เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 1068 ช่วงเวลาแห่งการชำระแค้น

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว ตอนที่ 1068 ช่วงเวลาแห่งการชำระแค้น อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 1,068 ช่วงเวลาแห่งการชำระแค้น

โลหิตสาดกระจาย

เศษกระดูกปลิวว่อน

ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสามและผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ระดับสี่ ต่างก็กลายเป็นเศษเนื้อกองหนึ่งเมื่อเผชิญเข้ากับไม้คทาในมือหลินเป่ยเฉิน

“อุ๊วะฮ่า ๆๆ ข้าอยากจะ… อ้าว ตายหมดแล้วซะงั้น?”

หลินเป่ยเฉินควงไม้คทาในมือ

คราวนี้ เป้าหมายของเขาอยู่ที่ศีรษะของเจ้าสำนักหลอมตะวัน

สีหน้าของผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายแปรเปลี่ยนไปในพริบตา เขาผงะก้าวถอยหลัง พร้อมกันนั้นก็โคจรพลังลมปราณ และสร้างม่านพลังรูปทรงเปลือกไข่ขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของตนเอง

บนม่านพลังนั้นปรากฏอักขระมากลวดลายหลากหลายสีสัน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ม่านพลังธรรมดา แต่เป็นค่ายอาคมชนิดหนึ่ง ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ก็ไม่มีสิ่งใดจะสามารถทะลวงเข้าไปในม่านพลังเปลือกไข่นี้ได้อีกแล้ว

“เกราะดวงตะวัน!”

ชายชราระเบิดเสียงคำราม

นี่คือวิชาเฉพาะตัวของเขา

ชื่อของสำนักหลอมตะวัน ก็มาจากวิชาเกราะดวงตะวันนี่เอง

เปรี้ยง!

ไม้คทาในมือหลินเป่ยเฉินฟาดลงมาด้านบนของม่านพลังรูปทรงเปลือกไข่

เปรี๊ยะ!

ได้ยินเสียงเหมือนแก้วแตกร้าวดังขึ้น

และรอยแตกร้าวก็ปรากฏขึ้นบนม่านพลังจริง ๆ

“นี่มันอะไรกัน?”

เจ้าสำนักหลอมตะวันเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ

เขาไม่เชื่อว่าเกราะดวงตะวันของตนเองจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของหลินเป่ยเฉิน

อย่างน้อยก็สมควรซื้อเวลาให้พวกเขาได้มากกว่านี้

แต่ปรากฏว่า เกราะดวงตะวันปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นมาแล้ว

และเจ้าสำนักหลอมตะวันก็รู้สึกว่าม่านพลังของตนเองกำลังจะพังทลายลงไปในไม่ช้า เพราะบัดนี้ เขาสัมผัสได้ถึงมวลพลังลมปราณจำนวนมหาศาลที่แผ่กดดันเข้ามา…

“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย… อ๊าก”

หลังจากส่งเสียงกรีดร้องออกมา ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าท่านเจ้าสำนักหลอมตะวันและม่านพลังเกราะดวงตะวันที่เขาภูมิใจเป็นนักหนานั้น กลับต้องพ่ายแพ้ให้แก่อานุภาพการโจมตีของไม้คทาในมือหลินเป่ยเฉิน

ม่านพลังสลายลงแล้ว

ตัวคนก็สลายลงแล้ว

บรรดาผู้ติดตามของสำนักหลอมตะวันที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ทันระวังตัว พวกมันล้วนถูกลูกหลงจากแรงระเบิดทำให้ร่างกายแตกสลายกลายเป็นม่านหมอกเลือดไปเช่นกัน

นี่คือการโจมตีของหลินเป่ยเฉินเพียงกระบวนท่าเดียว

เพียงไม่กี่ลมหายใจ ผู้นำและลูกสมุนของสองสำนักใหญ่ก็หลงเหลือเพียงแต่ชื่อแล้วเท่านั้น

ไม่ต่างจากมดปลวกที่ถูกฆ่าตายอย่างง่ายดายยิ่ง

ไม่ต่างจากพญาเสือร้ายไล่จับกระต่ายน้อย

บรรดาผู้นำสำนักยุทธ์ที่เหลืออยู่เมื่อเห็นเช่นนี้ สองขาก็อ่อนระทวย เสื้อผ้าเปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อโดยไม่รู้ตัว

“พวกเรารีบหนี”

“สุนัขน้อยตัวนี้ดุร้ายมากเกินไป พวกเราไม่สามารถต่อกรได้อีกแล้ว”

“แม่จ๋า…”

ระหว่างส่งเสียงตะโกน เหล่าผู้นำเหล่านั้นก็หมุนกายวิ่งหนีไป

สิ่งที่เกิดขึ้นมันน่ากลัวมากเกินไป ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อน

ด้วยความรู้เกี่ยวกับการฝึกยุทธ์ที่มีจำกัด พวกมันไม่เคยคิดเลยว่าในโลกนี้จะมีวิธีการฆ่าคนที่อำมหิตเช่นนี้อยู่ด้วย

หลินเป่ยเฉินลงมือกำจัดศัตรูโดยไม่มีความปรานี

หลินเป่ยเฉินเคยพูดอยู่เสมอว่าเมื่อได้เป็นศัตรูของเขาแล้ว เด็กหนุ่มก็ไม่หลงเหลือความเมตตาปรานีให้แก่ผู้ใดทั้งสิ้น

วูบ! วูบ! วูบ!

บรรดาผู้นำที่วิ่งหนีไปพยายามเหินร่างขึ้นไปในอากาศ

แต่แล้ว…

“กลับมานี่เดี๋ยวนี้”

“บังอาจนัก นายท่านของข้ายังไม่ทันได้ชำระแค้น พวกเจ้ากล้าหลบหนีเชียวหรือ?”

“นี่ จงกลับมารับโทษทัณฑ์ของพวกเจ้าเสียดี ๆ”

“จี๊ด”

หลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน

บรรดาผู้นำสำนักยุทธ์ที่พยายามหลบหนีเหล่านั้นยังไม่ทันได้ลอยตัวขึ้นไปบนหลังคาของสำนักสามเหลี่ยมมรณะเลยด้วยซ้ำ พวกมันก็ถูกพลังลึกลับกดดันให้ถอยกลับลงมา ร่างกายซวนเซยืนโงนเงนบนพื้นดิน สีหน้าแสดงออกถึงความหวาดกลัวสุดชีวิต

ปรากฏว่าเป็นพวกของเซียวปิง เฉียนเหมย เฉียนเจินและอากวงที่ลงมือแล้ว

พวกเขามีหน้าที่เพียงนำผู้หลบหนีกลับมาเท่านั้น

ไม่ได้มีหน้าที่สังหาร

เพราะนั่นคือคำสั่งที่หลินเป่ยเฉินมอบมาให้

ใครจะไปกล้าแย่งหน้าที่สังหารคนร้ายจากมือนายท่าน?

“บรู๊ววว… โฮกกก!”

เจ้าเสือน้อยตัวใหญ่ที่นอนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งพลันเงยหน้าส่งเสียงคำรามใส่ท้องฟ้า

“หงิง ๆๆๆ”

“เหมียววว”

เสียงร้องแปลก ๆ อีกสองชนิดดังปะปนมาพร้อมกับเสียงคำรามของเจ้าเสือ

ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมาป่าน้ำแข็งทั้งสองตัวนั้นพยายามประสานเสียงกับพี่ชายของพวกมัน

แต่พวกมันเป็นหมาป่าชนิดใดกันถึงได้ร้องออกมาเช่นนี้?

เฉียนเหมยกับเฉียนเจินแอบยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากเล็กน้อย

ดูเหมือนการที่พวกนางเลี้ยงดูเจ้าหมาป่าทั้งสองตัวนี้ไม่ต่างจากลูกสุนัขและลูกแมว จะทำให้พวกมันลืมชาติกำเนิดของตนเองไปแล้วกระมัง

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

การสังหารหมู่ยังดำเนินต่อไป

เพียงพริบตาเดียว ผู้มีพลังขั้นเซียน 13 คน ก็ถูกสังหารไปแล้วถึง 12 คน

ไม่สิ ต้องบอกว่าผู้มีพลังขั้นเซียนที่เป็นบุรุษเพศเสียชีวิตไปทั้งหมด 12 คนต่างหาก

บัดนี้ ผู้เดียวที่ยังรอดชีวิตคือหญิงสาวอายุ 30 ปีเศษ นางเป็นรองเจ้าสำนักใดหลินเป่ยเฉินก็จำไม่ได้แล้ว แต่เขาเห็นว่านางดูดีมีเสน่ห์มากทีเดียว เรือนร่างอรชร สวมใส่ชุดกระโปรงยาว มือขาวเนียนที่ถือกระบี่อยู่สั่นเทาตลอดเวลา

นางมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความตื่นกลัว ก้าวเท้าถอยหลังพร้อมกับพยายามร้องขอชีวิต “ไม่นะ อย่าสังหารข้าเลยนะ ข้ายินดีทำตามคำสั่งของท่านทุกประการ อย่าฆ่าข้าเลย ข้ายินดีเป็นทาสรับใช้ของท่าน…”

หญิงสาวผู้นี้มีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับหนึ่ง แต่กลับหวาดกลัวจนควบคุมสติไม่ได้อีกต่อไป

ทั้งที่ยามปกติ นางไม่ใช่คนที่มีจิตใจอ่อนแอ

แต่ใครก็ตามที่ได้เห็นผู้มีพลังสูงส่งกว่าตนเองถูกสังหารตกตายอย่างพร้อมเพียงกันถึง 12 ชีวิตในเวลาเพียงพริบตาเดียว หากไม่ตื่นกลัวเช่นหญิงสาวผู้นี้ ก็คงไม่นับว่าเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งได้อีกต่อไป

ต้องไม่ลืมว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 12 คนนั้นมีพลังอยู่ในขั้นเซียน

หาใช่หมูโง่ 12 ตัวไม่

ต่อให้เป็นหมูโง่ 12 ตัวก็ไม่สมควรถูกฆ่าตายรวดเร็วถึงเพียงนี้

“เจ้าเนี่ยนะ?”

หลินเป่ยเฉินมองหญิงสาวด้วยแววตาเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าตนเองคู่ควรแล้วหรืออย่างไร? เจ้าทั้งแก่และอัปลักษณ์ คิดจะฉวยโอกาสนี้ลวนลามข้าใช่ไหม? เอาคทาไปกินซะเถอะ”

ผลัก!

ไม้คทาในมือถือถูกตวัดฟาดออกไป

“ย๊าก…”

หญิงสาวพยายามยกกระบี่ขึ้นตั้งรับ แต่กระบี่ในมือของนางก็แตกหัก แล้วไม้คทานั้นก็ฟาดเข้าใส่ศีรษะของนางอย่างแรง

และชั่วขณะที่หญิงสาวเสียชีวิต นางถึงกับเกิดห้วงคิดขึ้นมาว่า…

ใช่แล้ว

นางพ่ายแพ้

แต่สำหรับบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างหลินเป่ยเฉิน เขาไม่สมควรถูกนางแตะต้องแม้แต่ปลายก้อย นางไม่คู่ควร นางไม่คู่ควร นางไม่คู่ควรที่จะไปเสนอตัวเป็นทาสรับใช้หลินเป่ยเฉินแม้แต่นิดเดียว!

บัดนี้ เท่ากับว่าผู้มีพลังขั้นเซียนที่คอยช่วยเหลือสำนักสามเหลี่ยมมรณะได้ถึงแก่ความตายไปหมดสิ้นแล้ว

ลานโล่งหน้าสำนักสามเหลี่ยมมรณะเกลื่อนกลาดไปด้วยแขนขามนุษย์และอวัยวะภายใน

โลหิตไหลนองราวกับสายน้ำ

ที่นี่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นลานประหาร

ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง

โลหิตไหลหยดลงมาจากไม้คทาในมือหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มยิ้มกริ่มอวดฟันขาววับ จ้องมองไปที่ซงชิวอวี่ผู้ยืนตัวสั่นเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนกล่าวว่า “คราวนี้ถึงตาเจ้าแล้ว”

“เจ้า…”

ซงชิวอวี่เสียงแหบแห้ง แต่ก็พยายามรวบรวมความกล้า กล่าวออกมาว่า “เจ้าอำมหิตถึงเพียงนี้ เห็นชีวิตคนเป็นเพียงผักปลา ไม่เกรงกลัวเวรกรรมจะย้อนคืนสนองบ้างหรืออย่างไร?”

“เวรกรรม?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอด้วยความเหยียดหยาม “ข้านี่แหละคือเวรกรรมของพวกเจ้า”

เด็กหนุ่มพลันรู้สึกเหมือนตนเองเป็นตัวร้ายในภาพยนตร์แนวกำลังภายในขึ้นมาชอบกล

“จะ… เจ้าไม่กลัวหรือว่าสวรรค์จะลงโทษเจ้า เจ้าอำมหิตผิดมนุษย์มนา เจ้า…”

ซงชิวอวี่ใบหน้าซีดเซียว คำพูดขาด ๆ หาย ๆ

“สวรรค์จะลงโทษ? อำมหิตมากเกินไป?”

หลินเป่ยเฉินอดหัวเราะเยาะออกมาอีกครั้งไม่ได้ “ไม่เอาน่า เจ้าลองถามพวกเขาดูหน่อยเถอะว่า ใครกันแน่ที่สวรรค์จะลงโทษ ใครกันแน่ที่อำมหิตมากเกินไป?”

พูดจบ เด็กหนุ่มก็ผายมือไปทางกลุ่มคนจากสำนักกระบี่อมตะที่กำลังยืนดูการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น ขณะนี้ เลือดลมในร่างกายของพวกเขาร้อนระอุ ความโกรธแค้นที่สั่งสมมาเนิ่นนานทำให้พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

สายตาของทุกคนจ้องมองมาที่ซงชิวอวี่เป็นจุดเดียว

พวกเขาไม่พูดอะไรสักคำ

แต่แววตาที่เกลียดชังนั้น หากวันนี้ซงชิวอวี่สามารถรอดชีวิตออกไปได้ มันก็คงทำให้ชายฉกรรจ์นอนไม่หลับ กินข้าวไม่ได้ไปอีกหลายวันทีเดียว

ซงชิวอวี่เริ่มรู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว

ตุบ!

เขาคุกเข่าลงไปบนพื้นดิน

“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยยอมรับผิด…”

ชายฉกรรจ์โขกศีรษะคำนับและอ้อนวอน “ข้าน้อยยินดีทำทุกสิ่งเพื่อไถ่บาป ได้โปรดให้โอกาสข้าน้อยด้วย ได้โปรดให้อภัยข้าน้อย ได้โปรดให้อภัย…”

เพียงไม่นานก่อนหน้านี้ ซงชิวอวี่ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้ายังกล่าวออกมาเองว่าจะเป็นผู้สั่งสอนบทเรียนให้แก่หลินเป่ยเฉิน แต่บัดนี้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงอ้อนวอนขอความเมตตา แตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน

ปรากฏว่าต่อให้เป็นขั้นเซียนระดับห้าก็ยังกลัวตายเช่นกัน

กลุ่มลูกศิษย์จากสำนักกระบี่อมตะมีดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์

พวกเขาไม่เคยเห็นผู้มีพลังขั้นเซียนคนไหนจะหวาดกลัวถึงเพียงนี้มาก่อน

ในหัวใจของใครหลายคนเริ่มรู้สึกให้อภัยซงชิวอวี่ขึ้นมาด้วยความเวทนาจับใจ

หลินเป่ยเฉินลากไม้คทาเดินเข้าไปหาซงชิวอวี่อย่างเชื่องช้า

“ให้อภัยเจ้าเนี่ยนะ? แล้วศิษย์เมืองไป๋หยุนที่ถูกเจ้าฆ่าตายไปก่อนหน้านี้ พวกเขาจะทำเช่นไร?”

เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สีหน้าแววตาไม่ปรากฏความสงสารสักนิด “หน้าที่ของข้า คือส่งเจ้าไปหาพวกเขา”

“เจ้า… ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ต้องไปกับข้า!”

ซงชิวอวี่รู้ดีว่าโอกาสรอดของตนเองมีเพียงน้อยนิด ดังนั้น เขาจึงโคจรพลังลมปราณเอาไว้ล่วงหน้า รอให้หลินเป่ยเฉินเดินเข้ามาใกล้ ก็หวังที่จะระเบิดตนเองตายไปพร้อมกับเด็กหนุ่มจอมเสเพล….

ผลัก!

ทว่า คำตอบที่ชายฉกรรจ์ได้รับ คือไม้คทาที่ฟาดลงมา

สมองของซงชิวอวี่สาดกระจาย พลังลมปราณถูกทำลายสลายหายไป

ตัวคนล้มลงบนพื้นดิน หมดลมหายใจ ปราศจากชีพจร

หลินเป่ยเฉินเก็บไม้คทาสีเงิน เปลี่ยนอาวุธในมือเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ก่อนจะแทงใส่หัวใจซงชิวอวี่

เป็นอันเสร็จสิ้นการชำระแค้น

‘คทาด้ามนี้ใช้ง่ายก็จริง แต่พลังทำลายล้างรุนแรงเกินไปหน่อย ไม่เข้ากับภาพลักษณ์เด็กหนุ่มผู้อ่อนโยนของเราสักนิด เดี๋ยวคงต้องหาเวลาไปขอร้องให้อาจารย์เฉินเซียวเยี่ยนช่วยตีกระบี่เล่มใหม่ให้จริง ๆ ซะแล้วสิ’

หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจ

“อากวง เก็บกวาด”

เขาหันหน้ามาออกคำสั่ง

“จี๊ด”

อากวงทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่รอช้า

กระบวนการทุกอย่างดำเนินไปอย่างไหลลื่น

สือจงเซิ่งและภรรยาพร้อมด้วยบุตรสาวของพวกเขา รวมถึงลูกศิษย์จากสำนักกระบี่อมตะอีก 30 ชีวิต ได้แต่จ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินอย่างไม่อาจละสายตา หัวใจของพวกเขาเต้นโครมคราม สีหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้น ความตกตะลึง และความไม่อยากเชื่อ

ทุกคนไม่ต่างจากเห็นแสงสว่างแห่งความอยู่รอด

แม้แต่ติงซานฉือก็ตกตะลึงเช่นกัน

ทว่า สีหน้าของชายชรายังคงไม่แปรเปลี่ยน ราวกับเขารู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องเกิดขึ้น

ต้องอย่าลืมว่าติงซานฉือเป็นเขยของชาวทะเล ไม่มีผู้ใดจะสามารถเล่นละครตบตาผู้คนได้ดีเลิศมากไปกว่าเขาอีกแล้ว

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด