เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 853 ช่างบังอาจนัก

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 853 ช่างบังอาจนัก อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 853 ช่างบังอาจนัก

ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ซึ่งแยกย้ายไปนั้น มีเฉียนเฟยเซวียกับโหลวซานกวนรวมอยู่ด้วย

“ฮ่าฮ่า ท่านเจ็ด ไม่เจอกันนานเลยนะขอรับ คอยังไม่หายอีกหรือนี่?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร

เขากำลังดีใจ จึงเรียกองค์ชายเจ็ดว่าท่านเจ็ดเฉยๆ เสมือนเป็นเพื่อนเล่นโดยไม่รู้ตัว

แต่องค์ชายเจ็ดไม่สนใจ

ไม่ใช่เพราะว่าเขามีความสนิทสนมกับเด็กหนุ่มจึงเรียกขานกันเช่นนี้ได้

แต่เป็นเพราะมีข่าวลือกระจายไปทั่วกลุ่มขุนนางระดับสูงในนครหลวงว่า…

หลินเป่ยเฉินเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จแล้ว

เขากลายเป็นผู้มีพลังระดับเซียน

เมื่อยอดฝีมือระดับเซียนเรียกขานเขาว่าท่านเจ็ดเฉยๆ องค์ชายเจ็ดยังจะมีสิทธิ์ไม่พอใจได้อีกหรือ?

ไม่ได้เด็ดขาด

องค์ชายเจ็ดมีแต่ต้องยอมรับชะตากรรมเท่านั้น

เขาเดินนำกลุ่มแขกผู้มาเยือนเข้าสู่โรงเตี๊ยมด้วยความกระตือรือร้น

ด้านในยังคงมีหมู่ตึกแยกย่อยปลูกสร้างหลากหลายรูปแบบในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป

มิหนำซ้ำ หมู่ตึกแต่ละแห่งยังมีบรรยากาศที่ไม่ซ้ำกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอุณหภูมิ ความชื้น หรือสภาพแวดล้อม ทุกแห่งล้วนได้รับการสร้างค่ายอาคมชั้นดีทำให้โรงเตี๊ยมแห่งนี้คล้ายกับมีเมืองเล็กๆ นับร้อยแห่งตั้งอยู่ด้านใน

นอกจากนั้น หลินเป่ยเฉินยังมองเห็นสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์หลากหลายประเภทอยู่ในชุดเด็กรับใช้ของทางโรงเตี๊ยมอีกด้วย

ตัวอย่างเช่น ในตึกที่จำลองสภาพแวดล้อมของทะเลทราย หลินเป่ยเฉินเห็นเด็กรับใช้ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์มีหัวกับหางเป็นกิ้งก่า ผิวหนังขรุขระ คอยนำอาหารมามอบให้แก่ลูกค้าอย่างขยันขันแข็ง…

ให้ตายสิ

พวกมนุษย์กิ้งก่าทะเลทรายถึงกับมาขายแรงงานดำรงชีพอยู่ในนครหลวงแล้วหรือ?

หลินเป่ยเฉินยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ

หลังจากนั้น เขาก็ได้เห็นมนุษย์งู ซึ่งร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ แต่ร่างกายท่อนล่างเป็นงู มนุษย์งูมีร่างกายกำยำราวกับพวกบาบาเรียน ผิวหนังปกคลุมด้วยรอยสักสีดำรูปทรงแปลกประหลาด แต่อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่ามนุษย์จิ้งจอกสาวผู้มีสามหาง เช่นเดียวกับ…

โอ้ แม่เจ้า มนุษย์วัว

เป็นมนุษย์วัวจริงๆ ด้วย

ไม่อยากจะเชื่อ

ตกลงว่านี่เป็นสวนสัตว์หรือไง?

หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าในโลกแห่งวรยุทธ์จะมีมนุษย์สายพันธุ์ต่างๆ อยู่มากมายถึงเพียงนี้

สมาชิกหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินก็อยู่ในความตกตะลึงเช่นเดียวกับเด็กหนุ่ม

พวกเขาเดินมาถึงหน้าหมู่ตึกซึ่งจำลองบรรยากาศเมืองติดชายทะเล นอกจากพบเห็นชาวทะเลจำนวนมากแล้ว พวกเขายังเห็นตัวประหลาดอีกหลายชนิดที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พบเห็นมาก่อนอีกด้วย

“ถ้าเป็นในเกม ที่นี่ก็คงเป็นหมู่บ้านเริ่มต้นสินะ?”

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความตื่นเต้น

เมื่อมาถึงหมู่บ้านเริ่มต้นแล้ว ก็จะสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าไปเล่นเกมที่แมปไหนบ้าง

ไม่ต้องทนเล่นเกมฉากเดิมๆ อีกต่อไป

เด็กหนุ่มรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง

“นี่คือโรงเตี๊ยมว่านกั๋ว นับเป็นโรงเตี๊ยมระดับสูงประจำนครหลวง ที่นี่มีเมืองจำลองมากมาย ไม่ว่าขุนนางทั้งเล็กทั้งใหญ่ หรือพ่อค้าวาณิชที่เดินทางมาค้าขาย ต่างก็ต้องแวะเวียนมาใช้บริการเป็นประจำ และว่ากันว่าค่าบริการของที่นี่แต่ละคืนไม่ใช่ถูกๆ”

“หลายครั้งที่ผ่านมา คณะทูตของจักรวรรดิต่างๆ ล้วนมาจัดงานเลี้ยงที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ทั้งสิ้น…”

“แม้แต่คณะผู้ตรวจสอบของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางก็พำนักพักอยู่ที่นี่เช่นกัน…”

“เอาละ พวกเรามาถึงแล้ว คุณชายหลิน เชิญ”

“ที่พักชั่วคราวของเจ้าคือที่นี่ มันมีนามว่าจวนซางจั้วหยวน”

องค์ชายเจ็ดเดินนำพวกของหลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปซุ้มประตูสีเขียวแห่งหนึ่ง

เด็กหนุ่มลอยตัวขึ้นไปในอากาศเพื่อสังเกตพื้นที่โดยรอบ

น่ามหัศจรรย์เหลือเกิน

การตกแต่งภายในหมู่ตึกแห่งนี้ช่างเหมือนกับสวนจีนโบราณในโลกใบเก่าของเขาไม่มีผิด

สิ่งสำคัญคือพื้นที่ด้านในมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล

มีพื้นที่เกือบถึง [1]1,500 หมู่

ด้านในมีทั้งทะเลสาบขนาดเล็ก สวนหย่อมที่ร่มรื่น ระเบียงทางเดินที่สวยงาม โขดหินริมบ่อน้ำ ศาลานั่งเล่นสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ…

หมู่ตึกที่อยู่ด้านในมีจำนวนมากแต่ไม่ซับซ้อน ระหว่างทางเดินมีลำธารน้อยแทรกตัวอยู่เป็นระยะ ช่วยทำให้บรรยากาศร่มเย็น และชวนให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างมีเอกลักษณ์

หลินเป่ยเฉินสำรวจมองเพียงคร่าวๆ ก็มีความสุขนัก

เขารู้สึกชื่นชอบที่นี่โดยไม่มีเหตุผล

และในฐานะเด็กหนุ่มเสเพลสมองเสื่อม หลินเป่ยเฉินก็ไม่ต้องการเหตุผลใดๆ อยู่แล้ว

ทุกคนเดินเข้าสู่จวนซางจั้วหยวนภายใต้การนำทางขององค์ชายเจ็ด

มองดูจากภายนอกว่าน่าตกตะลึงแล้ว เมื่อเดินเข้าสู่ด้านในยิ่งน่าตกตะลึงมากกว่าเดิมหลายเท่า

หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัยใจว่า “ท่านเจ็ด ข้าเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เหตุไฉนข้าถึงรู้สึกว่าที่นี่เหมือนจวนรับรองแขกต่างบ้านต่างเมืองเลยล่ะขอรับ?”

องค์ชายเจ็ดเอียงคออธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “จวนรับรองของทางราชการส่วนใหญ่มีสภาพเก่าแก่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซมน่ะ อีกทั้งยังตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน ไม่สะดวกที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะเดินทางไปมาหาสู่… แต่ก็ต้องขอบอกตามตรงว่าหากเจ้าไม่ได้เลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียน เจ้าก็คงต้องไปพักอยู่ในจวนรับรองที่เก่าแก่และทรุดโทรมห่างไกลผู้คนเหล่านั้น แต่บัดนี้… ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเสียเกียรติผู้มีพลังระดับเซียน ข้าจึงเป็นคนจัดหาที่พักให้แก่เจ้าด้วยตนเอง”

เมื่อได้รับฟังคำตอบขององค์รัชทายาท เด็กหนุ่มก็รู้สึกพึงพอใจขึ้นมาทันที

“ขอบคุณท่านเจ็ดมากเลยขอรับ” หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งพยักหน้า “ข้าตื้นตันใจยิ่งนัก”

หวังจง เซียวปิง และยอดฝีมือผู้ติดตามเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ต่างก็กำลังกวาดสายตามองสิ่งรอบกายด้วยความตื่นเต้น

การติดตามคุณชายหลินเข้าสู่นครหลวงในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาด้วยเช่นกัน

ดวงตาขององค์ชายเจ็ดเป็นประกายวูบวาบ

หลินเป่ยเฉินยังคงเป็นคนเดิม

ไม่ว่าจะเจอกันในเมืองหยุนเมิ่งหรือที่เมืองเจาฮุย องค์ชายหนุ่มก็รู้สึกเสมอว่าสมองของหลินเป่ยเฉินมีความผิดปกติบางอย่าง

แต่เมื่อเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นเซียนสำเร็จ สมองของเด็กหนุ่มก็น่าจะกลับมาเป็นปกติแล้ว

ที่ไหนได้

สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ยังเป็นเด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้หนึ่งอยู่ดี

“จริงด้วยสิ ท่านเจ็ด ไม่ทราบว่าผู้คุ้มกันทั้งสิบคนของข้าบัดนี้อยู่ที่ใด?”

เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ หลินเป่ยเฉินก็นึกถึงพวกของฉู่เหินขึ้นมาทันที

“อ้อ พวกเขายังอยู่ในนครหลวงนี่แหละ อาจารย์ฉู่บอกว่ากำลังตามหาของฝากเพื่อนำกลับไปให้เจ้า ช่วงหลังเหมือนเขาจะยุ่งๆ ข้าเองก็ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาอาจารย์ฉู่หลายวันแล้ว…” องค์ชายเจ็ดยิ้มและพูดต่อ “เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปตามหาพวกเขาให้ก็แล้วกัน เมื่อพบเจอตัวแล้ว ข้าจะให้พวกเขามาพบเจ้าที่จวนซางจั้วหยวนแห่งนี้โดยเร็วที่สุด ส่วนเจ้าจะทำอะไรกับพวกเขาหลังจากนั้นก็ตามสบาย…”

ระหว่างการสนทนา องค์ชายเจ็ดได้นำหีบทองสัมฤทธิ์บรรจุแผ่นป้ายมังกรทองคำออกมา 16 ชิ้น

“นี่คือกุญแจสำหรับควบคุมค่ายอาคมต่างๆ ในจวนซางจั้วหยวน เมื่อมีพวกมัน เจ้าก็จะใช้ค่ายอาคมเหล่านั้นสำหรับป้องกันภัยคุกคาม หรือคอยสอดส่องอันตรายได้ตามใจชอบ…”

หลังจากนั้น องค์ชายหนุ่มก็สอนให้หลินเป่ยเฉินได้รู้จักวิธีใช้แผ่นป้ายทองคำเหล่านี้ควบคุมค่ายอาคม

สมแล้วที่เป็นนครหลวง

หลินเป่ยเฉินอุทานอยู่ในใจ

ระบบการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเช่นนี้ แม้แต่จวนผู้ว่าในพื้นที่เมืองเขตห้าของนครเจาฮุยก็ยังเทียบไม่ติด

นี่สินะความแตกต่างของลำดับชนชั้น?

หลินเป่ยเฉินโยนแผ่นป้ายทองคำเหล่านั้นให้กับหวังจง

หวังจงกระโดดรับไว้ด้วยความดีใจ “นายน้อยช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกล นายน้อยรู้ดีว่าสามารถเชื่อใจผู้ใดได้มากที่สุด นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วง คำว่าจงในชื่อหวังจงมาจากจงรักภักดี หวังจงจะคอยตรวจสอบจวนที่พักแห่งนี้ให้แก่นายน้อยเองขอรับ ไม่ว่าจะเป็น…”

“รีบไปทำงานซะ”

หลินเป่ยเฉินกระโดดเตะหวังจงกระเด็นออกไป

ชายชราส่งเสียงร้องครางขณะตัวลอยกระเด็นในอากาศว่า “อ้า ความรู้สึกนี้… ช่างเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนัก…”

เหล่าสมาชิกหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินก็แยกย้ายกันไปเฝ้าเวรยาม

องค์ชายเจ็ดยังคงอยู่พูดคุยกับหลินเป่ยเฉินต่อไป

หลินเป่ยเฉินรู้สึกละอายแก่ใจขึ้นมาเล็กน้อย

แม้ว่าองค์ชายเจ็ดจะเคยช่วยเหลือเขาเอาไว้หลายครั้งตอนที่อยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง แต่หลินเป่ยเฉินก็คิดว่าตนเองตอบแทนบุญคุณเหล่านั้นหมดแล้วด้วยการช่วยเหลือองค์ชายหนุ่มออกมาจากคุกใต้ดินของเหลียงหยวนเตา แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมองศีรษะที่เอียงไปข้างหนึ่งขององค์ชายเจ็ด… เฮ้อ เขาเป็นคนทำให้องค์ชายต้องอยู่ในสภาพนี้ จึงอดรู้สึกผิดไม่ได้ ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงต้องทำหน้าที่เป็นเพื่อนคุยที่ดีกับองค์ชายเจ็ดต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก

ระหว่างนี้ เขาก็รอคอยให้โทรศัพท์มือถือกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง

ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย

“นายท่านเจ้าคะ ใหญ่โตเหลือเกิน ช่างใหญ่โตเสียจริง”

หลังจากเดินสำรวจรอบบริเวณเรียบร้อย เฉียนเหมยก็วิ่งกลับเข้ามาพร้อมกับร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น “สวนด้านนอกมีขนาดใหญ่มาก ถึงพวกเราจะมากันหลายสิบคน แต่ที่นี่ก็ยังรองรับได้สบายๆ ข้าน้อยลองสำรวจดูแล้ว ที่นี่สามารถรองรับแขกได้เป็นพันคนเลยเจ้าค่ะ…”

หลินเป่ยเฉินใช้สองมือบีบแก้มสาวรับใช้จนนางปากจู๋ “แต่ข้าชอบที่เจ้าตื่นเต้นเช่นนี้มากกว่า”

ทันใดนั้น มีเสียงตะโกนดังขึ้นนอกจวนที่พักของพวกเขา

“จักรวรรดิจี้กวงออกไป…”

“พวกเราชาวเป่ยไห่ต่อให้ต้องสู้จนตัวตาย ก็ไม่ขอยอมแพ้…”

“พวกชาวจี้กวงต้องไสหัวออกไปจากนครหลวงให้หมด…”

“กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางจะมาแทรกแซงพวกเราไม่ได้เด็ดขาด…”

“ส่งตัวฆาตกรออกมารับโทษเดี๋ยวนี้”

เสียงตะโกนดังสนั่นหวั่นไหวราวกับเสียงคลื่นสึนามิดังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

องค์ชายเจ็ดกล่าวว่า “อ้อ นี่เป็นการเดินขบวนประท้วงของกลุ่มศิษย์จากสำนักศึกษาในนครหลวงน่ะ วันนี้พวกเขารวมตัวกันว่าจะไปชุมนุมที่หน้าสถานทูตจี้กวง… ความจริง ช่วงหลังเกิดการรวมตัวประท้วงเช่นนี้เป็นปกติ แต่เรื่องก็บานปลายเพราะว่ามีผู้ชุมนุมบางส่วนถูกสังหาร และผู้ชุมนุมที่เป็นสตรีก็ถูกเจ้าหน้าที่ชาวจี้กวงจับตัวไป จึงเกิดเป็นการเดินขบวนประท้วงในวันนี้ขึ้นมา…”

นักศึกษาก่อม็อบประท้วงเจ้าหน้าที่?

หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้าง

มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?

หมายความว่าชาวจี้กวงกล้าอาละวาดถึงในเมืองหลวงของจักรวรรดิเป่ยไห่เนี่ยนะ?

ช่างบังอาจนัก

“ฟังดูน่าสนใจ ข้าขอออกไปร่วมขบวนรับชมความสนุกด้วยดีกว่า”

เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น

อาศัยโอกาสนี้หลบหนีออกมาจากการเป็นเพื่อนคุยกับองค์ชายเจ็ด

[1] ประมาณ 500 ไร่

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด