เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 432 บุรุษหน้ากากแดง
ตอนที่ 432 บุรุษหน้ากากแดง
แต่ครั้งนี้บัณฑิตหน้าขาวดำเตรียมตัวรับมืออยู่ก่อนแล้ว
ตัวคนที่เคยยืนหนึ่งพลันกลับกลายแยกเป็นสาม
ฟ้าว!
ลูกศรยิงใส่ร่างที่ยืนอยู่ตรงกลาง แต่มันกลายเป็นภาพลวงตา
ลูกศรดอกนั้นพุ่งทะลวงลงไปที่พื้นดิน หายลับไปจากสายตาในรูขนาดใหญ่เท่านิ้วมือคน
ในเวลาเดียวกันนี้ ร่างที่แยกออกทางซ้ายและทางขวาก็กลับมารวมกันอีกครั้ง
กลายเป็นบัณฑิตใบหน้าขาวดำเพียงหนึ่งเดียว
เขาโบกสะบัดชายเสื้อ
แล้วอาวุธลับหลายชิ้นก็ถูกซัดใส่หลังคากระท่อมด้วยความรวดเร็ว
ต้องไม่ลืมว่าบัณฑิตใบหน้าขาวดำมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 1 การโจมตีของเขานอกจากจะรวดเร็วแล้ว ยังรุนแรงอีกด้วย
วูบ!
แผ่นไม้บนหลังคากระเด็นออกไป
เศษอิฐเศษไม้ร่วงกราวลงมา
ใครคนหนึ่งทิ้งตัวลงมาจากด้านบนหลังคา
ระหว่างที่ตัวคนลอยอยู่ในอากาศ เสียงของสายธนูก็ดีดตัวดังขึ้นอีกครั้ง
ศรมังกรเหล็กถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่ทราบเลยว่าบัณฑิตหน้าขาวดำนำกระบี่ทองคำออกมาถือในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ เพียงเขาสะบัดมือเร็วไว ลูกศรที่ยิงออกมาก็ถูกปัดป้องได้หมดสิ้น
แต่ว่า…
เปรี๊ยะ!
กระบี่ทองคำในมือของบัณฑิตหนุ่มแตกกระจาย
“นี่มันอะไรกัน?”
สีหน้าของบัณฑิตหนุ่มแปรเปลี่ยนไปทันที
กระบี่ทองคำในมือเขาผลิตขึ้นมาจากนักหลอมศาสตราวุธที่ใช้แร่ทองคำและทองแดงชนิดพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่โคจรพลังปราณธาตุดินเข้าใส่ มันจะมีความแข็งแกร่งทนทานไม่สามารถแตกหักได้ง่ายๆ
แต่ลูกศรจำนวนไม่กี่ดอกเหล่านี้กลับทำให้กระบี่ของเขาแตกหักแล้ว
อีกฝ่ายต้องมีพลังสูงส่งขนาดไหนกัน?
บัณฑิตหนุ่มใบหน้าขาวดำพยายามขบคิด
แต่ในจังหวะนั้น เขาก็ได้ยินเสียงลูกศรถูกยิงออกมาอีกครั้ง
บัณฑิตหนุ่มใบหน้าขาวดำใช้วิชาตัวเบากระโดดหลบด้วยความรวดเร็ว
ฟ้าว!
ลูกศรพุ่งเข้ามาถึงตัวเร็วกว่าที่คิด มันเคลื่อนที่เป็นเสมือนเงาเส้นผมสีดำสนิท มิหนำซ้ำ ระดับพลังของมันยังสามารถทะลวงผ่านม่านพลังที่คุ้มครองร่างกายของบัณฑิตหนุ่มเข้ามาได้อย่างง่ายดาย แล้วเลือดเป็นสายก็พุ่งกระฉูดออกมาจากหัวไหล่ของเขาเมื่อคมธนูปักเข้าใส่
แรงกระแทกที่เกิดขึ้นทำให้บุรุษใบหน้าสองสีต้องเซถอยหลังไปหลายก้าว กว่าจะสามารถตั้งหลักยืนอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง
ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบัณฑิตหนุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มือธนูมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?
หรือว่าเป็นคนของจักรวรรดิจี้กวง?
“ไม่ทราบว่าผู้สูงส่งเป็นใครหรือ?”
บัณฑิตหนุ่มอดถามออกไปไม่ได้
แต่เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายหนึ่งทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนพื้นดินถนัดตา กงเมิ่งก็ถูกดึงตัวไปยืนอยู่ด้านหลังด้วยความตกตะลึง และยามที่แขกไม่ได้รับเชิญเดินผ่านพวกของกงกง เชือกที่พันธนาการร่างกายของผู้ถูกจับเป็นตัวประกันก็ขาดออกจากกัน รวมถึงมือธนูปริศนายังถ่ายทอดพลังลมปราณให้แก่กงกงผู้บาดเจ็บอีกด้วย
“พวกเจ้าอยู่ในนี้ห้ามออกมาเด็ดขาด”
บุรุษปริศนาร้องตะโกน
เขากำลังใช้ปลายลูกธนูดอกหนึ่งแทนปากกาขีดเขียนวงกลมขนาดใหญ่บนพื้นดิน ในเวลาเดียวกันนั้น มือซ้ายก็ตวัดในอากาศ แล้วของเหลวสีแดงเข้มก็ถูกเทราดลงไปตามเส้นวงกลมเหล่านั้น
เส้นวงกลมสีแดงเหล่านี้คือค่ายอาคมที่ช่วยปกป้องคุ้มครองกงเมิ่ง กงกงและสมาชิกตระกูลกงคนอื่นๆ ให้ปลอดภัย
“ท่าน…”
กงเมิ่งไม่มีเวลาได้มองหน้าผู้มาช่วยเหลืออย่างถนัดถนี่สักเท่าไหร่
นางเห็นเพียงแต่ว่าเขาสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีขาวและใบหน้านั้น…
เอ๊ะ?
ใบหน้านั้นสวมใส่หน้ากากสีแดง
นับว่าเป็นหน้ากากที่แปลกประหลาดมาก
มันมีสีแดงเข้ม
วิธีการสวมใส่ไม่ใช่สวมทับใบหน้า
แต่เป็นครอบคลุมลงมาจากด้านบนศีรษะ ปิดบังลงมาถึงจมูก มีรอยเว้าสองข้างบริเวณดวงตาให้สามารถมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน และรอยเว้าเหล่านี้เองก็เป็นสิ่งที่ทำให้หน้ากากชิ้นนี้แตกต่างจากหน้ากากทั่วไป
ในเวลาเดียวกันนั้น
บัณฑิตใบหน้าขาวดำที่มีเลือดไหลทะลักออกมาจากหัวไหล่ ก็กำลังจ้องมองบุรุษหน้ากากแดงด้วยความไม่แน่ใจเช่นกัน
สำนักไหนกันนะที่มีหน้ากากสีแดงเช่นนี้?
หรือว่าเขาจะเป็นวีรบุรุษชื่อดังสักคนในยุทธภพ?
แต่เมื่อลองทบทวนข้อมูลดูแล้ว บัณฑิตหนุ่มก็ไม่พบว่ามีจอมยุทธ์ท่านใดสวมใส่หน้ากากเช่นนี้เลย
“ไม่ทราบว่าท่านผู้สูงส่งเป็นใครมาจากไหนหรือ?”
บุรุษหนุ่มใบหน้าสองสีรอคอยคำตอบด้วยความเคร่งเครียด เขาไม่กล้าแสดงความเป็นศัตรูออกไปอย่างชัดเจนสักเท่าไหร่
คำนวณดูจากฝีมือการยิงธนูแล้ว บัณฑิตหน้าขาวดำมั่นใจว่าบุรุษหน้ากากแดงฝ่ายตรงข้าม ต้องมีพลังไม่ต่ำกว่าขั้นยอดปรมาจารย์เช่นกัน
เส้นวงกลมที่ล้อมรอบผู้คนตระกูลกงเกิดความเคลื่อนไหวเล็กน้อย ก่อนที่ม่านพลังสีแดงจะลุกโชนขึ้นมาเหมือนเปลวไฟ มองไปมองมาจึงเหมือนพวกของกงกงกำลังถูกเผาอยู่กลางกองไฟ ไม่รู้เลยว่าเป็นภาพที่ชวนให้มั่นใจในความปลอดภัยหรือชวนให้รู้สึกน่ากลัวมากกว่าเดิมกันแน่
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรสามารถทะลวงผ่านม่านพลังไฟเข้าไปได้เลย
พลัน บัณฑิตใบหน้าขาวดำนึกขึ้นมาได้ว่าบุรุษหนุ่มหน้ากากแดงยังมีความชำนาญเรื่องยาพิษ เพราะสามารถวางยาสลบผู้ฝึกยุทธ์ถึงเจ็ดคนรวดในเวลาอันรวดเร็ว
นอกจากชำนาญเรื่องการยิงธนูแล้ว ยังมีความเจนจัดทางด้านยาพิษอีกอย่างนั้นหรือ…
และเห็นได้ชัดว่าบุรุษหนุ่มหน้ากากแดงมีเจตนามาช่วยเหลือผู้คน
เขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกกงกง
ถ้าอย่างนั้น ข่าวที่บัณฑิตใบหน้าขาวดำได้รับมาก่อนหน้านี้ก็เป็นข่าวลวงน่ะสิ
ไหนว่าตระกูลกงเป็นเพียงตระกูลต่ำต้อย ไม่มีใครคอยช่วยเหลือดูแลไงล่ะ?
ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก บัณฑิตหนุ่มก็คงเปลี่ยนเป้าหมายไปเล่นงานคนอื่นแล้ว
อีกฝั่งหนึ่ง
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินที่อำพรางอยู่ภายใต้ “หน้ากาก” กำลังมีความลำบากใจเล็กน้อย
“เฮ้อ ทำไมเราถึงได้โง่แบบนี้นะ…”
เด็กหนุ่มนึกเสียใจกับเรื่องราวที่ได้ตัดสินใจทำไปเมื่อสามวันที่แล้ว
เขาไม่ควรนำถุงเก็บสมบัติสีแดงที่สามารถทนทานพลังปราณธาตุไฟไปเปลี่ยนสภาพเป็นกางเกงในเลย
เขาควรจะเปลี่ยนมันเป็นหน้ากากมากกว่า
เพราะระหว่างการสวมใส่หน้ากากกับสวมใส่กางเกงใน มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร
ยกตัวอย่างเช่น หากเขาใช้พลังจนต้องเปลือยกายต่อหน้าสาธารณชน แม้จะมีกางเกงในสวมใส่อยู่ก็ตาม แต่ชาวเมืองย่อมจดจำใบหน้าของเขาได้แล้ว และหลินเป่ยเฉินก็จะถูกพูดถึงไปอีกนานแสนนานในฐานะเจ้าคนโรคจิตประจำเมือง
แต่ถ้าเขามีหน้ากากปิดบังใบหน้า ต่อให้เปลือยกายล่อนจ้อน ก็ไม่มีใครสามารถจดจำได้อีกแล้ว
เพราะทุกคนจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
“แต่ก็ยังโชคดีที่ถือว่าเราเป็นคนหัวไวพอสมควรนะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินอดชื่นชมตัวเองอยู่ในใจไม่ได้ เพราะในจังหวะที่แน่ใจว่าการต่อสู้ครั้งนี้ เขาต้องใช้พลังปราณธาตุไฟแน่ๆ หลินเป่ยเฉินก็รีบนำกางเกงในออกมาคลุมศีรษะของตนเองเพื่อปิดบังใบหน้าแทนหน้ากากทันที
ฮ่าฮ่าฮ่า
ทำไมเขาถึงได้พลิกแพลงเก่งขนาดนี้นะ
พรึบ!
เด็กหนุ่มหยิบศรมังกรเหล็กดอกใหม่ออกมาประทับไปบนธนู ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็โคจรพลังลมปราณในร่างกาย
ลูกธนูติดไฟโดยทันที
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีพลังระดับยอดปรมาจารย์ แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินต้องทุ่มเทสุดกำลัง
เปลวไฟสีส้มผสมแดงเข้มลุกโชนทั่วร่างกายของเขา
หลินเป่ยเฉินกลายเป็นมนุษย์เพลิงอีกครั้ง
เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
เปิดเผยให้เห็นร่างกายกำยำปราศจากราคี
กล้ามแขนเป็นมัด กล้ามหน้าท้องเห็นเด่นชัด…
ขนหน้าอกและขนหน้าแข้งรุงรัง รวมถึงขน…
มีเพียงหน้ากากสีแดงบนใบหน้าเท่านั้นที่ไม่ถูกเปลวไฟเผาไหม้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาจึงยังคงถูกปกปิดอยู่เช่นเดิม และมีเพียงดวงตาที่เป็นประกายแวววาวเท่านั้นที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถจ้องมองได้
เรื่องมันช่างน่าอาย
น่าอ๊าย น่าอาย
แต่คงไม่มีใครจำเขาได้อยู่แล้วมั้ง
หลินเป่ยเฉินพยายามปลอบใจตนเอง
เขารีบตั้งสติโดยเร็วไว
เมื่อจิตใจมีสมาธิแน่วแน่ นิ้วมือของหลินเป่ยเฉินก็เริ่มขยับเขยื้อน
เด็กหนุ่มนำมือมาพนมบริเวณหน้าอก นิ้วมือของเขาขยับบานเข้าบานออกเหมือนกลีบดอกบัว
แล้วม่านพลังก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
มวลอากาศปั่นป่วน เปลวไฟจากร่างกายของหลินเป่ยเฉินรวมตัวกันเป็นมังกรขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง
เปลวไฟสีส้มแผดแสงจ้าสว่างไสว ค่ายอาคมจำนวนมากถักทอคาบเกี่ยวกันเหมือนใยแมงมุม ครอบคลุมพื้นที่ทุกสัดส่วนรอบกายเด็กหนุ่ม
กว่าที่บัณฑิตใบหน้าสองสีจะสามารถตั้งสติได้ กระบี่มังกรไฟสองเล่มก็ค่อยๆ โผล่พ้นออกมาจากช่องว่างในอากาศ
มันเหมือนกับอาวุธวิเศษที่ทะลุมิติมาจากโลกอื่น
นี่คือความน่ากลัวของการฝึกวิทยายุทธ์ระดับ 5 ดาว
นี่คือวิชาที่เรียกว่ากระบี่คู่มังกรไฟ!
ได้เวลาโจมตีแล้ว!
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไปยึดกุมด้ามจับกระบี่ทั้งสองเล่ม
เขาตวัดกระบี่ฟันเป็นแนวขวาง
วูบ!
คมกระบี่พุ่งเข้าใส่บัณฑิตหนุ่มใบหน้าขาวดำ
“วิชากระบี่ที่ประเสริฐ” สีหน้าของบุรุษหนุ่มใบหน้าสองสีแปรเปลี่ยนไปอีกครั้งและอีกครั้ง “ผู้ที่มีทักษะการยิงธนูยอดเยี่ยม มีความชำนาญเรื่องการใช้ยาพิษ มีร่างกายกำยำแข็งแกร่ง ซ้ำยังมีวิชากระบี่เป็นเลิศ…ไม่ทราบว่าท้ายที่สุดแล้ว บุคคลผู้นี้เป็นใครกันแน่”
คำถามมากมายเกิดขึ้นในจิตใจ
แต่เขาไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีก นอกจากตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม
“ท่านจะได้รู้จักความน่ากลัวของวิชามัจจุราชขาวดำ… กระบี่มัจจุราช!”
กระบี่ทองคำอีกเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของบัณฑิตหนุ่ม ในเวลาเดียวกันนั้น เงาของกระบี่อีกหลายร้อยเล่มก็รวมตัวกันมาอยู่ในกระบี่ทองคำเล่มนี้ ทำให้กระบี่ในมือของบัณฑิตหนุ่มหน้าสองสีมีแสงสว่างเจิดจ้าเหมือนเขากำลังถือดาบเลเซอร์อย่างไรอย่างนั้น
ครืน!
เมื่อตวัดกระบี่ มวลพลังก็ถูกปลดปล่อยออกมา
พลังทำลายล้างของกระบี่มัจจุราชมีความรุนแรงมากเสียจนหลังคาของกระท่อมไม้ปลิวกระเด็นออกไป ในขณะที่กำแพงบางส่วนก็ถึงกับพังถล่มลงมาแล้ว
คอมเม้นต์