ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 5 เนรคุณ
“ไม่ใช่ผมนะ พวกคุณจับผิดคนแล้ว”ผมเงยหน้าหน้าขึ้นพยายามใช้ตะโกน ดิ้นขัดขืน
แต่ตำรวจเอามือของผมไขว้หลังแล้วกดตัวผมลงกับพื้นอย่างแน่นหนา ผมขยับไปไหนแม้แต่น้อย
ไม่ว่าผมจะตะโกนอย่างไร อธิบายอย่างไร พวกเขาก็ไม่ปล่อย
ฝูงชนและผู้เห็นเหตุการณ์ต่างพากันมุงดู แต่ละคนชี้มาที่ แล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา
ผมเงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก เห็นไป๋เวยขึ้นไปบนรถตำรวจกับตำรวจคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน
ผ่านไปไม่นาน รถตำรวจอีกคันก็ส่งเสียงหวอแล้วมาจอดข้างๆผม มีตำรวจหลายนายลงมาจากรถ ผมถูกกดตัวเข้าไปในรถตำรวจ
ผมถูกจับไปที่สถานีตำรวจอีกครั้ง ผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ทำการตรวจปัสสาวะและเลือด และพบว่ามีส่วนประกอบของยาสลบในร่างกายของผม แต่ผมยังคงถูกกักตัวไว้ชั่วคราว
ครั้งนี้ผมเชื่อมั่นว่าตัวเองจะไม่ถูกใส่ร้าย เพราะว่าผมเองไม่ได้แตะต้องไป๋เวยแม้แต่น้อย อีกทั้งในโรงแรมยังมีกล้องวงจรปิดอีกด้วย ต้องจับภาพของเหลยหยุนเป่ากับเพื่อนของเขาได้อย่างแน่นอน
แต่หลังจากที่รออยู่ในสถานีตำรวจหนึ่งวัน ตำรวจกลับออกหนังสือแจ้งความกักขังทางอาญาให้ผมทราบ โดยอ้างว่าผมถูกสงสัยว่าบังคับขืนใจผู้อื่น
เพราะว่าภาพกล้องวงจรปิดเห็นผมบุกพังประตูเข้าไป ถ่ายจนเห็นภาพของพวกเหลยหยุนเป่าหนีออกไป แต่ตอนนี้หลักฐานไม่สามารถระบุได้โดยตรงว่าพวกของเหลยหยุนเป่าจะข่มขืนไป๋เวย ไม่สามารถรับรองได้ว่าผมกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง
และไป๋เวย กล่าวหาว่าผมข่มขืนเธอ นอกจากตื่นมาพบว่าแขนของผมกดอยู่บนหน้าอกของเธอแล้ว เพราะว่าผมเคยทำแบบเดียวกันมาก่อนในห้องทำงาน และเคยพูดสิ่งที่คล้ายกัน
หลังจากนั้น ตำรวจก็พาผมไปขังไว้ในสถานที่คุมขังที่ทั้งสกปรกและมืด
ผมโกรธมาก เสียใจ ผมเอ่ยกับตำรวจครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ผมอยากพบไป๋เวย
อาจจะเป็นเพราะรำคาญผม หรืออาจเป็นเพราะรู้สึกว่าคดีแปลกประหลาดเกินไป สุดท้ายตำรวจจึงยอมให้ผมติดต่อไป๋เวย
ไป๋เวยเองก็ตกลงจะพบผม
ในที่สุดเมื่อพบกับเธอ เธอยืนอยู่นอกหน้าต่างเหล็ก บนหน้ามีแว่นตาดำสวมอยู่ ไม่เห็นว่านัยน์ตาของเธอเปลี่ยนไปอย่างไร
“ไป๋เวย ผมไม่ได้ข่มขืนคุณ สิ่งที่ผมพูดกับตำรวจมันคือเรื่องจริง คุณคิดดูสิ ใครเป็นคนชวนคุณออกไปคุยเรื่องธุรกิจ”
ผมอยู่ในนี้ พูดด้วยน้ำเสียงเงียบสงบ
“คนที่นัดฉันออกมา ไม่ใช่พรรคพวกของคุณงั้นเหรอ?”ไป๋เวยพูดกับผมอย่างเย็นชา
“พรรคพวกของผม?”ผมหัวเราะเยาะอย่างขุ่นเคือง”คุณไม่ได้ดูกล้องวงจรปิดเหรอ ไม่เห็นรึไงว่าเขากับเหลยหยุนเป่าแบกคุณเข้าห้องพักน่ะ ไม่เห็นรึไงว่าพวกเขาถูกผมไล่ออกไปน่ะ พวกเขาสิเป็นพวกเดียวกัน”
“ฉันรู้ว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน แต่ฉันสงสัยว่าพวกคุณสามคนความจริงแล้วเป็นพวกเดียวกัน”
คำพูดของไป๋เวยทำให้ผมรู้สึกโกรธมาก มือที่จับกรงเหล็กเสียงดังกึกๆ
“แกตาบอดรึไง กูไปเป็นพวกเดียวกับพวกมันเมื่อไร สามปีที่แล้วกูเข้าไปตะลุมบอนกับเหลยหยุนเป่าเพื่อช่วยมึง ยังต้องติดคุกอีก ผมไปเป็นพวกกับเขาตั้งแต่เมื่อไร?”
“เพราะว่าพวกคุณสองคนมีเป้าหมายเดียวกันน่ะสิ เหลยหยุนเป่าคิดไม่ซื่อกับฉัน คุณก็เหมือนกัน อย่าลืมคำพูดที่คุณพูดสิ”
“คุณเป็นบ้ารึไง กูแค่พูดเรื่อยเปื่อย คิดว่ากูอยากเอามึงเหรอ คิดว่าตัวเองเป็นใครห้ะ ที่ไหนแปะทองไว้รึไง……”
“ฟางหยาง”ทันใดนั้นเธอก็ตัดบทผม”สามปีก่อนฉันไม่รู้เรื่องที่คุณติดคุก ตอนแรกฉันอยากชดใช้ให้กับคุณ แต่คุณหลับทำกับฉัน……เหอะๆ คุณว่าคุณกับพวกเขาแตกต่างกันยังไง มันก็เป็นพวกคนร้ายข่มขืนไม่ใช่เหรอ!”
พูดจบ เธอก็ยกเท้าขึ้นมาแล้วเดินออกไปด้านนอก
“คนร้ายข่มขืน”คำสามคำนี้ประทับตราตรึงอยู่ในหัวใจของผม ผมจับลูกกรงอย่างโกรธเกรี้ยว
“ไป๋เวย มึงเอาดีๆนะกูไปเอามึงตั้งแต่เมื่อไร เมื่อคืนกูนอนกับมึงรึไง มึงเนรคุณก็ช่างเถอะ ยังจะตอบแทนบุญคุณด้วยการแก้แค้นอีก!”
“โทษการพยายามข่มขืนก็เพียงพอแล้วที่ทำให้คุณต้องติดคุกอีกหลายปี”
ไป๋เวยเหยียบบนรองเท้าส้นสูงแล้วหันหลังเดินจากไปอย่างไม่หวนคืน
ผมเหมือนสัตว์ร้ายที่กราดเกรี้ยว ผมสบถด่าผู้หญิงคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะเดียวกันยังด่าที่ตัวเองโง่เง่า ทำไมต้องไปช่วยเธอ สู้ปล่อยให้เธอถูกไอ้ชั่วสองคนนั้นผลัดกันเอาเธอยังดีเสียกว่า
ต่อมาในแต่ละวันแต่ละคืน ผมต้องติดอยู่ในสถานที่คุมขัง รออย่างเจ็บปวดและสิ้นหวังเพื่อรอการตัดสิน
หลังจากผ่านไปสิบวันเต็มๆ ในที่สุดผมก็ตั้งตารอคอยวินาทีนี้ รอตำรวจจะสอบปากคำกับผมอีกครั้ง หลังจากที่ตรวจสอบบันทึกหนึ่งรอบ ก็เอาให้ผมหนึ่งฉบับเพื่อเซ็นรับรอง
หลังจากนั้นก็บอกกับผมว่า พวกเขาจับพวกของเหลยหยุนเป่าได้แล้ว ทั้งสองยอมรับแล้ว ผมพ้นข้อกล่าวหา ไม่เพียงแต่สามารถไปได้ ผมยังได้รับรางวัลของผู้กล้าหาญ และได้รับเงินรางวัลมาหนึ่งก้อน
ผมไม่รับเงิน นั่งรถแท็กซี่พุ่งตรงมายังบริษัททันที
ผมจะไปคิดบัญชีกับไป๋เวย!
ให้ผู้หญิงคนนี้ได้รับผลกรรมที่เธอสมควรได้รับ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม!
แต่พอผมมาถามที่บริษัท ไป๋เวยได้พาทีมงานไปที่ประเทศไทยแล้ว
ผมถูกไล่ออก ด้วยเหตุผลที่ผมขาดงานด้วยไร้เหตุผล
ผมตรงไปที่สำนักสันติบาลสาขาย่อยที่ใกล้ที่สุด ผมหาคนช่วยคนหนึ่งที่หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง ใช้เงินไปแปดร้อยหยวน เพื่อให้เขาช่วยเร่งทำพาสปอร์ตให้ผมโดยเร็วที่สุด
ประวัติการทำร้ายคนคดีธรรมดาแบบนี้ไม่มีผลกระทบต่อการออกนอกประเทศ สามารถทำพาสปอร์ตได้ ใช้เงินเพียงเพราะอยากเร็วขึ้นเท่านั้น
หลังจากผ่านไปสามวัน ผมได้รับพาสปอร์ต ผมแลกเงินห้าพันหยวนเป็นเงินไทย พกบัตรทำงานในฐานะผู้ช่วยของไป๋เวยไปด้วย นั่งเที่ยวบินตรงไปยังเชียงใหม่
พอลงจากเครื่องได้ก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว หลังจากจัดการวีซ่าเสร็จ ผมก็โทรศัพท์ไปหาโรงแรมทั้งสี่แห่งที่มได้จดเอาไว้ก่อนหน้านี้
ระหว่างทำงานสองวัน ผมเปิดดูแผนการทำงานของทีมงานโปรเจกต์ที่จะมายังประเทศไทย และผมก็รู้ด้วยว่าลูกค้าเป้าหมายของบริษัทเป็นบริษัทสิ่งทอรายใหญ่ ยังรู้อีกว่าทีมงานโปรเจกต์ได้เลือกโรงแรมที่จะเข้าพักไว้สี่แห่ง
ผมอาศัยความสามารถทางภาษาไทยกับเอกลักษณ์พิเศษของผม ถามเกี่ยวกับโรงแรมที่ทีมโปรเจกต์พักอยู่ แสดงหนังสือเดินทางและใบอนุญาตทำงานที่แผนกต้อนรับของโรงแรม แล้วถามเลขที่ห้องพักของไป๋เวย
ตอนสี่ทุ่มของเวลากลางดึก ผมเคาะประตูห้องของไป๋เวยเสียงดัง
“ใครคะ?”ไป๋เวยใช้ภาษาอังกฤษถาม
“ฟางหยาง”ผมตอบกลับอย่างเย็นชา
ด้านในตกอยู่ในภวังค์เงียบสงบ
“ให้เวลาคุณหนึ่งนาที ถ้าไม่เปิดประตู ผมก็จะโวยวายเกี่ยวกับเรื่องของคุณให้คนทั้งโลกรับรู้ ว่าสามปีก่อน ยังมีเรื่องของครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ผมจะสบถด่าคุณที่ด้านล่างของโรงแรม และยังจะเปิดโปงคุณต่อหน้าบริษัทสิ่งทอนั้น ผมกล้ารับประกันร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าคุณจะไม่มีวันคว้าออเดอร์นี้ไว้ได้แน่”
“คุณจะทำอะไรน่ะ?”น้ำเสียงของไป๋เวยก็เย็นชาเช่นกัน
“เจรจา”
“หลายวันก่อนฉันได้รับสายจากตำรวจในประเทศ รู้ว่าเรื่องในวันนั้นคุณไม่ได้เป็นคนทำ และรู้เหมือนกันว่าคุณไม่ใช่พวกเดียวกับเหลยหยุนเป่า ฉันเข้าใจคุณผิดเอง ฉันขอโทษคุณแล้วกัน และขอบคุณมาก แต่……ระหว่างเราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว”
“คุณยังมีเวลาอีกสามสิบวินาที”
ด้านในตกอยู่ในภวังค์เงียบสงบอีกครั้ง
ในตอนที่ผมนับถอยหลังถึงสาม ประตูห้องก็ถูกเปิดออก
ผมผลักประตูเข้าไป แล้วเดินเข้าไปด้านใน ใช้มือปิดล็อกประตู และแขวนโซ่กันขโมย
“คุณอยากเจรจาอะไร?”
ไป๋เวยสวมชุดนอนสีขาวผอมเพรียว รูปร่างโค้งเว้าอันสง่างาม สองมือกอดอกไว้ ด้วยท่าทีเย็นชา
แต่ท่าทีเย็นชาที่เธอจงใจทำ ไม่สามารถปกปิดความวิตกกังวลในสายตาของเธอได้
ผมไม่ได้พูดอะไร แต่เดินเข้าไปใกล้เธอเรื่อยๆ พร้อมกับปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออก
“คะ……คุณจะทำอะไรน่ะ”เธอถอยหลังไปอย่างกระวนกระวาย
ผมถอดเสื้อออกแล้วโยนไปที่พื้น บีบบังคับเธอไปที่มุมห้อง เธอจ้องมาที่ผมด้วยความขุ่นเคืองดื้อดึง
ผมเอามือของเธอยกขึ้นแล้ววางอยู่บนศีรษะของเธอ ใช้เข่าดันแทรกไประหว่างขาสองข้างเธอ ทำให้เธอไม่สามารถดิ้นขัดขืนได้
เธอสั่นสะท้านไปทั้งตัว อ้าปากจ้องมองที่ผมด้วยความหวาดกลัว
ผมขยับเข้าไปใกล้เธอเล็กน้อย แล้วมองใบหน้าอันงดงามของเธออย่างบรรจง ดวงตากลมโตทั้งคู่มองด้วยความโกรธเกรี้ยวและหวาดกลัว
เธอสูญเสียความเย่อหยิ่งกับความเย็นชาในอดีตไปนานแล้ว ร่างกายสั่นสะท้าน ใบหน้าและลำคอแดงเถือก เธอหายใจอย่างรัวเร็วทางปาก รินรดมาที่หน้าผมอย่างเป็นจังหวะ
ลมหายใจนั้น ทำให้ผมหลงใหล ทำให้ผมตื่นเต้นสนใจขึ้นมาเรื่อยๆ
“ประธานไป๋ หันกลับไปพิงกำแพงไว้ ยกก้นขึ้น แล้วค่อยเลิกกระโปรงขึ้นมา!”
คอมเม้นต์