอบการตัดศีรษะควักหัวใจ เมื่อแน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามตายแล้ว เขาก็จะตรวจศพค้นหาของมีค่า แต่เมื่อได้มาเห็นเหตุการณ์ด้วยตาของตนเองจริง ๆ ทุกคนจึงได้รู้ว่าหลินเป่ยเฉินมีความน่ากลัวกว่าที่ผู้อาวุโสจิงเล่ยบอกเล่าหลายเท่านัก

บรรยากาศพลันปกคลุมด้วยความสยดสยอง

เหล่าผู้คนที่มารวมตัวกันเพื่อหวังรับชมการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น บัดนี้ ทุกคนกลับขนลุกขนชันไปทั้งร่างกาย

เห็นได้ชัดว่าหลินเป่ยเฉินผู้มีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับสาม สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีพลังขั้นเซียนอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่จริง ๆ ไม่เพียงแต่ตัวจริงของเขาจะแข็งแกร่งไร้เทียมทานสมคำเล่าลือ ความแข็งแกร่งของเขายังมีมากกว่าที่ตำนานเล่าขานหลายเท่าอีกด้วย

สำหรับกับบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ อย่าไปมีเรื่องด้วยจึงเป็นการดีที่สุด

“เอ่อ… ผู้อาวุโสซง พอดีข้านึกได้ว่ามีเรื่องด่วนต้องรีบกลับไปจัดการ วันนี้คงต้องขอตัวก่อน”

“ข้าน้อยดื่มมากเกินไปแล้ว รู้สึกปวดท้องขึ้นมาชอบกล คงต้องขอตัวก่อนนะขอรับ”

“ภรรยาน้อยของข้ากำลังจะให้กำเนิดบุตร ข้าต้องรีบเดินทางกลับไปแล้ว”

เมื่อพบเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าย บรรดาผู้อาวุโสที่นั่งร่วมวงดื่มน้ำชาอย่างเฮฮาก่อนหน้านี้ ก็รีบลุกขึ้นยืนประสานมือขอตัวกลับกันจ้าละหวั่น

นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาหวาดกลัวหลินเป่ยเฉิน

สีหน้าของซงชิวอวี่แปรเปลี่ยนไป แววตาของเขาแสดงออกถึงความไม่พอใจ

แต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา

หลินเป่ยเฉินก็ชิงกล่าวขึ้นเสียก่อนว่า “พวกเจ้าจะไปไหนกัน? เดิมทีพวกเจ้าคิดมารับชมผู้คนฆ่าฟันกันไม่ใช่หรือ… น้องปิง ปิดประตู อย่าให้มีผู้ใดก้าวออกไปจากที่นี่ได้เด็ดขาด”

“รับทราบขอรับ”

เซียวปิงโยนน่องไก่ที่เพิ่งรับประทานหมดเกลี้ยงทิ้งลงไปบนพื้นดิน ก่อนจะเช็ดคราบมันบนมือของตนเองกับก้อนหินยักษ์ในสวนหย่อมก้อนหนึ่ง

ก้อนหินยักษ์ก้อนนี้มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นชั่ง ทว่า มันกลับถูกเด็กหนุ่มยกไปปิดกั้นประตูทางเข้าออกของสำนักสามเหลี่ยมมรณะได้ง่ายดายราวกับเป็นขนนกขนหนึ่งก็ไม่ปาน

ตลอดการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ แม้แต่ฝุ่นซักเม็ดก็ไม่มีลอยขึ้นมาในอากาศ

เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มร่างอ้วน เหล่าหัวหน้าสำนักยุทธ์ก็หัวใจกระตุกวูบ

หรือว่าเด็กคนนี้มีพลังอยู่ในขั้นเซียน?

เมืองไป๋หยุนมีขั้นเซียนอยู่มากมายถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

“พี่น้องทุกท่านไม่ต้องตกใจ รบกวนทุกท่านเชิญมาชี้ตัว มันผู้ใดบ้างที่เคยฆาตกรรมและรังแกลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุน?”

หลินเป่ยเฉินหันกลับมากวักมือเรียกกลุ่มชายหนุ่มหญิงสาวในชุดขาวกว่า 30 ชีวิตจากสำนักกระบี่อมตะ ก่อนจะพยักหน้าไปทางโต๊ะน้ำชาของซงชิวอวี่ “เชิญพวกท่านตรวจดูให้ละเอียด ท่านจำผู้ใดได้ ข้าจะสังหารมันผู้นั้นให้เอง นี่คือการแก้แค้นและทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้วายชนม์ นี่คือการสั่งสอนให้พวกตัวชั่วร้ายได้รู้ว่า พวกมันไม่สมควรมายุ่งเกี่ยวกับเมืองไป๋หยุน”

ตอนแรก กลุ่มมือกระบี่ชุดขาวก็ลังเลใจ แต่แล้วพวกเขาก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

ในที่สุด พวกเขาก็มีวันนี้แล้ว

นี่คือวันเวลาที่ทุกคนใฝ่ฝันมานานเพียงใด?

พวกเขาต่างก็ฝันว่าสักวันหนึ่งจะมีใครสักคนมาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์และแก้แค้นให้แก่บรรดาพี่น้องที่เสียชีวิตไปอย่างน่าเศร้าและน่าอนาถใจเหล่านั้น

ในที่สุด วันนี้ที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงแล้ว

“บุรุษชุดม่วงผู้นั้น เป็นผู้อาวุโสของสำนักใบไม้สวรรค์ มันเคยสังหารลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะตายไปสามคน…”

“เจ้าคนที่ไปหลบอยู่หลังต้นไม้ผู้นั้น คือเจ้าสำนักหลอมตะวัน มันเคยร่วมมือกับผู้อาวุโสจากสำนักชงเยวียนไล่สังหารลูกศิษย์สำนักกระบี่อมตะ…”

“ตัวชั่วร้ายเช่นพวกเจ้า ยังคิดว่าตนเองมีวาสนาหลบหนีได้อีกหรือ?”

กลุ่มมือกระบี่ชุดขาวร้องไห้น้ำตาไหลรินขณะจ้องมองกลุ่มคนที่อยู่บริเวณโต๊ะน้ำชาด้วยความเคียดแค้น

หลังจากตรวจสอบพลังลมปราณของกลุ่มคนฝ่ายตรงข้ามแล้ว พวกของสือจงเซิ่งจึงได้รู้ว่าฝ่ายสำนักสามเหลี่ยมมรณะปรากฏผู้มีพลังขั้นเซียนอยู่ถึง 13 คน

นอกจากผู้มีพลังขั้นเซียนทั้ง 13 คนเหล่านั้น บรรดาลูกศิษย์ของสำนักสามเหลี่ยมมรณะที่อยู่ด้านหลังก็ยังมีอีกถึง 68 ชีวิต ผู้ที่มีพลังต่ำต้อยที่สุดอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนต้น ส่วนผู้ที่มีพลังสูงสุด อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะขึ้นสู่ขั้นเซียนแล้ว

นับเป็นขุมกำลังที่น่ากลัวยิ่งนัก

สือจงเซิ่งหันไปสบตามองอิ๋นซานด้วยความเคร่งเครียด

ต่อให้เขากับนางและลูกศิษย์จากสำนักกระบี่อมตะร่วมมือกันช่วยเหลือศิษย์หลานหลินเป่ยเฉิน ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้

“ฮ่า ๆๆ หลินเป่ยเฉิน เจ้ากลับไปแต่โดยดีเถอะนะ แล้วเรื่องราวในวันนี้ พวกเราจะไม่ถือสาหาความ”

“ถูกแล้ว เจ้าแข็งแกร่งก็จริง เรื่องนั้นพวกเรายอมรับ แต่หากพวกเราร่วมมือกัน เจ้าเพียงคนเดียวจะสามารถรับมือได้อย่างไร”

“หากพวกข้าผนึกกำลัง รับรองว่าเจ้าไม่รอดแน่”

“เจ้าโอหังเกินไปแล้ว ได้เวลาที่จะมีผู้คนสั่งสอนเจ้าเสียบ้าง”

บรรดาผู้คนระดับเจ้าสำนักที่ถูกชี้ตัวใบหน้าบิดเบี้ยวเปิดเผยถึงความชั่วร้าย ขยับเท้าก้าวออกมา แสดงออกถึงการผนึกกำลังร่วมกัน

ดูเหมือนสถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง

รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของซงชิวอวี่

“ฮ่า ๆๆ…”

หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า “พวกเจ้าคิดว่าตนเองมีดีพอที่จะรับมือข้าได้เชียวหรือ?”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มบ่งบอกถึงความสบายใจ

“วันนี้ พวกเจ้าจะต้องชดใช้การกระทำของตนเอง”

“น่าสมเพชยิ่งนัก พวกเจ้าประเมินค่าตนเองสูงส่งเกินไปแล้ว”

“ข้าไม่ได้โอหังมากเกินไป แต่เป็นพวกเจ้าที่ชั่วช้ามากเกินไปต่างหาก”

“วันนี้แหละ ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้รู้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานตัวจริงนั้นเป็นเช่นไร”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกับพุ่งตัวออกไปข้างหน้าและนำไม้คทาสีเงินออกมาจากข้างเอว

เพื่อสังหาร!

เขาโคจรพลังลมปราณใส่ลงไปในไม้คทาอย่างไม่ลังเล

ก่อนลงมือจู่โจมโดยทันที

ตู้ม!

มวลพลังระเบิดออกมาจากไม้คทา

ผู้อาวุโสลำดับหนึ่งจากสำนักใบไม้สวรรค์รวมถึงผู้ติดตามระดับสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง พลันร่างกายของพวกเขาระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือดไปในพริบตา!!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด