เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 815 คุณชายหลินเปรียบเสมือนบิดาคนที่สองของข้า
ตอนที่ 815 คุณชายหลินเปรียบเสมือนบิดาคนที่สองของข้า
มุมปากของหลินเป่ยเฉินบิดตัวเป็นรอยยิ้ม
หึหึ
เป็นไงล่ะ
ไม่ว่าอย่างไรทุกคนก็ยังให้ความเคารพเขาอยู่ดี
ให้ตายสิ
เมื่อตะกี้หลงเสียความมั่นใจไปได้ยังไงนะ?
หลินเป่ยเฉินไม่รบกวนพวกของอานมู่ซีอีก เขารีบหมุนตัวเดินออกมาพร้อมกับกงกง มุ่งหน้าตรงไปยังที่พักของกลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมือง
“คารวะท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร”
บริเวณทางเดินเข้าสู่ที่พักทหาร ปรากฏสมาชิกหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองในเครื่องแบบเต็มยศจำนวนหนึ่งมานั่งคุกเข่าข้างหนึ่งเรียงแถวเต็มพรืดทั้งสองฝั่ง สายตาที่จ้องมองมายังหลินเป่ยเฉินนั้นเต็มไปด้วยความเคารพเทิดทูนเป็นอย่างยิ่ง
ทางเดินทอดยาวไปข้างหน้า
หวังจงวิ่งสวนเข้ามาพูดว่า “นายน้อยขอรับ…”
เพี๊ยะ!
“ที่นี่คือที่พักของพวกทหาร เจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร”
หลินเป่ยเฉินตบท้ายทอยชายชราอย่างแรง
“รับทราบขอรับ ท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร…”
หวังจงรีบเปลี่ยนคำเรียกขานและกล่าวต่อ “หวังจงเป็นคนควบคุมการจับกุมตัวเว่ยหมิงเซวียนด้วยตนเองขอรับ บัดนี้ พวกมันถูกคุมตัวอยู่ด้านใน รอคอยให้นายท่านเข้าไปจัดการ และนี่คือบัตรเก็บเงินสดมูลค่าหนึ่งล้านเหรียญทองคำ นายน้อยลองตรวจสอบดูก่อน ส่วนข้าวของอื่นๆ ที่ยึดได้จากที่พักของเว่ยหมิงเซวียน หวังจงก็สั่งให้คนเคลื่อนย้ายมาเก็บเอาไว้ที่หมู่บ้านผู้อพยพเรียบร้อยแล้วขอรับ…”
“หืม?”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับ รับบัตรเก็บเงินสดมาสูดดมและพูดด้วยความพอใจ “ไม่เลวเลยนี่นา นับว่าท่านรู้ใจข้ามากที่สุดแล้ว ลุงหวัง”
หวังจงยิ้มแป้น “โฮะโฮะโฮะ เรื่องนั้นต้องแน่นอนอยู่แล้วขอรับ หวังจงเป็นคนเลี้ยงนายน้อยมาเองกับมือ มีหรือที่บิดาจะไม่รู้ใจลูกชายตัวเอง…”
“ประเสริฐ ความดีความชอบครั้งนี้ ขอยกให้ท่านแต่เพียงผู้เดียว”
หลินเป่ยเฉินพูดจบก็ขยับเดินหน้าอีกสองก้าวถึงจะรู้ตัวว่า…
นี่หวังจงพูดว่าเขาเป็นลูกชายอีกแล้วเหรอ?
แต่เมื่อหันขวับไปมองด้านหลัง เด็กหนุ่มก็พบว่าหวังจงหนีหายไปเรียบร้อยแล้ว
…
ในกระโจมหลังใหญ่
เว่ยหมิงเซวียนและลูกสมุนของป้อมอสรพิษ รวมไปถึงบริวารของอดีตเจ้าเมืองเหลียงหยวนเตา ต่างก็ถูกนายทหารคนงานขุดเหมืองจับกุมตัวกันอย่างถ้วนหน้า พวกเขาถูกปลดเปลื้องเสื้อผ้า หลงเหลือเพียงกางเกงชั้นใน มือถูกจับไขว้หลังใส่โซ่ตรวน ใบหน้าของแต่ละคนฟกช้ำดำเขียว คุกเข่าอยู่บนพื้นดินด้วยความหมดหวัง…
ขันทีหลินฮุนในชุดเสื้อคลุมสีขาวยืนรักษาการณ์อย่างสงบสุขุม
หลินเป่ยเฉินเดินเข้ามา
“คารวะท่านแม่ทัพ”
หลินฮุนประสานมือคำนับ
จังหวะการยกมือและคำพูดสอดประสานอย่างแม่นยำ
หลังจากต้องรับใช้ขุนนางใหญ่ผู้มีอารมณ์แปรปรวนอย่างเหลียงหยวนเตามายาวนานหลายสิบปี หลินฮุนย่อมรู้ดีว่าควรแสดงความเคารพต่อผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าอย่างไร
“คนไหนคือเว่ยหมิงเซวียน?”
หลินเป่ยเฉินเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง และกวาดสายตามองหน้ากลุ่มนักโทษหลายสิบคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“เฮอะ”
หนึ่งในกลุ่มนักโทษที่มีใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะในลำคอ “เมื่อวันก่อนเจ้าก็เคยเห็นข้ามาแล้ว อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้”
“เจ้าโง่”
หลินเป่ยเฉินพูด “ข้าก็แค่อยากลองหยั่งเชิงเจ้าดูเท่านั้น… ปากดีเช่นนี้ หลินฮุนสั่งสอนมันซะ”
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
ได้ยินเสียงตบแก้มดังขึ้นติดๆ กัน
เป็นฝ่ามือของหลินฮุนที่ตบกระทบใบหน้าเว่ยหมิงเซวียน
หลังจากนั้น ขันทีชราก็ประคองม้วนกระดาษมาส่งมอบให้แก่หลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “กราบเรียนท่านแม่ทัพ นี่คือรายชื่อนักโทษทุกคนที่เราจับกุมตัวมาได้ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนของป้อมอสรพิษหรือมือปราบอินทรีธูมรณะล้วนไม่มีตกหล่นแม้แต่คนเดียว ขอเชิญท่านแม่ทัพตรวจสอบดูขอรับ”
หลังจากที่หลินเป่ยเฉินรับม้วนกระดาษไปคลี่ออกดู เขาก็พบว่ามันเป็นรายชื่อของคนจำนวนนับพันเลยทีเดียว
เรียบร้อย
ใช้เวลาไม่ถึงสองวัน ลูกน้องเก่าของเหลียงหยวนเตาก็ถูกกวาดล้างหมดสิ้น
ม้วนกระดาษนี้ให้ข้อมูลอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นชื่อ อายุ เพศ ระดับพลังและตำแหน่งประจำตัวของนักโทษแต่ละคนล้วนถูกระบุอย่างชัดเจน เป็นการยืนยันว่าผู้ที่ถูกจับกุมตัวมาในครั้งนี้ ไม่ใช่แพะรับบาปที่ถูกใส่ความแน่นอน
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ
นี่สินะความสามารถของหลินฮุน
สมแล้วที่ทำงานรับใช้เหลียงหยวนเตามานานปี ความสามารถในการจัดการเรื่องราวต่างๆ ทำได้ดีเยี่ยมยิ่งกว่าไอ้แก่หวังจงตั้งหลายเท่า
เมื่อดูม้วนกระดาษรายชื่อจบแล้ว หลินเป่ยเฉินก็นิ่งเงียบใช้ความคิด
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้พวกของตนเองจะจับกุมตัวฝ่ายตรงข้ามได้เป็นพันคน แล้วจะทำยังไงต่อดีนะ?
ฆ่าทิ้งให้หมดเลยดีไหม?
เสียของเกินไป
ต้องไม่ลืมว่านักโทษจำนวนนับพันชีวิตเหล่านี้เป็นผู้มีความสามารถ บางคนเป็นมือกระบี่ บางคนเป็นผู้ใช้ค่ายอาคม บางคนเป็นนักหลอมโอสถและอื่นๆ อีกมากมาย
บัดนี้ กำแพงเมืองกำลังถูกโจมตี คงดีไม่น้อยถ้าใช้นักโทษเหล่านี้เป็นหน่วยกล้าตายออกไปตัดกำลังศัตรู อย่างน้อยนี่ก็เป็นโอกาสที่นายทหารของพวกเขาจะได้พักบ้าง
แต่จะทำให้นักโทษพวกนี้เชื่อฟังได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิดรวดเร็ว แล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง
บุรุษผู้นี้มีนามว่าฉางกวนหว่าง ร่างกายอ้วนกลม บุคลิกเหมือนพวกเศรษฐีอยู่ดีกินดี สถานะไม่ต่ำต้อย เป็นถึงอาจารย์ใหญ่ในสำนักศึกษาแห่งหนึ่งของนครเจาฮุย แม้ไม่เคยถูกพบเห็นอยู่กับเหลียงหยวนเตามาก่อน แต่ชายอ้วนผู้นี้นี่แหละที่เป็นหนึ่งในคนสนิทของท่านเจ้าเมืองจอมวิปริตตัวจริงเสียงจริง
ไม่มีใครรู้เลยว่าฉางกวนหว่างเป็นคนของเหลียงหยวนเตา แต่ด้วยความที่หลินฮุนสืบค้นข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ ขันทีชราจึงขุดข้อมูลนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ ความลับอันดำมืดถูกเปิดโปง ไม่มีใครรู้เลยว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฉางกวนหว่างส่งศิษย์ในสถานศึกษาของตนเองมาเป็นของกำนัลให้เหลียงหยวนเตารับประทานมากมายแค่ไหน
เท่ากับว่าชายอ้วนคนนี้มือเปื้อนเลือดแล้ว
เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินมองมาที่ตนเอง ฉางกวนหว่างก็เบิกตาโต ตัวแข็งทื่อ ได้แต่มองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความหวาดกลัว
“ข้าเป็นคนของทางราชการ ข้าได้รับการแต่งตั้งมาจากวังหลวง หลินเป่ยเฉิน เจ้าถือดีมาจากไหน เจ้าจับกุมข้าด้วยข้อหาอันใด?”
ฉางกวนหว่างพยายามรวบรวมความกล้า ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดุร้าย
หลินเป่ยเฉินโยนม้วนกระดาษกลับลงไปบนโต๊ะตัวหนึ่งและถามว่า “อาจารย์ฉาง เหตุไฉนท่านถึงต้องก่อกบฏด้วย?”
ว่าไงนะ?
ก่อกบฏอะไรกัน?
ฉางกวนหว่างขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจและคำรามออกมาฉุนเฉียว “ข้าทำทุกอย่างตามคำสั่งของท่านเจ้าเมืองเหลียงหยวนเตา มันจะถือเป็นการก่อกบฏได้อย่างไร? หลินเป่ยเฉิน เจ้าต่างหากที่ไม่มีตำแหน่งรับผิดชอบทางการเมือง แต่กลับสังหารเจ้าหน้าที่บ้านเมืองตกตายดั่งใบไม้ร่วง โดยเฉพาะเจ้าเป็นคนสังหารท่านเจ้าเมืองของพวกเรา ถือว่าขวัญกำลังใจของเจ้าเข้มแข็งไม่น้อย”
หลินเป่ยเฉินพูดตัดบทว่า “ในเมื่อเหลียงหยวนเตาเป็นกบฏแผ่นดิน บริวารของเขาก็ต้องถือเป็นกบฏแผ่นดินด้วยเช่นกัน”
“นี่เจ้า…”
ฉางกวนหว่างคำรามออกมาด้วยความร้อนรนใจอีกครั้ง “เจ้า เจ้า เจ้า… ถึงแม้ว่าท่านเจ้าเมืองจะเป็นกบฏแผ่นดินจริงๆ แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตัดสินด้วยตนเอง? เจ้ามีหลักฐานหรือไม่? อย่าได้เที่ยวกล่าวหาผู้อื่นส่งเดชเช่นนี้”
หลินเป่ยเฉินชักอารมณ์เสียขึ้นมาแล้วสิ
ก็ในเมื่อเขาบอกว่าเหลียงหยวนเตาเป็นกบฏแผ่นดิน แล้วยังจะต้องการหลักฐานอะไรอีก?
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก พูดว่า “ในที่สุดก็ยอมรับแล้วสินะ”
ฉางกวนหว่างเบิกตาโต
เขายอมรับตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ในใจเริ่มเกิดความวิตกกังวลขึ้นมา
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยกมือขึ้นดีดนิ้ว
ป๊อก!
ยาลูกกลอนสีเงินเม็ดหนึ่งพุ่งเข้าไปในปากของฉางกวนหว่าง
“เดี๋ยวก่อนนะ… เจ้าทำอะไร?”
เสียงของฉางกวนหว่างเปลี่ยนไปทันที
“อิอิ ข้าจะให้เจ้าได้ลองลิ้มรสยาพิษไฟโลกันต์ของข้า…”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
รอยยิ้มของเขาทำให้นักโทษทุกคนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
ตอนนั้นเองที่ฉางกวนหว่างนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นบุคคลสมองเสื่อม มักจะทำเรื่องที่คนปกติไม่ทำกันเสมอ
แม้แต่เหลียงหยวนเตาก็ยังต้องตายด้วยน้ำมือของหลินเป่ยเฉิน แล้วเขาจะไปหนีรอดได้อย่างไร?
จริงอยู่ที่ว่าเหลียงหยวนเตามีพฤติกรรมอันผิดปกติและวิปริต แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าท่านเจ้าเมืองถูกวิญญาณปีศาจเข้าครอบงำ แต่เด็กหนุ่มผู้นี้…
คิดมาถึงตรงนี้ ฉางกวนหว่างก็รู้สึกร่างกายร้อนผ่าว
พลันเกิดเปลวไฟสีเงินพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ผิวหนังของเขา
“อ๊าก…”
ฉางกวนหว่างส่งเสียงร้องโหยหวนและดิ้นทุรนทุราย
แต่ไม่มีใครช่วยเหลือเขาได้เลย
ยิ่งนักโทษทุกคนเห็นฉางกวนหว่างตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ทรมานเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งหมดหวังที่จะรอดชีวิตมากกว่าเดิม
นักโทษหลายสิบคนตื่นกลัวจนแข้งขาอ่อนแรง หลายคนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้วด้วยซ้ำ
นับว่าหลินเป่ยเฉินบ้าคลั่งมากเกินไป
ถ้าไม่เห็นด้วย ก็จะถูกเขาจับเผาทั้งเป็น
ฉางกวนหว่างเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มนักโทษ แม้แต่กฎหมายบ้านเมืองก็ยังเอาผิดอะไรชายอ้วนผู้นี้ไม่ได้ แต่บัดนี้ ฉางกวนหว่างกลับมีสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้นดินด้วยความทรมานสุดขีด
แล้วพวกเขาเล่า?
ก่อนหน้านี้ กลุ่มนักโทษจำนวนหนึ่งมีความคิดที่จะย้ายฝั่งยอมทำงานให้แก่หลินเป่ยเฉินเพื่อความอยู่รอด แต่ตอนนี้ นั่นคือความต้องการที่แท้จริงของพวกเขาแล้ว!
เพราะว่าการทรมานเช่นนี้มันโหดร้ายมากเกินไป
สู้ชักกระบี่ออกมาฆ่ากันให้ตายยังเจ็บปวดน้อยกว่า
แต่การถูกเผาทั้งเป็นจนตายนั้น…
ช่างน่าสยองขวัญเหลือเกิน
“อ๊ากกก…”
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของฉางกวนหว่างดังกังวานไปทั่วกระโจมใหญ่
สภาพของชายอ้วนในขณะนี้กลายเป็นมนุษย์เพลิงสีเงินนอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความทุกข์ทน
“คิดเป็นศัตรูกับข้า ก็ต้องมีจุดจบเช่นนี้” หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองกลุ่มนักโทษผ่านๆ อีกครั้งและออกคำสั่ง “จับตัวพวกมันไปเผาทั้งเป็นให้หมด”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่านักโทษก็แทบจะเป็นลมกันเลยทีเดียว
“ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย…”
“คุณชายหลินขอรับ ตอนที่คุณชายเปิดสถานศึกษา ข้าน้อยก็อยากส่งครอบครัวมาเข้าเรียนเช่นกัน…”
“ท่านแม่ทัพได้โปรดเมตตาพวกเราด้วย ข้าน้อยขอยอมแพ้ ข้าน้อยยินดีทำทุกอย่างเพื่อไถ่บาปในอดีต…”
กลุ่มคนที่นั่งคุกเข่าอยู่แถวหน้าพร้อมใจกันส่งเสียงร่ำร้องออกมา
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินดูจะผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย “พวกเจ้ายินดีไถ่บาปจริงหรือ?”
“จริงแท้แน่นอนขอรับ…”
“พวกเรายินดีทำทุกอย่างตามคำสั่งของคุณชาย…”
“พวกเรายินดีเป็นข้ารับใช้ท่านแม่ทัพตลอดไป…” เมื่อเห็นนายทหารแถวหน้ายอมศิโรราบต่อหลินเป่ยเฉิน นายทหารคนอื่นๆ ก็เริ่มโขกศีรษะคำนับเขาแล้วเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินใช้ความคิดอีกเล็กน้อยก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเอาเช่นนี้… ว่าแต่ข้าจะเรียกใครนะ…”
เขาจะต้องเรียกใครนะ?
หลินเป่ยเฉินกำลังจะเรียกชื่อคนผู้หนึ่งออกมาสั่งงาน แต่แล้วเขากลับนึกไม่ออกว่าตนเองต้องเรียกใคร
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
“กงกงมาแล้วขอรับนายท่าน”
คนขับรถม้าร่างกายกำยำพลันปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขาราวกับวิญญาณผู้รู้ใจ
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งว่า “เจ้าคอยดูแลนักโทษกลุ่มนี้ พกยาพิษไฟโลกันต์ติดตัวไปด้วย ส่งพวกมันไปประจำการที่กำแพงเมือง หากนักโทษคนไหนมีท่าทีเกียจคร้านไม่อยากออกไปต่อสู้ ให้เอายาพิษไฟโลกันต์กรอกปากทันที ยาพิษชนิดนี้จะทำให้พวกมันถูกเผาทั้งเป็นและต้องทรมานอยู่สามวันสามคืนกว่าจะเสียชีวิต…”
กงกงไม่เสียเวลาถามสักนิดว่ายาพิษไฟโลกันต์คืออะไร
เขาหันกลับมาโบกมือวูบ แล้วหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองจำนวนหนึ่งก็เดินเข้ามาลากตัวนักโทษออกไป
“ขอบคุณคุณชายหลินมากขอรับ…”
“คุณชายหลินเปรียบเสมือนบิดาคนที่สองของข้าน้อย”
“พวกเราจะตั้งใจทำงานรับใช้คุณชายอย่างเต็มที่เลยขอรับ”
กลุ่มนักโทษตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
ตราบใดที่ไม่ต้องถูกไฟสีเงินนั้นเผาทั้งเป็นเหมือนฉางกวนหว่าง อย่าว่าแต่ให้ออกไปสู้รบที่กำแพงเมืองเลย ต่อให้พวกเขาต้องรับประทานอุจจาระ ทุกคนก็ไม่คิดปฏิเสธอีกแล้ว
“เดี๋ยวก่อน ปล่อยเขาไว้ที่นี่”
หลินเป่ยเฉินยกมือชี้ไปที่เว่ยหมิงเซวียนซึ่งมีใบหน้าบวมปูดเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว
เขายังคุยธุระกับหมอนี่ไม่เสร็จ
หลินเป่ยเฉินยังไม่รู้เลยว่าโอสถวิญญาณโลหิตคืออะไรกันแน่
แล้วก็กระจกมารโลหิตนั่นอีก…
อย่างน้อยเว่ยหมิงเซวียนคงต้องรู้ข้อมูลอะไรบ้างละนะ
คอมเม้นต์