เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 1181 สำนักหนามทมิฬ

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 1181 สำนักหนามทมิฬ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 1,181 สำนักหนามทมิฬ

หลินเป่ยเฉินติดตามเงาร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำไปโดยไม่รีบร้อน

เพราะเขากังวลว่าหากใช้วิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณออกมา ตนเองอาจจะถูกค้นพบความผิดปกติได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนที่จะลงมือ

แต่ที่คิดไม่ถึงเลยก็คือเงาร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำนั้นก็ไม่รีบร้อนหลบหนีเช่นกัน

มันวิ่งนำไปยังตำแหน่งที่มีผู้คนอยู่น้อยมาก

ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงสามารถวิ่งไล่ตามไปได้อย่างง่ายดาย

ผ่านไปชั่วชงน้ำชาไม่ถึงหนึ่งถ้วย เงาร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำก็เลี้ยวพ้นหัวมุมเข้าไปในตรอกคับแคบแห่งหนึ่ง ก่อนที่มันจะหยุดเท้าและหันหน้ากลับมาจ้องมองหลินเป่ยเฉิน

“คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะหลอกเจ้ามาติดกับดักได้ง่ายดายเช่นนี้”

เจ้าของร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำมีความสูงเพียงครึ่งเอวมนุษย์เท่านั้น

เสียงของมันแหบแห้งแปลกประหลาด เมื่อเปิดผ้าคลุมศีรษะออก จึงได้เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนสีขาวปุกปุย มองแวบแรกหลินเป่ยเฉินจึงนึกว่าอีกฝ่ายเป็นหมาไนที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์

แต่ไม่ใช่มนุษย์

อมนุษย์?

หลินเป่ยเฉินค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย

นี่คือครั้งแรกที่เขาได้พบเห็นอมนุษย์ในดินแดนทวยเทพ

หลินเป่ยเฉินย่อมไม่เข้าใจว่าตัวประหลาดตัวนี้กำลังพูดอะไร

‘สวัสดี ข้าคือคนใบ้ผู้หล่อเหลาที่สุดในปฐพี’

เด็กหนุ่มเขียนข้อความลงบนพื้นดิน ‘ข้าหูหนวก ไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ ช่วยคืนถุงเงินและคุกเข่าขออภัยข้าดี ๆ ได้หรือไม่?’

มนุษย์หมาไนจ้องมองลายมือบนพื้นดินด้วยความฉงนสงสัย จากนั้นมันจึงชักสีหน้าด้วยความโกรธแค้น

มันส่งเสียงคำรามแหบต่ำออกจากในลำคอ ก่อนแยกเขี้ยวอวดฟันขาววับคมกริบเป็นประกายระยิบระยับด้วยความอำมหิต

วูบ! วูบ! วูบ!

ได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะสายลมดังขึ้น

แล้วชายฉกรรจ์อีกสี่คนก็ทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศ

ปิดกั้นหนทางหลบหนีของหลินเป่ยเฉิน

ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้มีร่างกายสูงใหญ่มากกว่าคนทั่วไป แขนขาอุดมด้วยกล้ามเนื้อ ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเดินช้าๆ เข้ามาหามนุษย์หมาไน พยักหน้าด้วยความพอใจพร้อมกับกล่าวว่า “ทำได้ดีมาก พวกตระกูลฮันไม่ได้ไล่ตามมาใช่หรือไม่?”

“พี่หวังไม่ต้องเป็นห่วง คนพวกนั้นไม่ได้ไล่ตามมา”

มนุษย์หมาไนยิ้มแย้มอย่างประจบประแจง “คนใบ้ผู้นี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก นอกจากความหล่อเหลาแล้ว มันก็ไม่มีดีอื่นใดเลย ข้าน้อยไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดทั้งสิ้น ก็สามารถสังหารมันได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้ว”

หัวหน้าชายฉกรรจ์ร่างยักษ์โบกมือกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนเจ้าแล้ว หลังจากสังหารมันเสร็จสิ้น ช่วยกำจัดศพให้พวกข้าด้วย”

“รับทราบขอรับ”

มนุษย์หมาไนดึงมีดสั้นออกมาจากข้างเอว แสยะยิ้ม ก่อนจะสืบเท้าเข้าหาหลินเป่ยเฉินอย่างแช่มช้า

มันเคยฆ่าคนมานับครั้งไม่ถ้วน

ในถิ่นที่อยู่อาศัยอันต่ำตมอย่างเขตพื้นที่ระดับ 3 การฆ่าคนข้างถนนไม่นับเป็นเรื่องผิดปกติอันใด

กลุ่มชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กำลังจะหมุนตัวจากไป

แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจยืนดูความตายของหลินเป่ยเฉินก่อน

เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กใบ้ผู้นี้จะไม่กลับมาก่อปัญหาในอนาคตได้จริง ๆ

ครั้งนี้ พี่ใหญ่เจิ้งต้องอุทิศเวลามากมายเพื่อจัดการกับเจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจเสียเหลือเกิน

สวบ!

ได้ยินเสียงโลหะแทงทะลุร่างกาย

“อั่ก อั่ก…”

ได้ยินเสียงกระอักเลือดแห่งความตาย

กลุ่มชายฉกรรจ์ร่างใหญ่คุ้นเคยกับเสียงเหล่านี้เป็นอย่างดี

นี่คือขั้นตอนปกติในการฆ่าคน

แต่ทันใดนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ

ดวงตาของพวกเขาเบิกโต สีหน้าแปรเปลี่ยนไป

เนื่องจากเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้เป็นใบ้และอ่อนแอผู้นี้ กำลังถือมีดสั้นที่เคยเป็นของมนุษย์หมาไนและใช้มันหั่นศีรษะของมนุษย์หมาไนด้วยความเลือดเย็นอำมหิต หลังจากนั้น เขายังได้ใช้มีดสั้นคว้านหัวใจของมนุษย์หมาไนออกมาอีกด้วย…

มีคนตายแล้ว

แต่คนตายไม่ใช่เป้าหมายการสังหารในวันนี้

คนตายกลับเป็นมือสังหารที่เคยมีความมั่นใจเปี่ยมล้น

นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด

เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือสีหน้าเรียบเฉยของเด็กใบ้ผู้นี้ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การฆ่าคนครั้งแรกของเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเด็กใบ้หยิบศีรษะของมนุษย์หมาไนขึ้นมาชมดู มุมปากของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มอำมหิต ชวนให้กลุ่มชายฉกรรจ์รู้สึกขนลุกอย่างไม่มีเหตุผล ราวกับว่าพวกเขากำลังจ้องมองจอมปีศาจที่ปรากฏตัวออกมาจากขุมนรกก็ไม่ปาน

“รีบฆ่ามันเร็วเข้า”

หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ออกคำสั่ง

แล้วลูกสมุนของเขาก็ชักกระบี่ออกจากฝัก พุ่งเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินอย่างพร้อมเพรียงกัน…

หลินเป่ยเฉินยังคงไม่กล้าใช้วิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ

เพราะเขากลัวว่าการใช้วิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ อาจจะไปกระตุ้นเตือนให้พวกสภาเทพเจ้ารู้ตัว และอีกเหตุผลที่เขายังไม่เลือกใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือ กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ไม่ได้มีอันตรายมากเกินไป

อันที่จริง กลุ่มชายฉกรรจ์สามารถจัดการได้ง่ายกว่าที่คิดด้วยซ้ำ

หลินเป่ยเฉินเพียงใช้พละกำลังในร่างกายบวกกับศิลปะการต่อสู้ด้วยมีดสั้นก็พอแล้ว

คมมีดกรีดผ่านอากาศ

หลังจากสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันอยู่หลายรอบ กลุ่มชายฉกรรจ์ผู้เป็นลูกน้องก็ยืนตัวแข็งทื่อ ก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะลดมีดในมือของตนเองลงช้า ๆ และเงยหน้าจ้องมองไปที่หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์พลางกล่าวว่า “เจ้าตายแล้ว”

ตุบ! ตุบ! ตุบ!

ร่างของกลุ่มชายฉกรรจ์ล้มลงตาม ๆ กันไป

“คิดไม่ถึงเลยว่ามือกระบี่ในดินแดนทวยเทพจะอ่อนแอถึงเพียงนี้”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ

แต่หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ที่บัดนี้เหลืออยู่เพียงผู้เดียวกลับขนลุกขนชันไปทั้งร่างกาย

เด็กใบ้ผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่?

เขาสัมผัสไม่ได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์จากร่างกายของเด็กผู้นี้ แต่เจ้าเด็กนี่กลับมีวิชาต่อสู้ระดับสูง แม้แต่มีดสั้นในมือของมนุษย์หมาไนก็ยังถูกแย่งชิงไปได้อย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำ ทักษะการใช้มีดสั้นของเด็กหนุ่มยังดูมีความชำนาญมากจนน่าตกใจ

“เจ้าเป็นใครกันแน่?”

หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ถามออกมาด้วยความหวาดหวั่น

แต่ยังไม่ทันที่หลินเป่ยเฉินจะได้ตอบคำถาม ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็ยกมือถูหน้าอกตนเอง ก่อนที่ฝ่ามือจะเกิดแสงสว่างเป็นประกายเรืองรอง แล้วชายฉกรรจ์ก็ยิงกระแสพลังที่มีลักษณะคล้ายกับเถาวัลย์อุดมหนามแหลมพุ่งตรงเข้าหาหลินเป่ยเฉิน

นี่คือวิชาเวทมนต์ระดับ 2 เพียงชนิดเดียวที่เขาสามารถใช้งานได้ มันมีนามว่าวิชาเถาวัลย์เหล็กใน

เพื่อจัดการกับคู่ต่อสู้ที่ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็ถึงกับใช้วิชาต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองออกมาโดยไม่ลังเลแล้ว

ความต้องการเดียวของเขาในขณะนี้ คือสังหารเด็กหนุ่มให้ได้และหลบหนีออกไปให้เร็วที่สุด

ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความประหลาดใจ

นี่คือครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ในดินแดนทวยเทพ ที่เขาเห็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับการปล่อยพลังลมปราณ

ลักษณะไม่ต่างไปจากวิชาการต่อสู้ในแผ่นดินตงเต้า

แต่พลังที่ถูกระเบิดออกมานั้นมีอันตรายร้ายแรงมากกว่าพลังลมปราณของมนุษย์หลายเท่า

อานุภาพในการทำลายล้างเทียบเท่ากับผู้มีพลังขั้นเซียน

หลินเป่ยเฉินตวัดมีดสั้นในมือขึ้น

คมมีดตัดผ่านปลายเถาวัลย์หนามแหลมนั้น

เพล้ง!

มีดสั้นแตกกระจายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย

“หยุดไม่ได้หรือ?”

หลินเป่ยเฉินไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นกลัว เพียงยกมือขึ้นโบกสะบัดเล็กน้อย

แล้วลำแสงสีเงินก็พุ่งออกจากฝ่ามือของเขา

วูบ! วูบ! วูบ!

ลำแสงสีเงินปะทะเข้ากับเถาวัลย์หนามแหลมของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ ก่อนที่คลื่นพลังเถาวัลย์เหล่านั้นจะระเบิดกระจายสลายหายไป…

ฟู่! ฟู่!

ทันใดนั้น หัวเข่าของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็มีรูโลหิตฉีดพุ่ง ละอองเลือดสาดกระจาย

“อ๊าก…”

เขาส่งเสียงร้องโหยหวน ก่อนจะล้มพับลงไปกับพื้นดิน

“หึ่ย อย่าเพิ่งส่งเสียงสิ”

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปเตะเสยปลายคางชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เต็มแรง ส่งผลให้อีกฝ่ายไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้อีกแล้ว

หลังจากนั้น เขาก็นำผงละลายศพที่อานมู่ซี นักหลอมโอสถอันดับหนึ่งแห่งนครเจาฮุยเป็นคนผลิตออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ และนำผงละลายศพเหล่านั้นไปเทใส่ร่างไร้วิญญาณของมนุษย์หมาไนกับลูกน้องของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ทั้งสามคน

ฉ่า! ฉ่า! ฉ่า!

หมอกควันสีเขียวลอยขึ้นในอากาศ

ผงละลายศพทำงานแล้ว

นี่คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผล

แต่ปรากฏว่าผงละลายศพของโลกมนุษย์ สามารถละลายศพผู้คนบนดินแดนเทพเจ้าได้จริง ๆ

กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้งามบานสะพรั่งลอยตลบอบอวลในอากาศ

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา อานมู่ซีนับว่าเป็นครึ่งอัจฉริยะครึ่งคนสติเฟื่องที่แท้จริง ทั้ง ๆ ที่ผลิตผงละลายศพออกมามีอานุภาพรุนแรงเช่นนี้ แต่กลิ่นของมันกลับช่างหอมหวลชวนสูดดมเหลือเกิน

“ด้วยเหตุนี้ เวลาละลายศพ เราจะได้มีความสุขมากขึ้นไงขอรับ”

อานมู่ซีเคยให้คำอธิบายไว้เช่นนั้น

ดังนั้น เพียงไม่ถึงยี่สิบลมหายใจ ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มก็ต้องจ้องมองซากศพลูกน้องของตนเองระเหยหายไปต่อหน้าต่อตา เช่นเดียวกับร่างของมนุษย์หมาไนผู้นั้น

หลังจัดเก็บเสื้อผ้าที่เหลืออยู่ของซากศพโจรร้าย หลินเป่ยเฉินก็เดินกลับมาลากคอชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะนำตัวออกมาจากตรอกแคบอย่างรวดเร็ว

ไม่กี่ลมหายใจต่อมา ในตรอกร้างแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสองลี้

ตุบ!

หลินเป่ยเฉินโยนชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ลงไปบนพื้นดิน

เขาค่อย ๆ ย่อตัวลง และยื่นนิ้วเข้าไปจิ้มบาดแผลบริเวณหัวเข่าของชายฉกรรจ์อย่างแรง

ชายฉกรรจ์ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส

ดวงตาของเขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินราวกับกำลังพบเจอสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวและน่าหวาดหวั่นที่สุดในโลก

หลินเป่ยเฉินนำเลือดที่ติดนิ้วมือของตนเองมาเขียนข้อความบนพื้นดินแทนน้ำหมึก ‘สวัสดี ข้าคือคนใบ้ที่หล่อเหลาที่สุดในปฐพี เจ้าช่วยแนะนำตนเองหน่อยได้หรือไม่?’

ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ไม่มีความกล้าหาญที่จะต่อสู้อีกแล้ว

เขากำลังหวาดกลัว

โดยไม่ลังเล ชายฉกรรจ์ใช้นิ้วจิ้มเลือดของตนเองเขียนข้อความบนพื้นดินว่า ‘ผู้ต่ำต้อยมีนามว่าหวังฉีฉง ผู้ต่ำต้อยมาจากสำนักหนามทมิฬ ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่ประจำถนนเซี่ยซานแห่งแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ต่ำต้อยทำงานรับใช้นายท่านเจิ้งซานถง และเป็นนายท่านเจิ้งผู้นั้นที่ส่งพวกเรามาสังหารคุณชายผู้สูงส่ง…’

หืม?

นี่มันอะไรกันเนี่ย

ในดินแดนทวยเทพมีสำนักยุทธ์ด้วยหรือ?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสังคมบนดินแดนทวยเทพแทบไม่ต่างไปจากสังคมบนโลกมนุษย์เลยแฮะ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด