เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 395 พลังจักรพรรดิมังกรไฟ
ตอนที่ 395 พลังจักรพรรดิมังกรไฟ
เมื่อพูดออกมาแล้ว น้ำเสียงที่เจือด้วยความเกลียดชังและคับแค้นใจก็ทำให้แม้แต่หญิงสาวผู้ติดตามของเขารู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ชัดเจนแล้วว่าถ้าหลินเป่ยเฉินต้องตกไปอยู่ในมือของสวีหวั่นหลัว เขาจะต้องพบกับความทรมานมากมายขนาดไหน
เฉียนเหมยและเฉียนเจินมีใบหน้าซีดขาว
หลินเป่ยเฉินหัวเราะฮ่าฮ่าเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “คิดจะระเบิดหัวของข้างั้นหรือ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก…”
พูดจบ เขาก็ยกมือขึ้น
ป๊อก!
หลินเป่ยเฉินดีดนิ้ว
“แต่รับรองเลยว่าพวกเจ้าตายแน่!”
รอยยิ้มเหยียดหยามที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน พลันเปลี่ยนเป็นยิ้มที่มีแต่จิตสังหารรุนแรงน่าขนลุก
บรรยากาศในห้องรับประทานอาหารเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
สวีหวั่นหลัวหัวใจกระตุกวูบ
แต่แล้วกลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ชายชราร่างกำยำแสยะยิ้ม “ที่แท้เจ้าก็มีดีเพียงลมปาก…”
เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย
พรึบ!
เปลวไฟสีส้มแดงก็ลุกโชนขึ้นจากร่างกายของสวีหวั่นหลัว
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีสัญญาณเตือน
ตอนแรกสวีหวั่นหลัวก็ไม่รู้เช่นกันว่าเปลวไฟมาจากที่ใด แต่เมื่อเขาก้มมองร่างกายของตนเอง ถึงได้รู้ว่าเปลวไฟเหล่านั้นกำลังลุกโชนขึ้นมาจากแขน ขา หน้าอก ช่วงท้อง…
และตลอดทุกส่วนของร่างกาย
เปลวไฟที่ร้อนแรง
ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด
“มะ… ไม่นะ!”
เมื่อสวีหวั่นหลัวหวนนึกถึงเหล่าผู้ติดตามของเขาที่ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปก่อนหน้านี้ ความตื่นกลัวก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทวีคูณ ผู้มีสถานะเป็นถึงอ๋องน้อยส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขารีบโคจรพลังปราณสายฟ้าในร่างกายออกมาต่อสู้ แต่มันก็ทำได้เพียงชะลอการเผาไหม้ลงได้เล็กน้อยเท่านั้น
เพราะบัดนี้ เปลวไฟลุกลามไปทั่วตัวของสวีหวั่นหลัวเรียบร้อยแล้ว
สวีหวั่นหลัวส่งเสียงคำรามโหยหวนแหบแห้ง เสมือนเสียงร้องของวิญญาณร้ายที่กำลังถูกไฟนรกแผดเผา ร่างกายของเขาขดงออยู่บนพื้นห้อง
“ผู้อาวุโสสวี… ได้โปรด…ช่วยข้าด้วย”
เขายื่นมือออกมาพยายามคว้าจับชายชรา
แต่ผู้อาวุโสสวีกลับถอยหลังหนีเหมือนเห็นงูพิษ
“นี่มันพลังจักรพรรดิมังกรไฟไม่ใช่หรือ?”
ชายชราอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตะลึง
การทำให้ยอดฝีมือมีสีหน้าตกตะลึงและหวาดกลัวได้ถึงขั้นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าพลังของหลินเป่ยเฉินไม่ธรรมดาจริงๆ
เด็กหนุ่มก็ไม่รู้หรอกว่าพลังของเขามันคือพลังจักรพรรดิมังกรไฟอะไรนั่นหรือเปล่า
แต่สิ่งที่เขาแน่ใจก็คือ มันเป็นเปลวไฟที่ใช้สังหารศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“อ๊ากกกก…”
สวีหวั่นหลัวร้องโหยหวนพร้อมกับเกลือกกลิ้งไปบนพื้นด้วยความทุรนทุราย
ฉับพลันนั้น เขากระโดดขึ้นมานั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินและพูดว่า “ข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลยนะ… ข้ายังไม่อยากตาย…ข้ายังหนุ่มยังแน่น… แล้วข้าก็เป็นถึงอ๋องด้วย”
สวีหวั่นหลัวถึงกับโขกศีรษะคำนับกับพื้นห้อง
บัดนี้ เปลวไฟลุกลามขึ้นมาถึงศีรษะของเขาแล้ว
หลินเป่ยเฉินมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“คำพูดที่เจ้าเคยพูดกับข้าไว้เมื่อสักครู่นี้ ข้าขอเอามาพูดกับเจ้าบ้างก็แล้วกัน อ๋องน้อยสวี สุดท้ายเจ้าก็หวาดกลัวแล้ว แต่ต่อให้เจ้าคุกเข่าขอร้องอ้อนวอน หรือแม้แต่โขกศีรษะจนสมองไหลออกมา ข้าก็ไม่มีทางให้อภัยเจ้าเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินพูดเน้นย้ำทีละคำ
สวีหวั่นหลัวถูกเปลวไฟกลืนกินไปทั่วทั้งร่าง
เขาเปลี่ยนเป้าหมายหันไปหาผู้อาวุโสซึ่งเป็นองครักษ์ของตนเองด้วยความหมดหวัง “ได้โปรด… ช่วยข้า… ด้วย…”
สีหน้าของผู้อาวุโสร่างกายกำยำยังคงถูกครอบคลุมด้วยความตกตะลึง เขาไม่กล้าเข้าใกล้สวีหวั่นหลัว เหมือนกลัวว่าจะได้รับเปลวไฟเข้ามาถึงตัว จังหวะนั้น ไม่ทราบชายชราชักกระบี่ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาพลิ้วกายเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด
กระบี่ในมือจี้ใส่หน้าผากของเด็กหนุ่ม พร้อมกันนั้นก็ระเบิดเสียงคำรามว่า “เจ้าทารกปีศาจ ดับไฟเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า!”
เขาต้องการข่มขู่หลินเป่ยเฉิน เพื่อช่วยเหลือสวีหวั่นหลัว
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจและกำลังจะลงมือต่อยชายชรา
แต่ในทันใดนั้นเอง
วูบ!
ลำแสงกระบี่อีกหนึ่งสายพุ่งแหวกอากาศมาบนท้องฟ้ายามราตรี
มันมีลักษณะเหมือนลำแสงกระบี่ที่ผู้อาวุโสสวีใช้ช่วยเหลือองค์ชายหนุ่มก่อนหน้านี้ทุกอย่าง แม้ว่าจะอยู่ในระยะไกล แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น มวลพลังกดดันจำนวนมหาศาล ก็กระแทกเข้าสู่จิตใจของผู้อาวุโสสวีอย่างหนักหน่วง
บัดนี้ เป็นฝ่ายของผู้อาวุโสสวีบ้างที่ต้องประหลาดใจ
เขาไม่ได้สนใจหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป เพียงบิดข้อมือเล็กน้อย ก็ตวัดกระบี่ขึ้นมาปัดป้องลำแสงกระบี่ที่พุ่งเข้าหาตัว
ติ๊ง!
เสียงกระบี่ปะทะกันดังขึ้นเล็กน้อย
แล้วร่างของผู้อาวุโสสวีก็เซถอยหลังไปหลายก้าว
“ใครกล้าทำร้ายลูกศิษย์ของข้า?”
เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น
ทุกคนที่ยังอยู่ในห้องรับประทานอาหารรู้สึกเวียนหัวตาลายไปตามๆ กัน
ชายชราร่างผอมในชุดเสื้อคลุมสีขาวทิ้งตัวลงมายืนอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน
เขามีหน้าตาราบเรียบธรรมดา
แต่มีสง่าราศีของการเป็นเซียนกระบี่
เขาคือติงซานฉือ
แทบจะในเวลาเดียวกันนี้ เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของสวีหวั่นหลัวก็ค่อยๆ แผ่วเบาลงไป จนกระทั่งเสียงร้องทุกข์ทรมานนั้นเงียบหายไปในที่สุด
อ๋องน้อยผู้นั้นไม่สามารถต้านทานเปลวไฟของหลินเป่ยเฉินได้เลย
สายลมพัดวูบ
กองขี้เถ้าปลิวไปตามสายลม
บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของอ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อันหายลับไปจากโลกนี้ตลอดกาลแล้ว
แม้แต่เถ้าถ่านก็แทบไม่มีเหลือให้ดูต่างหน้า
“อาจารย์ขอรับ ท่านต้องจัดการผู้เฒ่าคนนั้นให้ได้”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ติงซานฉือพยักหน้าและหมุนตัวหันไปทางผู้อาวุโสสวี
เมื่อชายชราผู้เป็นองครักษ์ของสวีหวั่นหลัวถูกจ้องมองโดยติงซานฉือ เขาก็มีความรู้สึกเหมือนถูกก้อนหินนับพันก้อนทับถมลงมาบนร่างกาย และทำให้ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ
ในเวลาเดียวกันนี้ เมื่อหลินเป่ยเฉินรอดพ้นจากการโจมตี เขาก็มีเวลามากพอที่จะต่อยหมัดออกมาอย่างต่อเนื่อง แล้วคณะผู้ติดตามของสวีหวั่นหลัวที่ยังหลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง ก็มีร่างกายลุกเป็นไฟ ก่อนจะกลับกลายเป็นกองขี้เถ้าบนพื้นห้อง
“ไม่นะ ไม่ ได้โปรดอย่าทำอะไรข้าเลย…”
เมื่อรับรู้ว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามาหาตนเอง หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในคณะก็คลานถอยหลัง พยายามขอร้องอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“สตรีที่มีจิตใจโหดร้ายเช่นเจ้า อยู่ไปก็เป็นอันตรายต่อทุกคนเสียเปล่าๆ”
แววตาของหลินเป่ยเฉินเย็นชาและเต็มเปี่ยมด้วยจิตสังหาร เขาชะงักเพียงเล็กน้อย กำปั้นก็ถูกต่อยออกไปอีกครั้ง
เปลวไฟสีส้มแดงลุกโชนสว่างไสว
“อ๊าก…”
หญิงสาวพยายามวาดกระบี่ปกป้องตนเองจากหมัดของหลินเป่ยเฉิน แต่เพียงยกมือขึ้นเท่านั้น แขนของนางก็ถูกกระแทกจนหักดังกร๊อบ ตัวคนลอยกระเด็นไปในอากาศ และใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว หญิงสาวก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นขี้เถ้าที่ฟุ้งกระจายไปตามสายลม
ติงซานฉือมุมปากกระตุกระริก
เหมือนไม่อยากเชื่อว่าลูกศิษย์ของเขาจะมีจิตใจโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้
คอมเม้นต์