เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 1173 ดินแดนที่ล่มสลาย

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 1173 ดินแดนที่ล่มสลาย อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 1,173 ดินแดนที่ล่มสลาย

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนกำลังโดยสารรถยนต์อยู่บนทางด่วน

ราบรื่นและสะดวกสบาย

สามารถมองเห็น ‘วิวนอกหน้าต่าง’ ได้ด้วยซ้ำ

แต่เพราะว่าความเร็วของ ‘รถยนต์’ คันนี้แล่นเร็วมากเกินไป ทิวทัศน์ที่ปรากฏนอกหน้าต่างจึงมองเห็นเป็นภาพพร่ามัว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในสายตาเป็นสีเขียวทึบทึม แทบมองรูปทรงที่แท้จริงไม่ออกเลยว่าพวกมันคืออะไรกันแน่

หลินเป่ยเฉินพยายามจ้องมองด้วยความสงสัย

และเขาก็เห็นสิ่งที่คล้ายกับต้นไม้ยืนเรียงรายอยู่ข้างรางรถไฟความเร็วสูง ถัดออกไปหลังจากนั้นเป็นดินแดนที่ล่มสลาย ลักษณะไม่ต่างจากเมืองร้าง แต่ด้วยความที่เห็นไม่ชัดเจน หลินเป่ยเฉินจึงไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเมืองร้างจริง ๆ หรือไม่

บางครั้ง หลินเป่ยเฉินก็จะเห็นสิ่งที่คล้ายกับศพมนุษย์ลอยอยู่ในอากาศ เขาไม่รู้เลยว่าศพเหล่านั้นตายมานานแล้วหรือยัง และพวกเขากลายมาเป็นศพคนตายได้อย่างไร เมื่อพยายามจะเพ่งตามองดูให้ดี รถที่เขาโดยสารก็แล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว…

นอกจากนั้น หลินเป่ยเฉินยังมองเห็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่สลับกับดินแดนอันรกร้างเป็นระยะ บางครั้งในอากาศก็จะมีดาวดวงใหญ่ลอยอยู่อย่างโดดเดี่ยว…

แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หลินเป่ยเฉินมองเห็น ล้วนอยู่ในสภาพพร่ามัวไม่ชัดเจน

มีสิ่งของมากมายลอยว่อนอยู่ในอากาศ

ลอยอยู่อย่างโดดเดี่ยวปราศจากสิ่งมีชีวิต

แต่หลินเป่ยเฉินก็พบเห็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเช่นกัน

ทว่า ที่น่าประหลาดใจก็คือดินแดนส่วนใหญ่ที่เขาพบเห็น มักจะมีสภาพเป็นดินแดนที่ล่มสลายทั้งสิ้น

“สภาพอย่างกับพวกประเทศที่เพิ่งเสร็จสิ้นสงครามยังไงยังงั้นเลยแฮะ”

หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจ

ภพภูมิของชาวเผ่าจันทราขาวก็คงมีสภาพเช่นนี้เอง

สุดท้ายผู้มีอำนาจก็ได้ทุกสิ่งที่ต้องการ

นับว่าชาวเผ่าจันทราขาวต้องพบกับความยากลำบากมากมายจริง ๆ

แต่ถึงพวกเขาจะมีดินแดนที่เล็กกว่าแผ่นดินตงเต้า หรืออาจจะเล็กกว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อย พวกเขาก็มีขุมกำลังที่น่ากลัวกว่าผู้คนในแผ่นดินตงเต้า…

ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่คิดประมาทสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในดินแดนทวยเทพเด็ดขาด

เพราะเขาเคยเห็นตัวอย่างจากชาวเผ่าจันทราขาวมาแล้ว ต่อให้คนเหล่านั้นไม่ได้ฝึกฝนอันใด ร่างกายก็ยังแข็งแกร่งขึ้นตามอายุที่เติบโต

เมื่อหลินเป่ยเฉินคิดได้เช่นนี้ เขาก็อดพิศวงไม่ได้ว่าหรือแท้ที่จริงแล้วแผ่นดินตงเต้าก็เป็นเพียงดินแดนที่ล่มสลายแห่งหนึ่งเช่นกัน?

แล้วดินแดนทวยเทพล่ะ?

ดินแดนทวยเทพก็เป็นดินแดนที่ล่มสลายด้วยเช่นกันหรือไม่?

หรือดินแดนทวยเทพจะเป็นดินแดนที่มีแต่ความอุดมสมบูรณ์?

หลินเป่ยเฉินนั่งคิดอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจเลิกคิด

เพราะเศษสวะสมองเสื่อมอย่างเขา ไม่เหมาะสมกับการใช้ความคิดอยู่แล้ว

หลินเป่ยเฉินยังคงนั่งมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ‘รถยนต์’ ต่อไปด้วยความเลื่อนลอย

ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินต้องยอมรับจริง ๆ ว่าบริการของแท็กซี่ตี๋น้อยสร้างความน่าประทับใจได้เป็นอย่างมาก สิ่งที่เรียกว่า ‘รถยนต์’ นั้นเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดสิบตารางเมตร ด้านบนด้านล่างด้านซ้ายด้านขวาเป็นผนังกระจกโปร่งแสงและภายในห้องโดยสารก็มีการควบคุมอุณหภูมิเป็นอย่างดี

หลินเป่ยเฉินสามารถเคลื่อนไหวในห้องโดยสารของรถยนต์ได้อย่างเป็นอิสระ

ผนังกระจกทุกด้านในห้องโดยสารมีม่านพลังครอบทับเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง ช่วยทำให้หลินเป่ยเฉินสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอก โดยที่ไม่มีพลังแปลกปลอมแผ่เข้ามาส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารที่อยู่ด้านใน

เด็กหนุ่มกวาดสายตามองรอบกาย

ใน ‘รถยนต์’ คันนี้มีผู้โดยสารเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองเงาที่ปลายเท้าของตนเอง

เงา?

หลินเป่ยเฉินคล้ายกับกำลังจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

แต่จนแล้วจนรอดเด็กหนุ่มก็คิดไม่ออกว่าเขากำลังจะนึกอะไร

มันเหมือนกับว่าเขากำลังจะจดจำชื่อคนบางคนได้ แต่แล้วก็จำไม่ได้สักทีว่าคนผู้นั้นชื่ออะไร…

“เอาเถอะ เราต้องเดินทางอีกสิบชั่วยาม นั่งดูวิวไปก็แล้วกัน”

เด็กหนุ่มนั่งประจำที่มุมหนึ่งของรถยนต์และจ้องมองออกไปด้านนอก

ดินแดนต่าง ๆ เคลื่อนผ่านสายตาของเขา

คราวนี้ ในดินแดนเหล่านั้นปรากฏสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

แผ่นดินตงเต้า

ใจกลางแผ่นดินใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยภูเขา แม่น้ำและลำธาร

ภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งตั้งอยู่บริเวณเขตชายแดนของสองประเทศมหาอำนาจอย่างจักรวรรดิเจิ้งหลงและจักรวรรดิต้าเกี๋ยน

ภูเขาลูกนี้สูงเสียดฟ้า ยอดเขาแทงตัวเสียดก้อนเมฆขาว รูปร่างทรงกรวยของภูเขาลูกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มันเป็นรูปทรงที่เกิดขึ้นจากการแกะสลักด้วยพลังลมปราณอันสมบูรณ์แบบ

บนภูเขาลูกนี้ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นเลยสักต้นเดียว ไม่ว่าจะเป็นแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา ตัวภูเขาก็จะมีแต่สีขาวสะอาดตาสะท้อนกลับไปเท่านั้น

บนยอดเขาเป็นที่ตั้งของวิหารเซียนขนาดใหญ่ถึง 72 หลัง หากมองจากบริเวณเชิงเขาขึ้นไปด้านบน ก็จะเห็นวิหารเซียนเหล่านี้เปล่งประกายระยิบระยับตลอดเวลา

นี่คือวิหารเทพพงไพร

ในแผ่นดินตงเต้า มีวิหารศักดิ์สิทธิ์ในระดับนี้อยู่เพียง 99 แห่งเท่านั้น

และที่นี่ถูกยกย่องให้เป็นวิหารหลวงของเทพพงไพร

เป็นศูนย์กลางแรงศรัทธาของพวกเขา

ทุกวันทุกคืนจะมีสาวกของเทพพงไพรจำนวนมากเดินทางมาจากทุกสารทิศเพื่อปีนภูเขาขึ้นไปสักการะบูชาเทพเจ้าของพวกเขาด้วยศรัทธาอันแรงกล้า

ครั้งหนึ่งปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิเจิ้งหลงถึงกับเคยกล่าวว่า ‘ต่อให้แผ่นดินตงเต้าล่มสลาย แต่วิหารเทพพงไพรก็ไม่มีทางล่มสลายลงไปด้วย เพราะเปลวไฟแห่งศรัทธาของผู้คนจะไม่มีวันมอดดับลงไป’

ในวันนี้ ณ ส่วนลึกของวิหารเทพพงไพร ได้เกิดเสียงร้องคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด

ตัววิหารทั้ง 72 หลังถึงกับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

แล้วลำแสงสีม่วงก็ระเบิดออกจากตัววิหารหลักพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ไม่ต่างจากลำแสงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการแยกท้องนภาออกจากกัน…

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ท่านเทพกำลังแสดงอิทธิฤทธิ์ใช่หรือไม่?”

บรรดาสาวกจำนวนนับไม่ถ้วนอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นภาพนี้

ในส่วนลึกของวิหารบนยอดเขายังคงได้ยินเสียงคำรามออกมาอย่างต่อเนื่อง

“องค์ชายเทพเสด็จแล้ว”

“ลำแสงกระบี่พุ่งสูงเสียดฟ้า แสดงว่าองค์ชายได้ปลดผนึกพลังสำเร็จแล้ว”

“หัวหน้านักบวชองค์ใหม่ได้ปรากฏกายขึ้นแล้วหรือ?”

บรรดาสาวกที่มารวมตัวกันอยู่บนยอดเขาต่างก็จ้องมองไปที่วิหารหลัก ซึ่งเป็นจุดที่ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างออกมา ดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึง

หลังจากนั้นไม่นาน

เสียงระฆังดังกังวานไปทั่วยอดเขา

นี่คือสัญญาณเรียกระดมพลนักบวชในวิหารทุกคน

ในห้องโถงใหญ่ บุรุษหนุ่มผมขาวดวงตาสีทองคำผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาอย่างแช่มช้า

เขาสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำขลิบทอง ใบหน้าหล่อเหลามีสง่าราศี ท่าทางองอาจผ่าเผย ไม่ต่างจากเทพเซียนเดินลงมาเยี่ยมชมโลกมนุษย์

บัดนี้ บรรดารูปปั้นทั้งน้อยใหญ่ที่ยืนเรียงรายอยู่บนยอดเขาต่างก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นพร้อมกัน และพวกมันก็พร้อมใจกันปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาเมื่อชายหนุ่มผู้นี้ปรากฏตัว

ไม่ต่างจากการต้อนรับนายท่านกลับบ้าน

“ในที่สุดข้าองค์ชายเทพก็กลับมาแล้ว”

บุรุษหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาผู้มีผมขาวดวงตาสีทองคำก้าวเดินออกมาจากวิหารหลักพร้อมกับจ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความโกรธแค้นอำมหิต

“ถึงเวลาชำระบาปให้แก่แผ่นดินนี้แล้ว”

ดินแดนทวยเทพ

“เจ้าเด็กนั่นกำลังมาแล้ว”

เทพีกระบี่หิมะไร้นามเก็บโทรศัพท์มือถืออย่างมีความสุข “เราแค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้น วันพรุ่งนี้เจ้ากับข้าต้องเข้าเมืองไปตั้งแต่รุ่งเช้า ซื้อหาสิ่งของที่จำเป็นเตรียมเอาไว้ก่อน แล้วก็อย่าลืมติดต่อแม่นางหมิงที่หอสุราแห่งนั้นด้วยล่ะ แผนการของเราจะได้สมบูรณ์แบบสักที!”

หญิงสาวผู้มีผมสีฟ้าที่นั่งอยู่ด้านข้างเลิกคิ้วสีเดียวกันขึ้นสูงพร้อมถามว่า “ครั้งนี้เจ้าจะทำพลาดอีกไม่ได้แล้วนะ แน่ใจใช่หรือไม่ว่าจะไม่มีใครจับเด็กผู้นั้นได้?”

“ย่อมแน่ใจ”

เทพีกระบี่หิมะไร้นามยิ้มตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ

นางยกมือปิดปากหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “อีกยี่สิบวันหลังจากนี้ เทพพงไพรจะจัดการแข่งขันในรอบหนึ่งร้อยปี นี่คือโอกาสที่หาได้ยากนัก นี่ เจ้าไม่เคยได้ยินที่โบราณกล่าวไว้หรือ? ความแข็งแกร่งของคนเราต้องเริ่มมาจากข้างในจิตใจ ครั้งนี้หากข้าไม่มั่นใจจริง ๆ ข้าคงไม่ลงทุนถึงขนาดนี้หรอก โฮะ ๆๆๆ…ข้านี่มันอัจฉริยะจริง ๆ”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด